ความไม่มั่นใจของ ‘ผู้ตาม’ | ปราปต์ บุนปาน

ไม่มีใครปฏิเสธหรอกว่า สังคมไทยนั้นวางพื้นฐานอยู่บนความสัมพันธ์ในรูปแบบ “ผู้ใหญ่กับผู้น้อย” หรือ “ผู้นำกับผู้ตาม” อย่างเคร่งครัด

อย่างไรก็ดี “โครงสร้างทางอำนาจ” ดังกล่าวจะคงอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคงตามสมควร ก็ต่อเมื่อผู้คนใน “โครงสร้าง” สามารถปฏิบัติ “หน้าที่” ได้อย่างเหมาะสมกับสถานภาพและฐานานุรูปของตนเอง

อาจต้องขอกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ในฐานะ “ผู้น้อย-ผู้ตาม” คนหนึ่งในสังคมไทยว่า ส่วนตัวเริ่มรู้สึกสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ กับลักษณะการนำสังคม ณ ช่วงเวลาปัจจุบันนี้ ว่าบรรดา “ผู้ใหญ่-ผู้นำ” ในบ้านเมือง กำลังจะพาพวกเราทั้งหมดไปสู่จุดไหนกันแน่?

 

เพราะด้านหนึ่ง ผู้นำกลุ่มหนึ่ง ซึ่งควรจะเป็นคณะบุคคลที่มีอำนาจนำสูงสุดในรัฐบาล ควรมีแผงอำนาจที่เป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวมากที่สุด และควรมีแนวคิด-นโยบายที่เป็นระบบระเบียบมากที่สุด (หรือมีจุดอ่อนช่องโหว่น้อยที่สุด)

กลับออกอาการ “เป๋ทางการเมือง” ต่อหน้าสาธารณชนอยู่บ่อยครั้งหลายหน จนอดเป็นห่วงและวิตกกังวลแทนไม่ได้

จากกรณีประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาถึงแนวคิดการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม มาสู่เรื่องร่างกฎหมายจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม

น่าแปลกใจว่า เสียงยืนยันยืนกรานและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างเพื่อไทย นั้นไม่มีพลังมากพอ ที่จะนำพาสังคมไปสู่ทิศทางที่ตนเองปรารถนา และมองเห็นว่าเป็นเป้าหมายปลายทางอันดีงามของบ้านเมือง

ทว่า เมื่อถูกกระแสต่อต้านคัดค้านหนักๆ ทั้งจากฝ่ายเดียวกันเอง หรือฝ่ายอื่นๆ ทางการเมือง พรรคเพื่อไทยกลับต้องล่าถอยอย่างค่อนข้างเสียกระบวน แล้วลดรูปให้แนวคิดก้าวหน้าหลายๆ เรื่อง กลายเป็นเพียง “การโยนหินถามทาง” หรือความคิดข้อเสนอของปัจเจกบุคคลไปเสียอย่างนั้น

พอเกิดเหตุเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงไม่แปลกที่เหล่า “ผู้น้อย-ผู้ตาม” จะเริ่มสับสน ไม่มั่นใจ ใน “ศักยภาพการนำ” ของ “ผู้ใหญ่-ผู้มีอำนาจ”

 

ในอีกด้าน เราก็มีผู้นำอีกกลุ่ม ซึ่งควรเล่นบทเป็นคณะบุคคลที่คอยประคับประคองหรือเป็นเสมือนลมใต้ปีก เพื่อพยุงให้ “รัฐอากาศยาน” อันมีผู้นำคณะแรกสวมบทเป็นนักบินที่หนึ่งลำนี้ สามารถโบยบินไปถึงจุดหมายปลายทางได้โดยตลอดรอดฝั่ง

อย่างไรก็ตาม จากภาพและเสียง คลื่นและลม ตลอดจนสัญญาณแทรกซ้อนขัดข้อง ที่ปรากฏครั้งแล้วครั้งเล่า กลับกลายเป็นว่ากลุ่มผู้นำอันดับสองในรัฐบาล สามารถยืนหยัด “วีโต้” พรรคแกนนำรัฐบาล ได้โดยฉับพลันทันที มั่นอกมั่นใจ และปราศจากความกริ่งเกรงใดๆ

ราวกับเป็นการประกาศยืนยันว่า พวกเขาต่างหากที่เข้าใจใน “วิถีอำนาจจริงๆ” ของสังคมไทย อย่างลึกซึ้งถ่องแท้กว่า ซึ่งย่อมหมายความต่อไปได้อีกว่า ฝ่ายที่ “บริหารจัดการ-ยึดกุมอำนาจ” ได้อย่างแท้จริงในคณะรัฐบาล อาจมิใช่พรรคการเมืองที่มี ส.ส. จำนวนมากที่สุด

นี่ยิ่งเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่สร้างความสับสนและไม่มั่นใจ ให้แก่ “ผู้น้อย-ผู้ตาม” อย่างเราๆ มากขึ้นไปอีก

 

สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดอาจเป็นเหมือนเรื่องราวในเชิงนามธรรม แต่นี่ก็คือนามธรรมอันเป็น “สาระสำคัญ” ที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อการดำรงอยู่ของรัฐบาล และการดำรงอยู่ของ “โครงสร้าง-หน้าที่” แบบเดิมๆ ในสังคมการเมืองไทย

เนื่องจากการจัดการความสัมพันธ์ทางอำนาจในหมู่ผู้นำให้สอดคล้องลงตัวนั้นถือเป็นพื้นฐานหลัก ที่จะก่อให้เกิดความรู้สึกเชื่อมั่นในหมู่ประชาชนจำนวนมาก ว่าประเทศกำลังถูกนำพาไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง มิใช่ถูกยื้อยุดอยู่ท่ามกลางภาวะการขาดฉันทมติร่วมในหมู่ชนชั้นนำ

หากพื้นฐานนามธรรมส่วนนี้ยังไม่ชัดเจนกระจ่างแจ้ง ต่อให้รัฐบาลขยันขันแข็งออกนโยบายแก้ปัญหาปากท้องเชิงรูปธรรมมาอย่างไม่หยุดหย่อน ก็น่าจะรื้อฟื้นความมั่นใจในหมู่ “ผู้น้อย-ผู้ตาม” ได้ไม่สำเร็จอยู่ดี

“ผู้น้อย-ผู้ตาม” ที่พื้นที่ในใจว่างโหวงไปกว่าครึ่ง เมื่อได้เห็นพวก “ผู้ใหญ่-ผู้นำ” พูดจาย้อนแย้งไม่ตรงกัน ในเรื่องใหญ่ๆ ที่พวกเขาควรประกาศจุดยืนออกมาอย่างพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน •

 

ของดีมีอยู่ | ปราปต์ บุนปาน