ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 ธันวาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | คำ ผกา |
ผู้เขียน | คำ ผกา |
เผยแพร่ |
คำ ผกา
ประชาธิปไตยไม่โรแมนติก
หลังจากที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ประกาศกฎอัยการศึก และในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมาก ส.ส.ได้ใช้สภาเป็นเครื่องมือในการโหวตยกเลิกกฎอัยการศึกที่ประธานาธิบดีประกาศ อันนำไปสู่การยื่นถอดถอนประธานาธิบดีที่ต้องหมายเหตุไว้ว่าต้องการเสียงสองในสามของสภา
การตอบสนองต่อข่าวนี้ในสังคมไทย โดยเฉพาะในหมู่ปัญญาชนไทยและฝ่ายหัวก้าวหน้าของไทยน่าสนใจมาก
นั่นคือนำไปสู่การรับรู้เรื่องนี้ในท่วงทำนอง “เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”
นั่นคือเป็นการ romanticized เรื่องนี้จนเกือบจะเรียกได้ว่าเมโลดรามาติก
ไม่นับกลุ่มคนที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้านความคิดเห็นทางการเมืองที่พากันออกมาบอกว่า นี่คือชัยชนะของประชาชนเหนือเผด็จการ
หรือนี่คือความกล้าหาญของนักการเมืองในประเทศประชาธิปไตยที่กล้าออกไปต่อสู้ต้านทานกับเผด็จการ
กล้าออกไปเผชิญหน้ากับปืน อาวุธของทหารอย่างปราศจากความหวาดกลัว
อยากให้นักการเมืองไทยและคนไทยกล้าหาญอย่างนั้นบ้าง
โอ้ พลังของประชาชนมันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน
ก่อนอื่นฉันต้องบอกว่า ฉันไม่ได้เห็นด้วยกับการประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดีเกาหลีใต้
และเห็นว่าเป็นการตัดสินใจบนความเสียสติอย่างไม่น่าเชื่อว่าคนสติดีๆ ที่ไหนจะคิดได้ เกือบทุกคนบนโลกใบนี้สงสัยมากว่าเขาปรึกษาใครจนนำไปสู่การตัดสินใจแบบนี้
แต่ในความเสียสติของประธานาธิบดี ยุน ซอกยอล เราต้องมาตั้งหลักกันที่ความเป็นพื้นฐานแบบประถมศึกษาปีที่หกก่อนว่า การประกาศกฎอัยการศึกนี้
หนึ่ง ไม่ใช่การรัฐประหาร (แม้ ส.ส.หลายคนของเกาหลีใต้จะออกมาบอกว่านี่คือการรัฐประหาร แต่พวกเขาพูดในเชิงวาทกรรมเพื่อให้เห็นว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้องในทางการเมืองแม้จะถูกกฎหมาย)
เพราะอะไรจึงไม่ใช่การรัฐประหาร เพราะตัวยุน ซอกยอล ใช้อำนาจที่มีตามกฎหมายประกาศกฎอัยการศึก
ดังนั้น ถามว่าการกระทำของเขาผิดกฎหมายหรือไม่ คำตอบคือไม่ผิดกฎหมาย แต่ดูเสียสติ ดูสิ้นคิด และความสิ้นคิด เสียสตินี้ อาจทำให้เขาหมดอนาคตทางการเมืองไปเลยก็เป็นได้
สอง ยุน ซอกยอล ไม่ได้เป็นเผด็จการ หรือพูดให้ตรงกว่านั้นคือ “ยังไม่ได้เป็น” เพราะเขาไม่ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีจากการรัฐประหาร เขาเป็นประธานาธิบดีจากการเลือกตั้ง ดังนั้น ยุนไม่ใช่เผด็จการ
แต่หากเขาประกาศกฎอัยการศึกและสภาไม่สามารถยับยั้งการประกาศนี้ ทำให้ยุนสามารถบริหารประเทศภายใต้กฎอัยการศึกไปได้เรื่อยๆ วันนั้นแหละเขาจะได้ชื่อว่าเป็นเผด็จการเต็มตัว
เราจึงอาจพูดอย่าง absurd ได้อีกว่า กลไกที่มาช่วยชีวิตไม่ให้ยุนต้องกลายเป็นทรราชก็คือ กลไกสภา และ ส.ส.ทุกคนที่มาโหวตยกเลิกกฎอัยการศึกนั่นเอง
หากเรื่องนี้จะมีบทเรียนอะไรให้สังคมไทยหรือผู้นำไทยก็คือ การเรียนรู้ว่าหากเราต้องมีรัฐธรรมนูญใหม่ เราต้องตระหนักว่า กลไกการถ่วงดุลในสภาผู้แทนราษฎรสามารถปกป้องไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งลุแก่อำนาจจนกลายเป็นเผด็จการได้ และเราควรจะอยากมีสิ่งนี้ให้มาก
ทีนี้ปัญหาของเกาหลีใต้คืออะไร ทำไมประธานาธิบดีถึงสติแตกไปประกาศกฎอัยการศึกได้
ระบบการเลือกตั้งแบบประธานาธิบดี อย่างที่พวกเราทุกคนรู้จักกันดีคือ ประชาชนเลือกประธานาธิบดีโดยตรง ไม่เหมือนระบบรัฐสภาบ้านเราที่เลือก ส.ส.ก่อน แล้วให้ ส.ส.ไปเลือกนายกฯ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเกาหลีใต้ คล้ายคลึงกับที่เกิดขึ้นในสหรัฐในยุคของบารัก โอบามา และโจ ไบเดน นั่นคือ เสียง ส.ส.ข้างมากในสภา กับประธานาธิบดีมาจากคนละพรรคการเมือง เช่น ประธานาธิบดีมาจากเดโมแครต แต่เสียงข้างมากในสภาเป็นรีพับลิกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้การบริหารประเทศของประธานาธิบดีก็ยาก กดปุ่มอะไรไม่ได้ เสนอกฎหมายอะไรก็ไม่ค่อยจะผ่าน
หากใช้ภาษาของคอการเมืองไทยก็อาจบอกว่า ประธานาธิบดีถูกสภาหยุมหัวตลอดเวลา
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในความรู้สึกของประชาชนก็จะเห็นว่าประธานาธิบดี “อ่อน” มาก ไม่เก่ง ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีผลงาน แต่มองอีกแง่ดี ก็ถือว่าเป็นอำนาจถ่วงดุล
และที่สำคัญ เมื่ออเมริกาเป็นระบบสหพันธรัฐ คุณภาพชีวิตพลเมืองจึงขึ้นกับการบริหารงานของมลรัฐมากกว่า
กลับมาที่เกาหลีใต้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับยุน คือ เขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีก็จริง แต่พรรคของเขามีจำนวน ส.ส.ในสภาน้อยกว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ฝ่ายค้านครองเสียงข้างมากในสภา เมื่อเป็นเช่นนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น ประธานาธิบดีอยู่ในสภาพบ่มิไก๊ตลอดเวลา ทำอะไรไม่ได้ เป็นประธานาธิบดีเป็ดง่อย
เมื่ออยู่ในสภาพเป็ดง่อย ก็เท่ากับเป็นสัญญาณถึงความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งสมัยหน้า
มองในแง่นี้ก็พอเข้าใจได้ว่า ทำไมยุนถึงจะสติแตก แต่ความน่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ คนเกาหลีใต้จำนวนมากก็อาจจะคิดว่า แล้วมันเรื่องอะไรที่ฉันต้องอยู่กับรัฐบาลเป็ดง่อยไปอีกตั้งสี่ปี?
มันจะเป็นสี่ปีที่มีรัฐบาลเหมือนไม่มี มีประธานาธิบดีก็เหมือนไม่มี ปัญหาอะไรก็ไม่ได้รับการแก้ไข เศรษฐกิจก็แย่ ยุคทองของเคป๊อป ซอฟต์เพาเวอร์เกาหลีก็กำลังอยู่ในช่วงขาลง
สินค้าที่เคยเป็นหน้าเป็นตาอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ สมาร์ตโฟนก็โดนจีนแย่งตลาดไปทั้งหมดโดยสิ้นเชิง
ไหนจะปัญหาอัตราการเกิดต่ำ การเหยียดเพศหญิงที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ก็ยิ่งทำให้ผู้หญิงเกาหลีไต้ไม่อยากมีลูก
ตัวยุนเองก็ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า เป็นพวกหัวโบราณ เกลียดเฟมินิสต์ ต้องการยุบกระทรวงเพื่อความเสมอภาคทางเพศ ถึงขั้นเสนอแผนไปแบบจริงจังมาก
สภาพนี้ลองคิดดูว่าแต่ละมื้อแต่ละเดย์ เกาหลีใต้จึงอยู่ในสภาพที่รัฐบาลไม่ฟังก์ชั่นเลย และนำพาซึ่งความอึดอัดของสังคมโดยรวมว่ามันไม่มีทางออก
เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ได้มีอะไรสวยงามเป็นชัยชนะของประชาชนอะไรในแบบที่คนหัวก้าวหน้าในไทยไปโรแมนติไซส์เขาเลย
และแม้นว่าสภาจะยับยั้งการประกาศกฎอัยการศึกได้ แต่ดูเหมือนว่ายุนเองก็ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกแบบที่หลายคนคาดการณ์เอาไว้
และการถอดถอนเขาก็ไม่ง่ายขนาดนั้นเพราะฝ่ายค้านยังต้องการเสียงอีก 8 เสียงที่ไม่มีอะไรการันตีว่า จะมี ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลมาช่วยโหวต หรือต่อให้มีเสียงในสภาพอที่จะถอดถอน ก็ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตัดสินอีกรอบ
นั่นแปลว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือจะมีสุญญากาศทางการเมืองไปอีกพักใหญ่ๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย เมื่อคำนึงถึงสารพัดปัญหาที่รุมเร้าเกาหลีใต้อยู่ตอนนี้
อะไรนำพาให้เกาหลีใต้มาสู่จุดนี้ เป็นเรื่องที่สังคมไทยน่าเรียนรู้มากกว่าการไปเมโลดราม่าเรื่องชัยชนะของประชาชนเหนือเผด็จการ (ซึ่งผิดทั้งเพ)
การที่ประชาชนเลือกประธานาธิบดีจากพรรคหนึ่ง และเลือก ส.ส.จากอีกพรรคหนึ่งมากกว่า สะท้อนภาวะที่เรียกกันว่า polarlization ทางการเมือง นั่นคือภาวะแบ่งขั้วแบ่งข้างกันอย่างหนัก
ทั้งนี้ ฉันไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี ด้วยตัวของมันเอง
และอีกสิ่งหนึ่งที่คนไทยอย่างเราต้องเตือนตัวเองไม่ให้เอาโลกทัศน์แบบไทยๆ หรือการเมืองไทยไปมองการเมืองประเทศอื่น
นั่นคือการแบ่งขั้วแบ่งข้างนี้ไม่ใช่การแบ่งขั้วระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย vs เผด็จการ
กรณีเกาหลีไต้ เป็นการแบ่งขั้วในฝ่ายประชาธิปไตยทั้งคู่ ซึ่งปรากฏการณ์นี้ในอนาคตอันใกล้ (หรือเกิดขึ้นแล้ว?) จะเกิดขึ้นในเมืองไทยแน่ๆ ในกรณีส้มกับแดง
พรรคของยุนเป็นอนุรักษนิยมสุดโต่ง ล้าหลังในเรื่องความเสมอภาคทางเพศ รักชาติยิ่งชีพ มีเกณฑ์ทหาร พร้อมรบกับเกาหลีเหนือ
ส่วนพรรคฝ่านค้านหัวก้าวหน้า ก็สนับสนุนการรวมชาติเป็นเกาหลีเดียวและมีนโยบายเอียงข้างไปทางจีนอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนักในบริบทภูมิรัฐศาสตร์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
เอาแค่จุดยืนเรื่องจะรบกับเกาหลีเหนือ หรือจะรวมกับเกาหลีเหนือ ก็รุนแรงพอที่จะทำให้เราจินตนาการได้ถึงภาวะ polarlization ในสังคมเกาหลีใต้
และอย่าลืมว่าในยุคของโซเชียลมีเดียที่การเมืองมีเรื่อง “อารมณ์” มาโลดแล่นอยู่ในโลกออนไลน์ ภาวะแบ่งข้างทางการเมืองมักจะดำเนินไปสู่จุดที่อิงอยู่กับอารมณ์ ความรู้สึกมากกว่าเหตุผลและข้อเท็จจริงที่น่าเบื่อ
การแบ่งข้างนี้ก็สะท้อนให้เห็นชัดเจนในคณิตศาสตร์ ผลของการเลือกตั้งอย่างที่เราเห็น นั่นคือพรรคหนึ่งได้เป็นประธานาธิบดี อีกพรรคหนึ่งได้ครองเสียงข้างมากในสภาแต่เป็นฝ่ายค้าน แปลว่า สองขั้วสองข้างนี้ ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งครองฉันทามติมากพอที่จะนำประเทศไปในทางใดทางหนึ่ง
ทางออกของเรื่องนี้คืออะไร?
คิดแบบไร้เดียงสาคือ หากฝ่ายค้านเห็นแก่ผลประโยชน์ของประชาชน อะไรที่ฝ่ายรัฐบาลทำแล้วประชาชนได้ประโยชน์ ก็ควรจะให้ความร่วมมือ โหวตให้ แล้วรอเลือกตั้งใหม่อีก 4 ปีข้างหน้า
แต่นั่นคือความคิดแบบไร้เดียงสา เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง ฝ่ายค้านเห็นว่าเมื่อตัวเองได้เสียงข้างมากมาขนาดนี้ สิ่งที่ต้องทำต่อคือ กดดันให้รัฐบาลเป็ดง่อยยุบสภา เลือกตั้งใหม่
ส่วนฝ่ายรัฐบาลก็เห็นว่า เรื่องอะไรจะยุบสภา ในเมื่อประชาชนก็เลือกฉันมาเป็นประธานาธิบดีเหมือนกัน และฉันยังไม่มีโอกาสทำงานเลย การยุบสภาก็ไม่เป็นธรรมกับโหวตเตอร์ที่โหวตฉันมาเป็นประธานาธิบดีเหมือนกัน
สุดท้ายก็จบตรงที่เกาหลีใต้ก็จะมีรัฐบาลที่ไม่ฟังก์ชั่นไปอีก 4 ปี ซึ่งก็ต้องมาลุ้นกันว่า ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป คนเกาหลีใต้จะเปลี่ยนใจมาเลือกแบบให้พรรคใดพรรคหนึ่งชนะทั้งในสภา และทั้งตำแหน่งประธานาธิบดี เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้อีก หรือหากฝ่ายค้านปัจจุบันได้เป็นรัฐบาล แล้วเดินหน้านโยบายรวมชาติกับเกาหลีเหนือ
ก็น่าสนใจว่า การเมืองภายในเกาหลีใต้จะเป็นอย่างไร
หันกลับมาที่เมืองไทย ฉันคิดว่า สิ่งแรกที่คนไทยเรียนรู้ได้จากเกาหลีใต้คือ ณ วันนี้ การแบ่งขั้วทางการเมืองของเรา ไม่ใช่เผด็จการกับประชาธิปไตยอีกต่อไปแล้ว
เพราะ regime ของการรัฐประหารได้จบลงแล้ว ทุกพรรคการเมืองได้มีฉันทามติร่วมกัน (โดยไม่มีใครบังคับ) ว่าหากอยากได้อำนาจรัฐก็ลงแข่งขันในสนามเลือกตั้ง
สิ่งที่มรดกของการรัฐประหารและ “ระบอบเก่า” ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ 2560, กลไกตุลาการภิวัฒน์ และอำนาจขององค์กรอิสระที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน สิ่งเหล่านี้ต้องค่อยๆ ใช้กลไกสภา และการเลือกตั้งที่ต่อเนื่อง ค่อยๆ ดึงเอามรดกบาปเหล่านี้ออกจากการเมืองไทย
แต่ต้องไม่ใช่การขับเคลื่อนบนวาทกรรมของการต่อสู้ระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย
แต่อาจลงรายละเอียดไปได้ว่ามีบางพรรคการเมืองได้เปรียบจาก “มรดก” เหล่านี้อยู่ และอยากรักษามันเอาไว้ แต่ความพยายามที่พวกเขาจะรักษามันเอาไว้ก็มาจากอำนาจต่อรองที่เป็นคะแนนเสียงที่ได้รับมาจากประชาชน ไม่ใช่อำนาจต่อรองที่มาจากการฉีกรัฐธรรมนูญยึดอำนาจ
เพราะหากเราไม่ปรับมายด์เซ็ตนี้ พวกเราทุกคนจะถูกจองจำไว้กับบริบทการเมืองสมัยประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ นั่นคือ เผด็จการ vs ประชาธิปไตย ซึ่งมันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
เมื่อไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง การขับเคลื่นประเด็นทางการเมืองที่ควรได้ผลประโยชน์สูงสุดบนโต๊ะเจรจาต่อรองก็เหลือเพียงแค่ ฝ่ายพระเอกสู้กับฝ่ายผู้ร้าย ฝ่ายพระเอกทำอะไรก็ถูก ฝ่ายผู้ร้ายทำอะไรก็ผิด
พรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลด้วยเสียง ส.ส. 141 เสียง จึงต้องบริหารเสถียรภาพของรัฐบาลด้วยการประนีประนอม พร้อมๆ กับรุกในบางเรื่องในบางโอกาส แต่ 141 เสียงทำอะไรได้ไม่มาก นี่คือความจริงที่ต้องยอมรับสภาพ
แต่การกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยอยู่ฝ่ายเผด็จการ ย่อมเป็นการกล่าวหาที่ไม่อยู่บนข้อเท็จจริง
และต้องย้ำกันอีกครั้งว่าหลังการเลือกตั้งปี 2566 ทุกพรรคการเมืองลงมาอยู่บนถนนการเลือกตั้งครบทุกพรรค
และการที่บางพรรคอยากรักษามรดกของ คสช.เอาไว้ ไม่ได้แปลว่าเขาเป็นเผด็จการ
แต่เป็นเพราะว่าเขาได้ประโยชน์จากสิ่งนั้น และเขามีเสียงของประชาชนที่ได้จากการเลือกตั้ง “อนุญาต” ให้เขาทำเช่นนั้น และนั่นไม่ได้ทำให้เขาไม่เป็นประชาธิปไตย
หากเราเห็นว่ามีพรรคการเมืองไหน กอดมรดก คสช.เอาไว้ และเราอยากลงโทษเขา เราก็ต้องลงโทษด้วยการไม่เลือกเขา
ทีนี้หากยังมีคนเยอะมากเลือกเขาอยู่ล่ะ? เราจะทำยังไง?
คำตอบของฉันก็คือต้องทำใจและเคารพการเลือกของคนอื่น เพราะคนอื่นๆ เขาอาจจะเห็นว่ามันมีเรื่องอื่นๆ ในชีวิตที่สำคัญกว่าเรื่องการยกเลิกมรดก คสช.
สิ่งนี้คือประชาธิปไตยเพราะมันกลับมาที่หลักการเดิมว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องความดี ความเก่ง ความถูกต้อง แต่ทุกอย่างจบลงตรงคณิตศาสตร์ของจำนวนเสียงที่แต่ละพรรคการเมืองมีและใช้ในการต่อรองในกติกาที่เรามีร่วมกัน
หากอยากแก้กติกาในท่ามกลางเสียงและผลประโยชน์ที่ยังก้ำกึ่งกันในทุกจุด ก็ต้องยอมรับว่ามันมาจากคณิตศาสตร์ของเสียงที่กำกึ่งนั่นเอง
เสียงที่ก้ำกึ่งนั้นมาจากไหน?
ก็มาจากเราที่เป็นประชาชนผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งนั่นแหละ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022