ล่าศีรษะมนุษย์ พิธีกรรมเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของ ‘ว้าฮ้าย’

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
ภาพประกอบเนื้อหาจากบทความ "ว้าฮ้าย-นักล่าหัวมนุษย์แห่งรัฐฉาน" (ศิลปวัฒนธรรม, 2524)

“ว้า” นั้นเป็นชนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งคนไทยในภาคกลางเรียกว่า “ละว้า” ส่วนคนภาคเหนือเรียกว่า “ลัวะ” เฉพาะในเขตพื้นที่ จ.นครราชสีมา, จ.ชัยภูมิ และ จ.เพชรบูรณ์ จะเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “ชาวบน” เพราะอาศัยอยู่บนที่สูง

ส่วนที่เรียกว่า “ว้า” เป็นคำที่ชาวไทใหญ่ ในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา เรียกชนกลุ่มนี้ว่า “วะ” “ว้า” หรือ “ล้า” แต่ชาวพม่าเรียกคนกลุ่มเดียวกันนี้ว่า “กวงยัต”

แน่นอนว่า ชาวไทใหญ่นั้น พูดภาษาตระกูลไทนะครับ ดังนั้น ที่เราจะเรียกชนกลุ่มนี้ในเขตพื้นที่รัฐฉาน และเลยเถิดไปถึงพื้นที่ส่วนอื่นๆ ในประเทศเมียนมาว่า ว้า ตามอย่างที่พวกไทใหญ่เรียกก็ไม่แปลก

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ปราชญ์ผู้ล่วงลับอย่าง จิตร ภูมิศักดิ์ (พ.ศ.2473-2509) ได้ตั้งข้อสันนิษฐานอย่างน่าสนใจไว้ในผลงานเล่มคลาสสิคของท่านอย่าง “ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ” เอาไว้ว่า

“ละว้า ควรจะเป็นชื่อดั้งเดิม แล้วนำไปใช้เรียกเพี้ยนกันตามถิ่นต่างๆ เป็น ลัวะ-ล้า-ว้า-วะ (ไตแซ่หรือไตเหนอ-ล้า : ไทใหญ่ ล้า, ว้า หรือ วะ : ไตลื้อ วะ : ไทยพายัพและลาว ลัวะ : ไทยสยาม ลว้า, ละว้า, ว้า, ลว้อ อย่างในคำกล้วยน้ำว้า ซึ่งหมายถึงกล้วยน้ำพันธุ์ของละว้า ตรงข้ามกับกล้วยน้ำไท ซึ่งเป็นคำของไท และในคำว่าย่ามละว้อ)”

พูดง่ายๆ อีกทีก็ได้ว่า ว้า ก็คือคำเรียกชาวละว้า หรือลัวะ ตามสำเนียงแบบไทใหญ่ ส่วนเราเองก็มีคำเรียกชนกลุ่มนี้ตามสำเนียงไทยกลาง หรือภาคเหนือว่า ละว้า และลัวะ ตามลำดับ

ส่วน “ว้าแดง” ที่เป็นข่าวกันอยู่นั้น เป็นคำที่เพิ่งเกิดขึ้นในยุคสงครามเย็น เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์พม่า ซึ่งมีพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือ “จีนแดง” หนุนหลัง แผ่อิทธิพลเข้าไปในรัฐฉาน แล้วพวกว้าก็เข้าไปแนวร่วม จึงเกิดคำเรียกใหม่ว่า ว้าแดง ตามอย่าง จีนแดง นั่นเอง

 

เฉพาะในกรณีของรัฐฉานนั้น พวกไทใหญ่เชื่อว่า พวกว้านั้นเป็นใหญ่ในพื้นที่รัฐฉานมาก่อนตนเอง ดังปรากฏมีกลอนคล้องจองของชาวไทไหญ่ว่า “สางส้างฝ้า ล้าส้างลิ๋น”

“สาง” ในที่นี้ก็คือ “ผี” ดังมีคำซ้อน ในภาษาไทยว่า “ผีสาง” ซึ่งก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาผีพื้นเมือง เทียบกับปัจจุบันก็คือ “เทวดา” กลอนดังกล่าวจึงอาจแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “เทวดาสร้างฟ้า ว้าสร้างเมือง” หมายถึงว่าชนชาติว้าเป็นเจ้าของแผ่นดินบริเวณนั้นมาก่อน

ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยที่ในเชียงตุง (อันเป็นเมืองแห่งหนึ่ง ในรัฐฉาน) จะมีธรรมเนียมว่า เมื่อเจ้าฟ้าจะขึ้นครองนครใหม่ จะต้องเอาพวกว้าขึ้นไปนั่งอยู่บนหอคำ คือวังประทับ แล้วเจ้าฟ้าก็จะถือแส้เข้าไปทำการขับไล่ชาวว้าออกไป เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการยึดครองอำนาจเหนือพื้นที่เมืองเชียงตุง ของพวกไทใหญ่นั่นแหละ

ถึงแม้จะถูกมองว่ามีอำนาจมาแต่เดิม แต่ในบรรดาผู้คนรัฐฉาน (และรวมไปถึงเขตพื้นที่อื่นๆ ในประเทศเมียนมาด้วย) ยุคก่อนที่จะเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ ก็ไม่ได้เห็นว่าพวกว้าเป็นผู้มีวัฒนธรรมอันสูงส่งหรอกนะครับ แต่กลับมองว่าเป็นพวกชาวป่า ชาวดอย ที่ล้าหลัง ซ้ำบางกลุ่มยังป่าเถื่อนอีกต่างหาก

พวกว้ากลุ่มหลังนี้ ถูกเรียกว่า “ว้าฮ้าย” (คือ ว้าร้าย) หรือ “ว้าเลิน” โดยในเอกสารหลายชิ้นมักจะเรียกว่า ว้ากลุ่มนี้ว่า “ว้าป่าเถื่อน” ซี่งหลายครั้งก็ถูกมองว่าเป็นครึ่งคน ครึ่งภูตผีปีศาจไปเลยทีเดียว

 

เหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกว้ากลุ่มนี้ถูกเรียกว่า “ร้าย” นั้น เป็นเพราะพวกเขามีประเพณีการ “ล่าศีรษะมนุษย์” เพื่อนำไปบูชา “ผีไร่” เป็นประจำทุกปี

เกี่ยวกับเรื่องนี้มีนิทานอธิบายเหตุของชาวว้าเล่าเอาไว้ว่า ครั้งหนึ่งหัวหน้าชาวว้าคนหนึ่ง ลงไปซื้อพันธุ์ข้าวมาจากชาวจีนฮ่อที่ตั้งเรือนอยู่ที่ตีนเขา แต่พันธุ์ข้าวนั้นกลับปลูกไม่ขึ้น

หัวหน้าชาวว้าผู้นั้นจึงโกรธเพราะคิดว่าพ่อค้าจีนฮ่อหลอกเอาพันธุ์ข้าวลวกน้ำร้อนมาหลอกขายตน

ดังนั้น จึงสั่งให้ลูกน้องลงไปซื้อพันธุ์ข้าวมาจากพ่อค้าคนเดิม แต่กำชับไปด้วยว่าเมื่อซื้อแล้วให้ตัดศีรษะของพ่อค้ากลับมาด้วย

ลูกน้องได้รับคำสั่งก็ปฏิบัติตาม โดยเมื่อทำธุระเสร็จตามนายสั่งแล้ว ก็นำพันธุ์ข้าวที่ซื้อรองไว้ที่ข้างล่างของตะกร้า แล้วเอาศีรษะของพ่อค้านั้นวางไว้ทางด้านบน จนน้ำเลือด น้ำหนองชโลมไปทั่วพันธุ์ข้าว

แต่เมื่อนำไปปลูกแล้วกลับเป็นว่าข้าวนั้นเจริญงอกงามจนผิดธรรมดา จึงถือกันว่าผีไร่โปรด และเกิดเป็นธรรมเนียมการตัดศีรษะมนุษย์มาบูชาผีไร่เป็นประจำทุกปี

แต่ก็อย่างที่ผมบอกไว้ก่อนแล้วนะครับว่า นี่เป็นเพียง “นิทานอธิบายเหตุ” แปลว่า ไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นนิทานที่แต่งขึ้นเพื่ออธิบายที่มาที่ไปของอะไรบางอย่างที่หาคำอธิบายไม่ได้แล้ว ในชั้นหลังเท่านั้นเอง

 

นิทานอีกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการล่าศีรษะมนุษย์ และก็ดูเหมือนว่าจะเก่าแก่กว่านิทานเรื่องที่แล้ว คือนิทานที่เล่าถึงต้นกำเนิดของพวกว้าเอง

เรื่องมีอยู่ว่า แต่ก่อนนั้นมีเขาสูงลูกหนึ่ง ตั้งอยู่เหนือเมืองข่า บนเขาสูงลูกนั้นมีหนองน้ำใหญ่แห่งหนึ่งชื่อ “หนองเขียว” เป็นถิ่นกำเนิดของกบยักษ์ 2 ตัวผัวเมีย โดยผัวชื่อ ยาถำ ส่วนเมียชื่อ ยาไถ่ (บางสำนวนว่าชื่อ ยาต่อม กับยาต่าย)

ยาถำกับยาไถ่จับสัตว์น้อยใหญ่กินเป็นอาหาร แต่มีอยู่วันหนึ่งจับมนุษย์มาได้คนหนึ่ง จึงแบ่งกันกิน แล้วเอาหัวกะโหลกแขวนไว้ดูเล่น

ต่อมาไม่นานยาไถ่ก็ตั้งครรภ์แล้วคลอดออกมาเป็นมนุษย์ผู้ชาย 9 คน กับผู้หญิงอีก 9 คน หลังจากนั้นเป็นต้นมา ยาถำกับยาไถ่จึงบูชาหัวกะโหลกมนุษย์ โดยเอามาแขวนไว้บนเสากลางลานบ้าน

ต่อมาลูกๆ ทั้ง 18 ก็แต่งงานกันเอง แล้วแยกย้ายไปสร้างครอบครัวกันที่หุบเขา 9 แห่งจนสืบลูกหลานต่อไป

ส่วนยาถำกับยาไถ่ถึงจะมีลูกเป็นมนุษย์ แต่ก็ยังติดใจในรสชาติเนื้อของมนุษย์ จึงไปจับมากินอยู่เนืองๆ จนกระทั่งวันหนึ่งก็ไปจับเอาหลานตัวเองมากินมันเสียอย่างนั้น

บรรดาลูกๆ ของยาถำและยาไถ่ทราบเรื่องเข้าก็มานั่งประชุมกัน แล้วสรุปว่า พ่อแม่ของพวกตนนั้นแก่เฒ่าจนเลอะเลือน ซ้ำยังเป็นสัตว์ที่น่าเกลียดน่ากลัว กินแต่เนื้อมนุษย์ ไม่รู้ว่าวันไหนจะมาจับพวกตนไปกินบ้างหรือเปล่า?

ดังนั้น จึงตกลงใจ แล้วพากันไปจับยาถำและยาไถ่มาฆ่ากินบ้าง

 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.เชียงราย 4 สมัย ผู้สนใจในเรื่องเกี่ยวกับชาวเขา และชนเผ่าต่างๆ ในระดับที่ใช้เวลาว่างจากการทำงานลงพื้นที่สำรวจกลุ่มชนเผ่าด้วยตนเองอย่าง บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ (พ.ศ.2460-2516) ได้อธิบายเอาไว้ในหนังสือเรื่อง “ชาวเขาในไทย” ของท่านว่า ด้วยเหตุนี้ “จึงเกิดขนบธรรมเนียมฆ่าบิดามารดาเมื่ออายุมากสืบกันต่อมา”

แต่ที่เกี่ยวกับเราในที่นี้ก็คือ การที่ยาถำและยาไถ่นำเอากะโหลกมนุษย์ไปแขวนไว้บนเสากลางลานบ้าน เพื่อบูชา เพราะเสาที่ว่านี่ก็คือ “เสาหลักบ้าน” ที่จะพัฒนาต่อไปเป็น “เสาหลักเมือง” ซึ่งก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการบูชายัญมนุษย์อยู่ให้เพียบเช่นกันนี่เอง

จะสังเกตได้ว่า ในกรณีของนิทานเรื่องยาถำกับยาไถ่ “กะโหลกมนุษย์” เป็นสัญลักษณ์ของ “พลังชีวิต” ที่นำมาซึ่ง “ความอุดมสมบูรณ์” ดังนั้น กะโหลกของมนุษย์ที่ถูกกบยักษ์ทั้งสองจับมากินนั้น จึงดลบันดาลให้เกิดลูกชาย ลูกสาวเป็นจำนวนมาก โดยในทัศนะของคนโบราณนั้น พืชพันธุ์ธัญญาหารที่พวกเขาเพาะปลูกก็ไม่ต่างอะไรไปจากลูกหลานของผืนไร่นาหรอกนะครับ

การนำศีรษะมนุษย์ไปเซ่นบูชา “ผีไร่” ซึ่งก็คือผู้ปกปักผืนไร่นั้น จึงเป็นแนวคิดในทำนองเดียวกันกับเรื่องของยาถำ กับยาไถ่นี่เอง

 

อันที่จริงแล้ว คุณบุญช่วยยังบอกไว้ในหนังสือเล่มเดิมด้วยว่า ในปีหนึ่งๆ พวกว้าจะล่าศีรษะมนุษย์กันเพียงแค่ 3 เวลา

1. เวลากำลังจะเริ่มปลูกข้าวไร่

2. เวลาเก็บเกี่ยวข้าวไร่ เรียกกันว่า “ไปหาหัวฮ้า” ฮ้า คือ ร้า หรือของบูดเน่าของหมักดองอย่างปลาร้านั่นเอง

และ 3. ก่อนปีใหม่สัก 7-8 วัน ตกราวเดือนเมษายน ทั้งนี้ เพื่อให้ฝนตกลงมา จะได้ปลูกข้าวไร่

จะเห็นได้ว่า ช่วงเวลาในการล่าศีรษะมนุษย์ของพวกว้าฮ้ายนี้ เกี่ยวข้องอยู่กับการเพาะปลูก และแนวคิดเรื่องความอุดมสมบูรณ์อย่างเห็นได้ชัด

ที่สำคัญก็คือในบางหมู่บ้าน ก็เอาไม้ไผ่ทะลุปล้องศีรษะมนุษย์เอาไว้ทางด้านบน แล้วเอาไปปักไว้ที่ลานหน้าบ้าน โดยมีลำรางไม้รองรับน้ำเหลืองให้ไหลลงสู่พันธุ์ข้าวไร่ที่อยู่ในกระบุงทางด้านล่าง ไม่ต่างกับที่ยาถำยาไถ่เอากะโหลกมนุษย์ไปแขวนไปบนเสากลางลานบ้านของตัวเองนั่นแหละ

แน่นอนว่า ขนบธรรมเนียมพิธีเหล่านี้ แม้จะเป็นไปเพื่อความอุดมสมบูรณ์ตามโลกทัศน์ของคนโบราณ ซึ่งก็มีตัวอย่างในทำนองใกล้เคียงกันอยู่อีกหลายแห่งทั่วโลก แต่ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในอีกหลากหลายวัฒนธรรมที่ให้ค่ากับชีวิตของมนุษย์ โดยเฉพาะในบริบทของสังคมปัจจุบันแน่ •

 

On History | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ