เปลว ปอง |  นิติ ภวัครพันธุ์ : เรื่องสั้น

เปลว ปอง |  นิติ ภวัครพันธุ์

เรื่องสั้น

 

 

“ขนุนถุงละ 25 บาทค่า หวานกรอบ อร่อย ของโปรดเจ้าพ่อ” แม่ค้าร้องเรียกลูกค้าแข่งกับเสียงของเจ้าหน้าที่ของศาลเจ้าที่ประกาศผ่านลำโพงตัวใหญ่หน้าศาลเจ้า “เจ้าพ่อชอบทานผลไม้ ซื้อไปถวายได้หมดเลยค่ะ” ผลไม้ หนึ่งในของเซ่นไหว้สักการะเจ้าพ่อที่ขาดไม่ได้ จึงเป็นสินค้าขายดีมาตลอด

รอบศาลเจ้ามีร้านค้าสารพัดชนิดให้เลือกซื้อ ทั้งร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม ของเซ่นไหว้ เครื่องสักการบูชาต่างๆ นกปลาเพื่อปล่อยสะเดาะเคราะห์ ร้านขายผลไม้ที่มีผลไม้หลากหลาย แบบที่ปอกเปลือกใส่ในถาดโฟมพร้อมรับประทาน อย่างขนุน ส้มโอ มะละกอ สับปะรด ส่วนแตงโมจะหั่นขายชิ้นละครึ่งลูก มะพร้าวมีทั้งที่ขายเป็นลูกและน้ำมะพร้าวบรรจุในถ้วยพลาสติกมีฝาปิด แต่ที่วางขายมากที่สุดน่าจะเป็นกล้วยน้ำว้าและกล้วยไข่ ที่เชื่อกันว่าเจ้าพ่อชอบที่สุด

ของเซ่นไหว้เจ้าพ่อที่สำคัญอีกอย่างคือจำปา ขายเป็นมัด มัดหนึ่งมีราว 2-3 ดอก หรือขายเป็นชุดพร้อมธูปเทียน บางคนก็ซื้อพวงมาลัยมะลิถวายด้วย แต่ในร้านขายของเซ่นไหว้สักการะเจ้าพ่อส่วนใหญ่จะมีสินค้าชนิดอื่นด้วย เช่น ภาพถ่ายเจ้าพ่อปอง เสนอขายให้ผู้ศรัทธาที่ต้องการนำไปบูชาเพราะมีข้อห้ามถ่ายภาพในศาลเจ้า ลูกประคำสำหรับสวดมนต์ กำไลหินมงคล และของที่ระลึกอื่นๆ ที่ล้วนนำมาซึ่งโชคลาภ ความสุข ความสมหวัง

ทุกวันมีคนต่างถิ่นมากมายเดินทางมากราบไหว้ ขอพรหรือบนบานเจ้าพ่อด้วยจุดประสงค์ต่างๆ คนที่เจ็บป่วยมาขอให้หายจากโรค มีสุขภาพแข็งแรง หญิงกำลังมีครรภ์ขอให้ลูกแข็งแรง คลอดง่าย ปลอดภัย คนที่มาขอให้ความรักสมหวังก็มีไม่น้อย พวกที่สมัครงานไว้ขอให้ได้งาน คนที่ทำการค้าขายก็ขอให้ร่ำรวย จำนวนไม่น้อยมาบนบานให้สอบเข้าเรียนต่อได้หรือจบการศึกษา แต่ที่มากันไม่ขาดคือมาขอเลขเด็ด เพราะเรื่องที่โจษจันกันว่าเจ้าพ่อมักให้เลขเด็ด ใครมีโชคได้พรก็จะมั่งคั่ง (“มีคนรวยไปหลายคนแล้ว” เป็นคำพูดที่คนชอบเล่นหวยเล่นลอตเตอรี่เล่าลือกัน) ศาลเจ้าพ่อปอง บ้านหนองคำ จึงเป็นที่รวมของผู้คนจากทั่วสารทิศ และผู้มีศรัทธาเหล่านี้ก็ดึงดูดให้เกิดธุรกิจการค้ารอบศาลเจ้า

ศาลเจ้ามีพื้นที่กว่าสิบห้าไร่ แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยนานาพรรณ สร้างความร่มเย็นให้แก่ผู้ศรัทธาทั้งหลายที่มากราบไหว้เจ้าพ่อ ต้นที่สูงใหญ่กว่าต้นไม้อื่นคือจำปา ซึ่งมีอยู่หลายต้นแต่ต้นที่สูงที่สุดนั้นสูงเกิน 40เมตร และมะเดื่อ ที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปโดยรอบ บางกิ่งโตใหญ่จนต้องมีเสาไม้ค้ำรองรับน้ำหนักไม่ให้หักโค่นลง ทั้งสองต้นอยู่ใกล้กับศาลเจ้า เชื่อกันว่าจำปาและมะเดื่อเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ จึงเติบโตสูงใหญ่เกินต้นไม้ทั่วไป แตกกิ่งแผ่รากออกไปเชื่อมต่อโยงใยกับรากของต้นไม้อื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณ เสมือนเป็นญาติพี่น้องวงศ์วานเดียวกัน ต้นไม้ทุกต้นรอบๆ ศาลเจ้าจึงศักดิ์สิทธิ์ ห้ามตัดหรือทำลาย และได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ของศาลเจ้า

อีกหนึ่งสถานที่ที่ผู้มีศรัทธามักไปกันคือวัดหนองเหือด ที่อยู่ทางทิศเหนือไม่ไกลจากศาลเจ้า เพื่อนมัสการหลวงตาแห้ง ซึ่งมรณภาพไปนานแล้วแต่ศพไม่เน่าเปื่อย บรรจุอยู่ในโลงแก้วเพื่อให้ผู้ที่เลื่อมใสได้ชื่นชมในความอัศจรรย์ เล่าขานกันว่าตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เป็นพระสงฆ์อาวุโสผู้มีคาถาอาคมแก่กล้า เป็นสัพพัญญูผู้รู้แจ้ง หลังจากที่มรณภาพลงหลวงตาแห้งแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้ายด้วยการทำให้สังขารของตนไม่เน่า กลายสภาพเป็นร่างกายที่มีหนังแห้งห่อหุ้มกระดูก วัดหนองเหือดจึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งที่มีผู้ศรัทธาเดินทางมาเสมอ ทั้งที่มาทำบุญบริจาคเงิน ขอพรต่างๆ จากหลวงตา ทำสังฆทานรดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ (หรือขอน้ำมนต์กลับบ้าน) เช่าพระเครื่อง (ทางวัดทำพิธีปลุกเสกอยู่บ่อยครั้ง จึงมีพระเครื่องหลายรุ่นให้เลือก) หรือซื้อสมุนไพรที่เชื่อกันว่าเป็นยารักษาโรคร้ายได้หลายโรคและช่วยให้มีชีวิตยืนยาว

ด้วยเหตุนี้ วัดโนนเหือดจึงเนืองแน่นด้วยผู้คนที่เดินทางมาแสวงบุญอยู่เสมอ

 

บ้านหนองคำเป็นหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นใหม่หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ น้ำที่ขังอยู่กลายเป็นหนองน้ำใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ‘หนองคำ’ แหล่งน้ำแห่งความอุดมสมบูรณ์และโชคลาภ ดึงดูดผู้คนทั้งใกล้และไกลให้อพยพเข้ามา

ตั้งถิ่นฐานเริ่มต้นชีวิตใหม่

ก่อนน้ำท่วมใหญ่พื้นที่บริเวณนี้ค่อนข้างแล้งแห้ง มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ ทิศเหนือและตะวันตกเป็นเนินสูงกว่าบริเวณอื่น ดินขาดความอุดมสมบูรณ์จึงเพาะปลูกได้เพียงข้าวไร่ ข้าวโพด และพืชทนแล้งบางชนิด เพราะความแห้งแล้งและชีวิตที่ลำบาก อัตคัดขัดสน เดิมที่นี่จึงรู้จักกันในนาม ‘โนนเหือด’ ที่ที่เล่ากันปากต่อปากมานานแล้วว่า

“สมัยก่อนผีมันแยะ มีมากกว่าคนซะอีก ชอบร้องโหยหวน ฟังแล้วขนลุก กลางค่ำกลางคืนใครเซ่อซ่าไม่อยู่ในบ้านผีจะจับตัวไป”

พอฟ้าเริ่มมืดชาวบ้านจึงปิดประตูบ้าน ดับไฟ ห้ามคนออกนอกบ้าน ห้ามส่งเสียงดัง ด้วยความหวาดกลัวว่าผีจะมาหามาทำร้าย

ไม่มีใครรู้แน่ว่าเหตุใดที่ที่ไม่เหมาะกับการตั้งถิ่นฐานอย่างโนนเหือดจึงมีคนเข้ามาบุกเบิกถากถาง บางคนว่าผู้คนที่เข้ามาเป็นพวกแรกๆ เป็นเชลยศึกที่ถูกกวาดต้อนมาจากที่อื่น แล้วมาสร้างบ้านแปงเมืองอยู่ที่นี่ บ้างก็ว่าบรรพบุรุษของคนโนนเหือดทิ้งบ้านเดิมเพราะเกิดโรคระบาดใหญ่ อพยพหนีตายกันมา เล่ากันว่าระหว่างทางมีผู้คนเจ็บป่วยล้มตายเป็นจำนวนมาก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ กว่าจะถึงโนนเหือดมีคนรอดชีวิตไม่ถึงครึ่ง ล้วนเหนื่อยล้าอ่อนแอเกินกว่าจะเดินทางต่อได้ จึงปักหลักตั้งรกรากกันที่นี่แม้ว่าสภาพภูมิประเทศจะไม่เหมาะกับการดำรงชีวิตนัก และมีเรื่องเล่าอีกว่าเดิมที่นี่เป็นที่หลบภัยของพวกนอกกฎหมายที่หนีเจ้าหน้าที่มา

คนเฒ่าคนแก่มักเล่าให้ฟังว่าชีวิตของคนสมัยก่อนยากลำบาก กันดารน้ำกันดารพืช ปลูกข้าวได้ไม่พอกิน ชาวบ้านต้องขุดหัวมันหัวเผือกกินอยู่เสมอ น้ำดื่มน้ำใช้ขาดแคลน ปีไหนที่แล้งแห้งมากมักมีคนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก คนสมัยนั้นทั้งหญิงและชายจึงมีอายุสั้น แค่สาม-สี่สิบปีก็ตายแล้ว ทารกเด็กเล็กก็ตายมากเช่นกัน ผู้ใหญ่ โดยเฉพาะพวกแม่ๆ ไม่ค่อยแข็งแรงและมักป่วยบ่อย นอกจากเพาะปลูกพืชไม่ได้ผลอาหารประเภทอื่นก็หาได้ยาก ไม่มีแหล่งน้ำที่หาปลาหรือสัตว์น้ำได้ มีแต่ป่าไม้บนเขาที่มีอาหารและของจำเป็นบางอย่างแต่ต้องใช้เวลาราวสองวันครึ่งจึงจะเดินถึง

หลายชั่วคนที่คนโนนเหือดต้องอยู่กับสภาพอันแร้นแค้นเช่นนี้จนกระทั่งหมอปองกลายเป็นที่รู้จัก

 

ปองและเปลวเป็นฝาแฝดที่หน้าตาและนิสัยใจคอไม่ค่อยเหมือนกัน ปองเป็นผู้ชายเกิดก่อนเปลวไม่กี่นาที เป็นทารกที่ตกใจง่าย มักร้องไห้งอแง คืนไหนเกิดฟ้าร้องฟ้าผ่าปองจะร้องไห้หนัก ต้องอุ้มต้องปลอบอยู่

นานกว่าจะหลับ ส่วนเปลวเป็นเพศหญิง เลี้ยงง่าย ไม่ค่อยตกใจหรือร้องไห้บ่อย กินนมอิ่มแล้วก็หลับยาว พอโตขึ้นทั้งสองก็ยิ่งต่างกัน ปองเป็นคนใจเย็น หัวอ่อน ใครว่าอะไรก็นิ่งเฉย ส่วนเปลวไม่ยอมคน หัวแข็ง ใครแรงมาแรงกลับ

ทว่า ยังมีความแตกต่างที่ไม่น่าเชื่อระหว่างทั้งสอง ปองเป็นคน ‘มือเย็น’ ผู้มีคุณสมบัติพิเศษ เพราะนอกจากปลูกต้นไม้ให้เจริญงอกงามโตเร็ว หากเขาสัมผัสใครก็ตามคนนั้นจะรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์เบิกบาน ถ้าป่วยไข้อยู่อาการจะดีขึ้นจนหายป่วย สัตว์ต่างๆ ก็เช่นกันจะหายเจ็บกลับเป็นปรกติ แต่เปลวไม่มีความสามารถนี้ ตรงกันข้าม หากเธอแตะต้องผู้ใดด้วยความโกรธผู้นั้นจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส และอาจถึงขั้นเสียชีวิตถ้าเธอไม่คลายมือออกหรือหายโกรธ

ครั้งหนึ่งตอนเป็นเด็ก เปลวโมโหบีบแขนของเด็กที่แกล้งเธอ เด็กคนนั้นเจ็บร้องไห้ขอให้เปลวปล่อยเธอ แต่เปลวไม่ยอม กลับบีบแขนแน่นขึ้น ครู่หนึ่งหน้าของเด็กก็เริ่มซีด หายใจอ่อนลง หมดแรงร้อง เคราะห์ดีที่ยายของเปลวออกมาเห็น

“อีเปลว เอ็งทำอะไร?” ยายร้องตกใจ รีบคว้าแขนของเปลว “ปล่อยๆ ปล่อยเขา” พอยายแยกเปลวออกจากตัวเด็กเสร็จก็ด่าและตีเปลว

เด็กคนนั้นหมดสติไปหลายชั่วโมง แม่ของเธอร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ส่วนพ่อมาอาละวาดโวยวายกับพ่อแม่ของเปลว หลังจากนั้นมาไม่มีเด็กคนไหนกล้าเล่นหรือแกล้งเปลวอีกเลย เปลวจึงมีปองเป็นเพื่อนเพียงคนเดียว

อีกครั้งหนึ่งเมื่อเธอเริ่มเป็นสาว หน้าอกเห็นชัดขึ้น หน้าตามีความสวยจึงมีหนุ่มๆ เมียงมอง วันหนึ่งมีผู้ชายมาพูดจาแทะโลมแต่เธอไม่สนใจ แล้วชายคนนั้นก็เริ่มลวนลามเธอ เธอโมโห ด่าและผลักไส เขากลับใช้กำลังกอดและพยายามจูบเธอ เปลวดิ้นและเอามือจับใบหน้าของเขา ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ตาเหลือก ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว หน้าเริ่มไร้สีเลือด หายใจไม่ออก กว่าเปลวจะได้สติเขาก็ล้มลงไปนอนแน่นิ่งกองอยู่บนพื้น กลายเป็นคนป่วยเดินไม่ได้อยู่ 2-3 เดือน

ถ้าจะเปรียบเทียบว่าปองมีความสามารถในการรักษาและคืนพลังชีวิตให้ผู้อื่นได้ เปลวก็ดูดหรือทำลายพลังนั้น

พอเริ่มเป็นหนุ่มพลังในการรักษาของปองเพิ่มมากขึ้น เขากลายเป็นที่รู้จักจากการรักษาชาวบ้านและสัตว์เลี้ยงในโนนเหือดให้หายจากโรคภัยต่างๆ ด้วยการสัมผัส หลังจากนั้นพลังพิเศษของปองก็ลือลั่นไปทั่ว มีคนต่างถิ่นเดินทางมาขอการรักษาอยู่เสมอ จนทำให้โนนเหือดที่เคยเป็นหมู่บ้านยากจนข้นแค้นมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ถนนหนทางที่เข้าออกหมู่บ้านที่แต่เดิมขรุขระเป็นหลุมเป็นร่องได้รับการปรับปรุงให้มีสภาพดีขึ้น พอมีคนนอกเข้ามามากขึ้นชาวบ้านเริ่มทำอาหารและน้ำดื่มมาขาย ใครหาพืชผัก ผลผลิตหรือสินค้าอะไรมาได้ก็นำมาเสนอขาย คนที่แข็งแรงมีเรี่ยวแรงจะรับจ้างแบกข้าวของสัมภาระหรือช่วยเหลือคนป่วย มีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าคนรุ่นพ่อแม่

ปองเป็นหมอใจดี นอกจากไม่คิดค่ารักษาแพงแล้วยังมักแบ่งปันเงินค่ารักษาให้ชาวบ้านผู้ยากไร้ มิหนำซ้ำ ใครเจ็บป่วยมาหาแกแต่ไม่มีเงินก็รักษาให้ฟรี แต่เพราะเป็นคนสมถะจึงเก็บหอมรอมริบจนสามารถซื้อที่ดินที่ติดกับบ้านที่ตนอยู่มาตั้งแต่เกิด แล้วสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้น พ่อแม่ตายายอิ่มอกอิ่มใจมีความสุขที่ฐานะดีขึ้น

ส่วนเปลวตื่นเต้นกับบ้านและของใหม่ๆ หลายอย่างที่ปองซื้อเข้าบ้าน และปีติยินดีที่ชาวบ้านเรียกพี่ชายของเธอว่า ‘หมอวิเศษ’

 

วัดโนนเหือดแต่เดิมเป็นวัดเล็กๆ มีพระสงฆ์จำวัดเพียง 3-4 รูป ตอนที่ตั้งขึ้นใหม่ๆ เป็นศาลาไม้ที่ใช้เป็นวิหาร มิได้เป็นอุโบสถหลังใหญ่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ตั้งขึ้นเพราะคนรุ่นแรกที่เข้ามาตั้งรกรากในโนนเหือดเริ่มเสียชีวิตลง แรกๆ ชาวบ้านฝังศพกันตามมีตามเกิด แต่พอมีคนเล่าลือกันเรื่องผีออกมาอาละวาดก็กลัวกันไปใหญ่ จนในที่สุดต้องไปนิมนต์พระสงฆ์จากอีกหมู่บ้านมาจำพรรษาที่โนนเหือด

หลวงตาแห้งแห่งวัดโนนเหือดเดิมชื่อ ‘ผาด’ ครอบครัวยากจนมีลูกหลายคน พ่อแม่เลี้ยงไม่ไหวจึงยกผาดให้เป็นเด็กวัดรับใช้พระสงฆ์ ผาดเป็นเด็กเงียบๆ ว่านอนสอนง่ายจึงเป็นที่เอ็นดู หลายปีผ่านไปก็บวชเป็นเณร ร่ำเรียนอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์เรื่อยมา ผาดเป็นพระธรรมดาที่มีชีวิตไม่แตกต่างจากพระสงฆ์อื่นๆ ไม่ได้โลดโผนหรือพิสดาร ไม่เคยเป็นเกจิอาจารย์ผู้มีอิทธิปาฏิหาริย์ หรือมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์หรือพลังพิเศษใดๆ ก่อนที่จะมรณภาพก็ไม่มีใครมาขอเป็นลูกศิษย์หรือสาวก แต่ที่เรียกกันว่า ‘หลวงตาแห้ง’ เป็นฉายาที่ตั้งขึ้นหลังจากที่พระผาดสิ้นใจแล้วแต่สังขารไม่เน่าเปื่อยกร่อนผุ เนื้อหนังกลับแห้งลงและมีสีคล้ำขึ้น จนในที่สุดมีสภาพคล้ายโครงกระดูกคนที่ห่อหุ้มด้วยหนังแห้งๆ สีน้ำตาลเข้ม กลายเป็นที่โจษจันกันว่าท่านมีอิทธิฤทธิ์ เป็นที่เลื่อมใสศรัทธา มีคนต่างถิ่นมากราบไหว้เป็นจำนวนมาก ทำให้วัดโนนเหือดที่เคยอัตคัดฝืดเคืองร่ำรวยขึ้นจากเงินบริจาค การสร้างพระเครื่อง และอีกหลายกิจกรรม

พระผาดจำพรรษาได้ราว 50 พรรษาสุขภาพเริ่มไม่ค่อยดี แรกๆ ก็เบื่ออาหาร ฉันได้เล็กน้อย พระสงฆ์ที่รู้เรื่องยาสมุนไพรจัดยาให้ฉันแต่อาการไม่ดีขึ้น ร่างกายค่อยๆ ซูบผอมลงแต่ส่วนที่เป็นท้องกลับป่องโตขึ้น ฉันอาหารได้น้อยลง บางครั้งก็อาเจียน ท้องผูก เจ็บปวดตามแขนขาและหลัง อาการป่วยทรุดหนักลง สุดปัญญาของพระสงฆ์ผู้รู้เรื่องยาจะรักษาได้

ปองรู้ข่าวว่าพระผาดป่วยหนักก็ไปเยี่ยมที่วัด เปลวขอไปด้วย พอเห็นสภาพของพระผาดที่ผอมแห้งพุงโรทุกข์ทรมานด้วยโรคภัยปองรู้สึกเศร้าใจหดหู่

“หลวงพ่อเป็นยังไงบ้าง?” ปองคลานเข้าไปใกล้ๆ เพื่อไต่ถามอาการ แต่พระผาดได้แต่นอนแบ็บลมหายใจอ่อนระทวย เขาเอื้อมมือไปจับแขนของพระผาดด้วยความสงสารแต่ต้องสะดุ้งรู้สึกเหมือนมีของแหลมคมแทงที่มือข้างนั้น ในขณะที่เสียงครางอือๆ ของพระผาดเบาลง ปองนั่งดูแลพระผาดอยู่พักใหญ่ก็กลับบ้านพร้อมกับเปลว ทว่า พอมีเวลาว่างเมื่อไรปองจะแวะเวียนไปที่วัด ไปครั้งใดอาการอาพาธของพระผาดก็ดีขึ้น ร่างกายที่ซูบผอมค่อยๆ เปล่งปลั่งขึ้น ใบหน้าแจ่มใสขึ้น ท้องที่ป่องยุบลงเรื่อยๆ พระผาดลุกมาฉันอาหารได้แม้ว่าจะยังไม่มีเรี่ยวแรงมากนักก็ตาม

ส่วนปองนั้นมัวแต่เบิกบานใจที่การรักษาได้ผล ไม่สำเหนียกว่ามีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับตน

 

ปองเริ่มหลับไม่สนิทและฝันร้าย ฝันว่ามีสัตว์เลื้อยคลานสีดำไต่ไปมาบนตัว บางคืนฝันว่ามีเงาดำที่มีเล็บยาวสกปรกไล่ข่วน หรือมีบางสิ่งบางอย่างไชเข้าใต้ผิวหนัง หรือโดนกัด ฝันร้ายมักทำให้ปองสะดุ้งตื่นและนอนไม่หลับ แล้วปัญหาที่ใหญ่กว่าก็ตามมา

เขารู้สึกเจ็บแปล๊บๆ ตามแขนขา พอเอามือลูบแขนขาตัวเองความเจ็บก็หายไปชั่วคราวจึงมิได้ใส่ใจ วันๆ วุ่นวายกับการรักษาคนป่วยที่มาหา ไม่นานนักก็เริ่มมีเลือดซึมออกมาบนผิวหนัง เริ่มจากบนแขนขาก่อน แล้วค่อยๆ กระจายไปทั่วร่างกาย การรักษาตัวเองด้วยการใช้มือลูบเริ่มไม่ได้ผล สมุนไพรหลายอย่างที่พ่อและเปลวอุตส่าห์ออกไปหาในป่าบนเขาเอามาต้มให้ปองดื่มและถูทาบนผิวหนังไม่ช่วยให้หาย ปองรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น กินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายผอมลง ในขณะที่เขาอ่อนแอลงเรื่อยๆ ผิวหนังที่แห้งเกรอะกรังด้วยเลือดก็เริ่มลอกออกเป็นแผ่น เหมือนงูลอกคราบ ปองรู้สึกแสบร้อนเหมือนโดนน้ำกรดเวลาที่ผิวลอกออก แล้วเลือดก็ซึมออกตามผิวหนังมากขึ้น กลายเป็นผิวหนังปนเลือดแห้งๆ แล้วลอกตัวออก วนเวียนซ้ำซากอยู่เช่นนี้ เขารู้สึกปวดแสบปวดร้อนตามร่างกายบ่อยขึ้น ทรมาทรกรรมไม่สิ้นสุด

พ่อแม่ตายายได้แต่โศกเศร้าที่เห็นปองอาการแย่ลงแต่ช่วยอะไรไม่ได้ เปลวรู้สึกเจ็บปวดใจจะขาดที่เห็นปองในสภาพเช่นนี้ เธอเข้าไปกอดปองที่นอนป่วยอยู่แล้วร้องไห้ ปองสะดุ้งเมื่อถูกเปลวแตะต้องตัว แต่พอน้ำตาที่ไหลนองใบหน้าของเปลวค่อยๆ หยดลงบนตัวของเขาปองกลับรู้สึกเหมือนน้ำเย็นที่ประโปรยลงมาบนร่างกาย ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนลดน้อยลง เป็นครั้งแรกหลังจากที่ล้มป่วยที่ปองรู้สึกผ่อนคลายสบายกาย เสียงที่อื้อในหูเงียบลง อากาศรอบตัวเย็นลง จิตใจของปองพลอยสงบตามไปด้วย แล้วเขาก็เคลิ้มหลับไป

แต่ปองไม่หายป่วย พอตื่นนอนความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนก็กลับมาอีก ยิ่งนานวันอาการของปองยิ่งแย่ลง เขาร้องด้วยความเจ็บปวดบ่อยขึ้น ทุกคนในบ้านเริ่มรู้สึกสิ้นหวัง เปลวโมโหตัวเองที่ไร้ประโยชน์ ไม่สามารถรักษาพี่ชายสุดที่รักได้ สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือทุกครั้งที่ปองครวญครางเสียงดังเธอจะเข้าไปกอดและช่วยให้เขาหลับได้ แต่ทุกครั้งที่กอดปองเธอร้องไห้ บางครั้งก็ร้องไห้จนตัวเองหมดแรงหลับไป คืนหนึ่งพอปองเริ่มครางเปลวก็เข้าไปใกล้ๆ

“ช่วยฉันด้วย เปลว” เสียงของปองแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน “ช่วยที ฉันเจ็บ” เปลวเริ่มสะอึกสะอื้นอีกครั้ง ก้มตัวลงกอดพี่ชายด้วยใบหน้าที่นองน้ำตา เธอร้องไห้จนตัวเองหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย มารู้สึกตัวเมื่อฟ้าเริ่มสว่าง งัวเงียพลิกตัวแล้วหลับต่อจนกระทั่งพ่อเขย่าตัวเธอปลุกให้ตื่น เปลวลืมตาเห็นแม่และตายายนั่งร้องไห้อยู่ข้างตัวปอง แล้วเธอก็รับรู้ว่าปอง พี่ชายและเพื่อนคนเดียวของเธอ ได้จากเธอไปแล้ว

เสร็จจากงานศพ พ่อและตาช่วยกันสร้างศาลไม้หลังเล็กๆ ขึ้นในบริเวณบ้านตามคำขอร้องของเปลวเพื่อเก็บอัฐิของปอง แล้วเธอก็ปลูกต้นจำปา ดอกไม้ที่ปองชื่นชอบ ข้างศาลไม้นั้น ทุกเช้าเธอจะนำอาหารไปไหว้ที่ศาล แล้วกรวดน้ำลงบนต้นจำปาสวดภาวนาอุทิศส่วนบุญให้พี่ชาย

ทว่า ในใจของเธอความทุกข์โศกค่อยๆ กลายเป็นความขุ่นเคือง เธอโทษพระผาดที่ทำให้ปองป่วย โกรธตัวเองที่ช่วยพี่ชายไม่ได้

 

หลังการตายของหมอปองพระผาดอาพาธหนักลงจนลุกไม่ได้ พระสงฆ์รูปอื่นในวัดเริ่มปลงตกยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระผาด

บ่ายวันหนึ่งเปลวไปที่วัด บริเวณวัดเงียบสงบไร้ผู้คน เธอเดินไปที่กุฏิของพระผาดแล้วร้องเรียกเบาๆ แต่ไม่มีเสียงตอบจึงขึ้นไปบนกุฏิ พบพระผาดกำลังจำวัดอยู่ลำพังจึงคลานเข้าไปหา

“ใคร?” พระผาดเอ่ยถามเบาๆ ทั้งที่ยังหลับตาอยู่ หายใจแผ่วๆ

“ฉันเอง” เปลวสะดุ้งตอบ ลืมตัวเอื้อมมือไปคว้าแขนของพระผาด พอถูกจับพระผาดรู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนโดนไฟจี้ ตัวกระตุกด้วยความเจ็บปวดแต่อ่อนแอเกินกว่าจะทำอะไรได้ มีเพียงเสียงครอกเบาๆ เหมือนคนหายใจไม่ออกแล้วแน่นิ่งไป เปลวเห็นพระผาดนิ่งเงียบไม่ขยับเขยื้อนก็ตกใจ รีบออกจากกุฏิ

คืนนั้นพระผาดจากไปอย่างสงบ เหลือไว้เพียงร่างไร้วิญญาณที่แห้งลงเรื่อยๆ จนกลายเป็น ‘หลวงตาแห้ง’ พระเถระผู้มีอิทธิฤทธิ์

 

เปลวมีอายุยืนยาวอีกหลายทศวรรษหลังการจากไปของปอง บ้านที่เธออาศัยอยู่เพียงลำพังค่อยๆ ผุพังเพราะขาดการดูแล แต่เธอไม่เคยล้มหมอนนอนเสื่อ และไม่เคยลืมที่จะนำอาหารและน้ำไปไหว้ที่ศาลไม้ทุกเช้า ต้นจำปาที่ปลูกไว้เติบโตงอกงาม แตกตัวออกเป็นหลายต้น บริเวณรอบๆ มีต้นไม้ชนิดอื่นงอกเงยขึ้นด้วย กลายเป็นที่อยู่ของนกนานาชนิด วัวควายของชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ ก็เข้ามากินหญ้าและพืชพรรณต่างๆ แต่เปลวไม่สนใจที่จะดุด่าห้ามปราม รอบบ้านของเธอจึงกลายเป็นที่สาธารณะโดยปริยาย มีชาวบ้านผ่านไปมาอยู่เสมอ บางคนยกมือไหว้ศาลไม้หลังนั้นด้วยความระลึกถึงปอง หมอศักดิ์สิทธิ์ผู้อารี บางคนที่มีญาติพี่น้องเจ็บป่วยก็มาไหว้ภาวนาขอให้ญาติหายป่วย คนที่หายป่วยก็มากราบขอบคุณหมอปองที่ช่วยรักษา บางคนก็เอาของกินมาถวาย พอมีคนหายป่วยมากขึ้นคนที่มากราบไหว้หมอปองก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

แม้หมอปองจะไม่อยู่แล้วก็ตาม แต่ความเชื่อในอำนาจวิเศษของเขามิได้สูญหายไป ตรงกันข้าม จำนวนคนที่เชื่อกลับเพิ่มจำนวนขึ้น ศาลไม้เล็กๆ จึงกลายเป็นศาลเจ้าหลังใหญ่ที่มีผู้คนมากราบไหว้อยู่เสมอ

เล่ากันว่าคืนที่เปลวจากโลกนี้ไปอย่างสงบ บรรยากาศเงียบสงัด ไร้ลมพัด ท้องฟ้าไร้เมฆไร้แสงจันทร์แสงดาว ไม่มีแม้แต่เสียงหรีดหริ่งเรไร ดุจดังสิ่งมีชีวิตทั้งหลายได้พากันหลับใหล ไม่แยแสต่อสิ่งใด ตกดึกฝนเริ่มลงเม็ด แล้วตกหนักขึ้นๆ แต่ไม่มีพายุฟ้าคะนอง มีเพียงเสียงฝนที่ตกกระทบสิ่งต่างๆ ฝนตกไม่หยุดนาน 11 วัน โนนเหือดที่แห้งแล้งค่อยๆ กลายเป็นทะเลน้ำฝน ชาวบ้านต้องอพยพขนของหนีน้ำขึ้นที่สูง เคราะห์ดีที่ไม่มีชาวบ้านหรือสัตว์ล้มตาย พื้นที่ที่เคยเป็นแอ่งถูกน้ำท่วมกลายเป็นหนองน้ำใหญ่ สร้างความชุ่มชื้นให้บริเวณรอบหนอง พันธุ์ไม้นานาพรรณเจริญเติบโต เขียวชอุ่มไปทั่ว ในหนองน้ำมีปลาสารพัดชนิดเข้ามาอาศัยและกลายเป็นแหล่งอาหารของชาวบ้าน

ชาวบ้านช่วยกันเผาศพของเปลว แล้วนำอัฐิไปฝังที่ข้างศาลไม้ ไม่นานนักก็มีต้นมะเดื่อผุดขึ้นมา เติบโตสูงใหญ่ในเวลาอันรวดเร็ว บ้านที่ผุพังไร้คนอาศัยถูกรื้อออกเพื่อสร้างศาลหลังใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม แล้วดวงวิญญาณของหมอปองก็ถูกอัญเชิญจากศาลไม้เก่าไปอยู่บน ‘ศาลเจ้าพ่อปอง’

 

“ตอนนั้นฉันไม่ค่อยสบาย ป่วยออดๆ แอดๆ หาหมอก็รักษาไม่หาย ดีขึ้นวันสองวันก็ป่วยอีก” แม่ค้าขายเครื่องดื่มที่อยู่ใกล้ศาลเจ้าบอกคนขายลอตเตอรี่ที่นั่งพักร้อนอยู่หน้าร้าน

“อ้อ หรือ? แล้วทำยังไงล่ะพี่?” หญิงขายลอตเตอรี่ถามพลางพัดไล่ความร้อนพลาง

“มีคนบอกฉันให้มาไหว้เจ้าพ่อปอง มาบนขอให้หาย” แม่ค้าเครื่องดื่มเล่าต่อ “ตอนแรกฉันไม่ค่อยเชื่อหรอก บ้านอยู่ไกลด้วย นั่งรถมาทีครึ่งค่อนวัน ต้องออกบ้านแต่เช้ามืด แต่พี่สดผัวฉันเขาเชื่อ บอกให้มาไหว้ เขามาเป็นเพื่อนด้วย ฉันเลยมา”

“ครั้งแรกที่มาไหว้พอกลับถึงบ้านฉันกลับป่วยหนักกว่าเก่า” แม่ค้าเล่าต่อ “นอนซมอยู่หลายวัน ไม่มีเรี่ยวแรง กินไม่ลง เลยไม่อยากทำอะไร ในใจคิดไม่รักษาแล้ว แต่พี่สดไม่ยอม บอกว่ามึงต้องหาย มึงต้องมีศรัทธาในเจ้าพ่อ บอกให้ฉันกลับมาไหว้อีก ฉันขี้เกียจทะเลาะกับเขาเลยรับปากว่าจะมาแต่ก็ไม่ได้มาหรอก พี่สดงานยุ่งด้วยเลยลืม ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ฉันก็ยังป่วยๆ หายๆ”

“จนถึงงานไหว้เจ้าพ่อเดือนเจ็ด พี่สดบังคับให้ฉันมา วันนั้นมีคนมาแยะมาก เต็มไปหมด ฉันกับพี่สดเดินฝ่าคนเข้าไปในศาลเจ้าไม่ได้ ฉันเลยปักธูปไหว้เจ้าพ่ออยู่ตรงหน้าศาลเจ้า แล้วฉันก็รู้สึกงงๆ เป็นอะไรไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีพี่สดอุ้มฉันอยู่ ถามว่าเป็นอะไรมั้ย หายยังๆ แล้วเขาเล่าให้ฟังว่าตัวฉันอยู่ๆ ก็ล้มลงไปนั่งบนพื้น แล้วก็ลุกขึ้นมารำ เต้นไปเต้นมา พี่สดว่าเขาตกใจมาก แล้วมีคนตะโกนบอกว่าเจ้าพ่อเข้าๆ ปล่อยไปๆ พี่สดทำอะไรไม่ถูก ยืนดูฉันรำจนหมดแรงลงไปนั่งที่พื้นอีกก็รีบเข้ามาอุ้มฉันไว้ แต่ฉันจำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรไป”

หญิงขายลอตเตอรี่ฟังจบถึงกับตาโต อ้าปากค้าง พอตั้งสติได้ก็ถามว่า “แล้วตอนนี้พี่เป็นยังไง?”

“ก็สบายดี แข็งแรงดี” แม่ค้าเล่าพร้อมรอยยิ้ม

“ตอนนั้นฉันมางานไหว้เจ้าพ่อเดือนเจ็ดทุกปี เจ้าพ่อก็มาเข้าทรงทุกปี พี่สดเลยชวนฉันให้ย้ายมาอยู่ที่นี่ จะได้ไม่ต้องเดินทางไปมาทุกปี มันไม่สะดวกและเปลืองด้วย ฉันและพี่สดเลยตัดสินใจมากัน แรกๆ ไม่รู้ว่าจะหากินยังไงหรอก ลองทำโน่นทำนี่จนมาขายน้ำนี่แหละ พอมีกำไรอยู่ได้ พี่สดมีรถกระบะ รับจ้างไปเรื่อย อยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว ตอนนี้อยู่ตัว ลูกๆ ก็โตแยกย้ายกันไปทำงานหมดแล้ว ฉันเลยหมดห่วง คนที่นี่เขาก็ดี คนทำมาหากิน มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน” •