ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 ธันวาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | จ๋าจ๊ะ วรรณคดี |
ผู้เขียน | ญาดา อารัมภีร |
เผยแพร่ |
หนังสือ “ภาษาไทยวันละคำ ฉบับรวมเล่ม” โดยศาสตราจารย์กิตติคุณกาญจนา นาคสกุล และคณะ อธิบายที่มาของคำนี้ไว้โดยละเอียด
“คำว่า โสเภณี เป็นคำกร่อนมาจากคำว่า นครโสภินี นคร แปลว่า เมือง โสภินี มาจากศัพท์ โสภี แปลว่า งาม นครโสภินี แปลว่า หญิงงามประจำเมือง หญิงผู้ทำเมืองให้งาม หญิงนครโสภินี อาจเรียกว่า นางคณิกาก็ได้”
ศาสตราจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ให้รายละเอียดเกี่ยวกับความหมาย ความเป็นมา และบทบาทหน้าที่ของโสเภณีไว้ในบทความเรื่อง ‘โสเภณีกับพระพุทธศาสนา’ จากหนังสือเรื่อง “พุทธศาสนา : ทรรศนะและวิจารณ์” (สำนักพิมพ์มติชนจัดพิมพ์)
ดังนี้
“โสเภณี ย่อมาจากคำเต็มว่า นครโสเภณี ซึ่งดีทั้งทางความหมายและเกียรติยศ
นครโสเภณี แปลว่า สตรีที่ยังนครให้งาม หรือสตรีงามเมือง ชื่อนี้เป็นตำแหน่งที่พระราชามหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งเชียวนะครับ ไม่ใช่ย่อยๆ คนที่ได้รับตำแหน่งนี้ต้องเป็นสตรีที่งามเลิศจริงๆ ผ่านการคัดเลือกโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่แพ้ประกวดนางสาวจักรวาลเชียวแหละ
ธรรมเนียมการแต่งตั้งหญิงนครโสเภณี ดูเหมือนจะเกิดขึ้นที่เมืองไพศาลี เมืองหลวงของแคว้นวัชชีก่อน วัตถุประสงค์ของการแต่งตั้งสตรีงามเมือง เพื่อดึงดูดใจเงินตราต่างประเทศเป็นสำคัญ
กษัตริย์และพวกพ่อค้าวาณิชต่างเมือง เมื่อรู้ว่าเมืองไหนมีหญิงงามเมืองเลอโฉม ก็พากันไปเที่ยวหาความสำราญ ขนเงินขนทองไปให้คราวละมากๆ เธอจึงเสมือนแม่เหล็กดูดเงินตราเข้าประเทศอย่างมหาศาล
นับว่าพวกวัชชีนี้หัวแหลมจริงๆ”
ด้วยเหตุนี้เริ่มแรกนั้น ‘โสเภณี’ จึงเป็นหญิงงามชั้นสูงที่ได้รับยกย่องว่ามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจอินเดียสมัยโบราณ เมื่อเวลาผ่านไป ประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย จีน ไทย ฯลฯ บทบาทหน้าที่ของโสเภณีก็เป็นเพียงผู้ขายบริการทางเพศที่มีมาช้านานและมีสถานภาพตกต่ำไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม
สมัยสุโขทัยใช้คำว่า ‘แม่ร้าย’ และ ‘แพศยา’ แทนความหมาย หญิงถ่อย หญิงแพศยา และหญิงโสเภณี ดังที่วรรณคดีเรื่อง “ไตรภูมิพระร่วง” เล่าถึงภิกษุณีนามว่า อัมพปาลิกาที่ตกนรกและเกิดเป็นโสเภณีนานถึงหนึ่งหมื่นชาติว่า
“นางก็ได้ไปตกนรกด้วยกรรมบาปของนางอันที่นางได้ด่าพระมหาเถรีขีณาศพนั้น แลนางได้ทนทุกขเวทนาอยู่ในนรกโพ้นหึงนานหลายปีนักหนา ครั้นว่าสิ้นบาปพ้นจากนรกขึ้นมา แลได้เกิดเป็นผู้หญิงแม่ร้ายแพศยาได้หมื่นชาติเพราะบาปอันตนได้ด่าพระมหาเถรีขีณาศพเจ้านั้น ว่าผู้หญิงแม่ร้ายนั้นแลจิงได้เป็นหญิงแพศยา”
(อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
นอกจากนี้ เรื่องของโสเภณีมีบันทึกใน “คำให้การขุนหลวง วัดประดู่ทรงธรรม” (เอกสารจากหอหลวง) ว่าเป็นอาชีพหนึ่งในสมัยอยุธยา สถานที่ทำมาหากินมีถึง 4 แห่งด้วยกันในแหล่งชุมชนคนจีน ทำเลที่ตั้งอยู่ในตลาดใหญ่ไปมาสะดวกทั้งทางบกทางน้ำ
“ตลาดบ้านจีนปากคลองขุนละครไชยมีหญิงละครโสเภณี ตั้งโรงอยู่ท้ายตลาด ๔ โรง รับจ้างทำชำเราแก่บุรุษ ตลาดนี้เปนตลาดใหญ่ใกล้ทางเรือแลทางบก มีตึกกว้านร้านจีนมาก ขายของจีนมากกว่าของไทย มีศาลเจ้าจีนศาลหนึ่งอยู่ท้ายตลาด ๑”
แม้ใน “จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม” (ฉบับ สันต์ ท. โกมลบุตร แปล) ก็เป็นหลักฐานยืนยันว่าในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีโสเภณีมากถึง 600 คน
“ถ้าบุตรีคนใดกระทำชั่ว ขุนนางผู้บิดาก็ขายบุตรีส่งให้แก่ชายผู้หนึ่งซึ่งมีความชอบธรรมที่จะเกณฑ์ให้สตรีที่ตนซื้อมานั้นเป็นหญิงแพศยาหาเงินได้ โดยชายผู้มีชื่อนั้นต้องเสียเงินภาษีถวายพระมหากษัตริย์ กล่าวกันว่า ชายผู้นี้มีหญิงโสเภณีอยู่ในปกครองของตนถึง ๖๐๐ นางล้วนแต่เป็นบุตรีขุนนางที่ขึ้นหน้าขึ้นตาทั้งนั้น”
‘โสเภณี’ นอกจากเป็นหนึ่งในบุคคลต้องห้าม ขาดความน่าเชื่อถือ ไม่เหมาะสมจะเป็นพยานในการตัดสินคดีแล้ว ยังไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม มีการเลือกปฏิบัติต่างจากคนทั่วไป ดังจะเห็นได้จาก “กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน” เล่ม 1 บันทึกว่า
“ครั้นถามอีมีๆ รับว่าเปนคนนครโสเภนีต้นสาเกแต่แผ่นดินหลัง มีบทพระไอยะการไว้ว่าหญิงแพศยาชายใดทำชู้ข่มขืนมิให้ปรับไหมชายชู้ จึ่งมีพระราชโองการมาณพระบันทูลสูระสิงหนาทดำหรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า ถ้าชายใดเอาหญิงนครโสเภนีเปนภรรยาอยู่ประสมเปนคู่ผัวคู่เมียกันจนเกิดบุตร ๒ คนบุตร ๓ คน ชายใดทำชู้ก็ดีข่มขืนก็ดี มันร้องฟ้องให้รับบังคับบังชาให้ ถ้ามันยังมิเกิดบุตรด้วยกัน อย่าให้รับฟ้องไว้บังคับบังชาเปนอันขาดทีเดียว” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
การที่คำว่า ‘สำเพ็ง’ หรือ ‘อีสำเพ็ง’ ในสมัยโบราณใช้เป็นคำด่าดูหมิ่นเหยียดหยามหญิงโสเภณี หรือหญิงที่ประพฤติตัวไม่ดี น่าจะเป็นผลมาจากในสมัยรัชกาลที่ 1 นั้น ย่านสำเพ็งมีซ่องโสเภณี ดังที่ “นิราศเมืองแกลง” ของสุนทรภู่ เล่าไว้สั้นๆ ว่า เมื่อท่านนั่งเรือผ่านสำเพ็งตอนกลางคืน ได้เห็น ‘นางจ้างประจาน’ หรือโสเภณีร้องรำทำเพลงอยู่ในตรอก ไม่หลับไม่นอนเหมือนชาวบ้านทั้งหลาย
“ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำ แพประจำจอดเรียงเคียงขนาน
มีซุ้มซอกตรอกนางจ้างประจาน ยังสำราญร้องขับไม่หลับลง”
สุนทรภู่ยังเล่าถึงลักษณะเฉพาะของสำเพ็งยามค่ำคืนไว้ใน “นิราศภูเขาทอง” ตอนหนึ่งด้วยว่า ในเวลากลางคืนวัดพระเมรุมีงานฉลองผ้าป่า แสงโคมสว่างไสวราวกับสำเพ็ง (สามเพ็ง) อย่างไรอย่างนั้น
“มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน
บ้างขึ้นล่องร้องลำเล่นสำราญ ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง
บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง
มีโคมรายแลอร่ามเหมือนสามเพ็ง เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู”
(อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
ทำไมสำเพ็งถึงเกี่ยวกับโสเภณี?
อันที่จริงสำเพ็งเป็นย่านการค้าเก่าแก่ของชาวจีนในกรุงเทพฯ ที่มิได้เจาะจงขายเฉพาะบริการทางเพศเท่านั้น แต่ขายสินค้าหลากหลายชนิด ทั้งยังประกอบอาชีพอื่นๆ ด้วย
ดังที่วรรณคดี “ยอพระเกียรติ ๓ รัชกาล” ของพระยาไชยวิชิต (เผือก) เล่าถึงวัดราชโอรสที่มีศิลปะไทย จีน ฝรั่ง ผสมผสานกัน ดังนี้
“พระอารามนามราชโอรส น่าบันชั้นลดลายฝรั่ง
กระเบื้องเคลือบสอดสีมีพนัง เปนอย่างนอกออกปลั่งปลาบปลิว
ลางหลังตั้งวงเปนทรงเก๋ง จีนสำเพ็งพวกแซ่แต้จิ๋ว
วิชาช่างจ้างทำเปนแถวทิว แจกติ้วให้ตั๋วตั้งครัวเลี้ยง
หอระฆังทั้งที่วิหารราย แยบคายมั่นคงทรงเฉลียง
ปูนผิวเต็มดีด้วยฝีเกรียง พระระเบียงยักอย่างมาข้างไทย”
(อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
ข้อความว่า ‘จีนสำเพ็งพวกแซ่แต้จิ๋ว วิชาช่างจ้างทำเปนแถวทิว’ บอกให้รู้ว่าคนจีนสำเพ็งที่ใช้ภาษาแต้จิ๋วนั้นมีความรู้ความชำนาญงานช่างเกี่ยวกับการสร้าง ประกอบ ติดตั้ง ดัดแปลงเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งการซ่อมแซมและบำรุงรักษาสิ่งก่อสร้าง อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้และสิ่งของต่างๆ ให้มีอายุการใช้งานได้ยาวนาน ช่างแต้จิ๋วที่สำเพ็งได้รับความนิยมอย่างยิ่งถึงขนาดมีผู้คนมากมายมาว่าจ้างให้ทำงาน
การที่สำเพ็งเป็นย่านการค้าของคนจีนจำนวนมากสืบเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสร้างกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ พ.ศ.2325 ดังที่ “พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1” (ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) ) บันทึกว่า
“พระราชวังใหม่ให้ตั้งในที่ซึ่งพระยาราชาเศรษฐีและพวกจีนอาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่แต่ก่อน โปรดให้พระยาราชาเศรษฐีและพวกจีนย้ายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ ที่สวน ตั้งแต่คลองวัดสามปลื้มไปจนถึงคลองวัดสามเพ็ง” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
เมื่อชาวจีนตั้งรกรากที่สำเพ็ง ทักษะความชำนาญด้านการค้าขายที่อยู่ในสายเลือด ทำให้ย่านนี้กลายเป็นย่านค้าขายไปโดยอัตโนมัติ ขายสินค้าสารพัดรวมทั้ง ‘เนื้อสด’
ฉบับหน้าอย่าพลาด “โสเภณีไทย-โสเภณีจีน” •
จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022