ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 ธันวาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | สิ่งแวดล้อม |
ผู้เขียน | ทวีศักดิ์ บุตรตัน |
เผยแพร่ |
กลายเป็นดราม่าไปเฉยเลย เรื่องนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” ไม่ได้ลงไปดูสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ แต่กลับอุ้มลูกควงสามีไปร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่ จ.เชียงใหม่
เสียงวิพากษ์วิจารณ์นายกฯ อุ๊งอิ๊ง ไม่ใช่แค่ประเด็นน้ำท่วมใต้ แต่ลามไปถึงการแสดงออกในความเป็นผู้นำประเทศ วุฒิภาวะ ความรอบรู้ในด้านต่างๆ รวมถึงการแต่งกายที่เหมาะสมกับสถานที่
สื่อหลายๆ ฉบับรวมทั้งคอมเมนต์ของผู้คนผ่านทางโชเชียลมีเดียดังหนาหูจนรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยแทนเพราะถ้า “อุ๊งอิ๊ง” ไม่รีบปรับตัวและไม่เปลี่ยนที่ปรึกษาไม่หามืออาชีพมาช่วย โอกาสที่ความน่าเชื่อถือในความเป็นผู้นำจะติดลบมากขึ้น
ขอบอกว่าการให้สัมภาษณ์แต่ละครั้ง “อุ๊งอิ๊ง” มีจุดโหว่โชว์ให้เห็นถึงความรู้ ความอดทนอดกลั้นที่บางหวิว ไม่ว่าจะเรื่องเงินบาทแข็งทำให้ส่งออกดีขึ้น หรือน้ำท่วมจากเชียงใหม่น้ำจะไหลลงแม่น้ำโขง หรือโพสต์ข้อความตอบโต้เรื่องสามีคนใต้ผ่านโซเชียลมีเดีย ฯลฯ
คราวนี้มาว่ากันถึงสาเหตุน้ำท่วมภาคใต้สาเหตุหลักคือปริมาณฝนที่ตกหนักแต่ไม่มีหน่วยงานใดสามารถบริหารจัดการให้น้ำลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถ้าย้อนดูปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายนต่อเนื่องถึงวันที่ 3 ธันวาคม เฉลี่ย 100-500 มิลลิเมตรต่อวัน นับว่ามีปริมาณมากเป็นพิเศษ
ปริมาณฝนที่ตกมาก มวลน้ำที่สะสมจากเทือกเขาสันกาลาคีรีใน อ.เบตง จ.ยะลา ไหลลงแม่น้ำปัตตานี ผ่าน อ.ธารโต อ.บันนังสตา อ.เมืองยะลา อ.ยะรัง อ.หนองจิก ออกสู่อ่าวไทยที่ ต.สะบารัง อ.เมืองปัตตานี
หรือมวลน้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำสายบุรี ไหลลงทะเลที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี แม่น้ำบางนรา ที่ไหลจาก อ.สุไหงปาดี ลงทะเลที่ อ.เมืองนราธิวาส รวมถึงแม่น้ำโก-ลก ไหลลงทะเลที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ล้วนเป็นจุดเริ่มต้นของสาเหตุน้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ตอนล่าง
มวลน้ำมีมาก การระบายน้ำไม่ทันการณ์ประกอบกับช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนมีน้ำทะเลหนุนบริเวณปากน้ำปัตตานี โดยเฉพาะวันที่ 30 พฤศจิกายน เป็นวันที่น้ำทะเลขึ้นสูงสุด
มวลน้ำสะสมบนเทือกเขาสูงไหลลงทะเลใช้เวลาอย่างน้อย 3 วัน เขื่อนบางลาง ใน จ.ยะลา ระบายน้ำออกมาด้วย เมื่อมวลน้ำถึงปากอ่าวกลับเจอน้ำทะเลดันเข้าฝั่งน้ำจึงเอ่อท่วมหนัก
น้องชาวปัตตานีเล่าให้ฟังว่า อยู่ปัตตานีมา 30 กว่าปีไม่เคยเห็นน้ำท่วมอย่างนี้มาก่อน เช่นเดียวกับชาวยะลาที่แม่น้ำปัตตานีไหลผ่าน
ชาวเมืองยะลาให้สัมภาษณ์ว่า มีฝนตกหนักในพื้นที่ติดต่อกันตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน ตกหนักสุดวันที่ 27 พฤศจิกายน น้ำเอ่อขึ้นจากท่อระบายน้ำในตัวเมืองพอตกกลางดึกมีเสียงเตือนให้อพยพคนออกจากบ้านเพราะระดับน้ำท่วมสูงอย่างรวดเร็ว ไม่คิดมาก่อนว่าน้ำจะมาเร็วขนาดนี้
ก่อนเกิดเหตุ ทางเทศบาลนครยะลาเดือนภัยผ่านสื่อออนไลน์อยู่เป็นระยะๆ ชาวเมืองเตรียมการได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่คาดคิดว่าพื้นที่ยะลาจะมีน้ำท่วมหนักเช่นนี้
เทศบาลนครยะลามีเรือเพียง 8 ลำ แต่พื้นที่น้ำท่วมกว้างมาก มีชุมชนที่รอความช่วยเหลือหลายแห่ง
สภาพน้ำท่วมทั้งภาคใต้ตอนล่างปีนี้จึงหนักหนาสาหัสไม่ต่างไปจากน้ำท่วมภาคเหนือ
นักวิชาการหลายคนตั้งข้อสันนิษฐานน้ำท่วมภาคใต้และภาคเหนือว่า เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงสุดขั้ว
น้ำท่วมภาคเหนือเมื่อต้นเดือนกันยายนปีนี้มาจากหางพายุไต้ฝุ่นยางิทำให้เกิดฝนตกหนักเป็นวงกว้าง ฝนที่ตกลงมามากน้ำสะสมในพื้นที่ภูเขาสูงจนเต็มพิกัด มวลน้ำจึงทะลักล้นลงสู่พื้นล่างซึ่งเป็นตัวอำเภอแม่สาย จ.เชียงราย ลากเอาดินโคลนถล่มใส่บ้านเรือนจนเละเสียหายยับเยิน
เช่นเดียวกับที่ตัวเมืองเชียงใหม่ ช่วงต้นเดือนตุลาคม เพราะมีฝนตกหนักติดต่อกัน 3 วัน ปริมาณน้ำฝนวัดได้ 200-300 มม. สาเหตุที่ฝนตกไม่ใช่เพราะพายุแต่มาจากมวลอากาศเย็นจากจีนปะทะกับอากาศร้อนทางตอนเหนือของเชียงใหม่
ฝนตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ในปลายเดือนพฤศจิกายนต่อเนื่องถึงต้นเดือนธันวาคม กรมอุตุฯ ระบุว่า เป็นเพราะมวลอากาศเย็นจากจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ปะทะกับลมมรสุมที่ปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ซึ่งมีกำลังแรง ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำหรือมวลความร้อนเคลื่อนตัวผ่านอ่าวไทยตอนล่าง
ปริมาณน้ำฝนที่มีมากเพราะอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่ร้อนผิดปกติทำให้เกิดความชื้นในอากาศมากขึ้น นี่คือความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่ผิดปกติซึ่งเราทุกคนทั้งภาคเหนือ ภาคใต้และภาคอื่นๆ ของประเทศสัมผัสได้และเรียนรู้ว่า การจะอยู่รอดในภาวะโลกเดือดต้องเร่งปรับตัวให้มากกว่านี้
ส่วนรัฐบาลต้องยกระดับการเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศอย่างชนิดที่ต้องเรียกว่า “เรียลไทม์” สามารถแจ้งให้ชาวบ้านรู้ทันทีว่า พายุจะเข้ามาเมื่อไหร่ ในทิศทางไหน กระแสลมแรงแค่ไหน ประมาณน้ำฝนประเมินแล้วมีเท่าไหร่ ควรจะแจ้งอพยพชาวบ้านล่วงหน้ากี่วัน กี่ชั่วโมง?
การเตรียมพร้อมของหน่วยกู้ภัยฉุกเฉินก็ต้องยกระดับให้ทันท่วงที จำนวนทีมกู้ภัย การเข้าถึงจุดเกิดเหตุ ต้องมีความพร้อมมากกว่าที่เป็นอยู่ซึ่งถูกชาวบ้านด่าขรมว่า ไม่พร้อม ขาดอุปกรณ์ ชักช้าอืดอาดไม่ทันการณ์
กล่าวได้ว่า ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤต “โลกเดือด” เต็มตัวแล้ว ภาคเหนือ ภาคใต้ต่างก็ตกเป็นเหยื่อ “โลกเดือด” ซึ่งไม่ต่างไปจากประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ รวมไปถึงภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก ที่ประสบเหตุและเกิดความเสียหายอย่างมากมาย เกิดผลกระทบต่อสังคมลุกลามไปถึงพื้นที่ทางการเมือง
ขอนำกรณีตัวอย่างประเทศสเปนมาเล่าให้ฟัง
รัฐบาลที่นั่นเจอปัญหารุมเร้าหลังเกิดเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ในเมืองบาเลนเซียเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 224 คน ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัยและเด็กๆ เนื่องจากน้ำมาเร็วมากแรงมากทะลักเข้ามาในใจกลางเมืองระหว่างที่ผู้คนกำลังเดินทางจับจ่ายซื้อของและเพิ่งเลิกงาน
เหยื่อน้ำท่วมจำนวนไม่น้อยที่ยังอยู่ในรถยนต์ใต้อุโมงค์ทางลอด บางคนอยู่ในชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้า ผู้สูงวัยหลายคนอยู่ในบ้านเพียงลำพัง
เหตุการณ์น้ำท่วมเกิดขึ้นในแคว้นบาเลนเซียซึ่งเป็นเขตปกครองตนเองอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสเปน ชาวเมืองต่างรุมวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นว่าทำงานห่วยแตก ระบบแจ้งเตือนภัยไร้ประสิทธิภาพ ระบบกู้ภัยสุดแย่
ช่วงเกิดน้ำท่วมนั้นเป็นเวลาเย็นของวันที่ 29 ตุลาคม แต่ชาวบาเลนเซียเพิ่งได้รับแจ้งเตือนเหตุตอน 2 ทุ่มซึ่งไม่ทันการณ์แล้ว โรงงานหลายแห่งเพิกเฉยไม่ยอมให้คนงานหยุดงานทั้งที่มีการแจ้งเตือนเรื่องพายุฝนฟ้าคะนอง
รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นที่ปกครองแคว้นบาเลนเซีย ต่างฝ่ายต่างปัดพัลวันอ้างเหตุเพราะสภาพภูมิอากาศแปรเปลี่ยนรุนแรงเกิดฝนตกหนักมากจนเอาไม่อยู่
หลังเหตุการณ์ผ่านไปไม่กี่วัน ชาวเมืองที่โกรธแค้นพากันชุมนุมประท้วงการทำงานของภาครัฐและรู้ว่ามีกษัตริย์ ราชินีแห่งสเปนเสด็จมาเยือนก็ขว้างปาโคลนสิ่งของใส่ แต่กษัตริย์สเปนมีพระเมตตาและทรงกล่าวผ่านวิดีโอที่โพสต์ลงโซเชียลมีเดียว่า เข้าใจถึงความโกรธและความไม่พอใจ
ฝ่ายนายคาร์ลอส เมซอน ประธานาธิบดีแคว้นบาเลนเซีย ออกมายอมรับความผิดพลาดที่ไม่สามารถดูแลปกป้องชาวเมือง แต่ไม่ยอมลาออกจากตำแหน่ง
สื่อไปสืบค้นหาความจริงกรณีนายเมซอนเดินทางมาควบคุมสถานการณ์น้ำท่วมช้ามากกว่าจะถึงศูนย์บัญชาการกู้ภัยฉุกเฉินปาเข้าไป 3 ชั่วโมง พบว่านายเมซอนเพลิดเพลินกับอาหารมื้อเที่ยง
ส่วนรัฐบาลกลางสเปนมองเห็นวิกฤตของภาวะโลกเดือดที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อชาวบาเลนเซีย หยิกยกปัญหานี้ไปออกกฎหมายฉบับใหม่ว่าด้วยการอนุญาตให้คนงานหยุดพักได้ 4 วันถ้าหากทางการแจ้งเตือนจะเกิดเหตุภัยพิบัติฉุกเฉิน
กฎหมายฉบับใหม่นี้ รัฐบาลสเปนเชื่อว่าจะช่วยลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อีกทั้งยังเป็นสิทธิของประชาชนในการปฏิเสธไปเสี่ยงภัยอันตราย
รัฐบาลสเปนประมวลความสูญเสียทางเศรษฐกิจในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่แคว้นบาเลนเซีย คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประสบภัยรวมแล้ว 2,300 ล้านยูโร หรือราว 8 หมื่นล้านบาท
สำหรับบ้านเราเหตุน้ำท่วมภาคใต้นำไปสู่ความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน แถมยังเกิดดราม่ากระเทือนถึงภาพลักษณ์ “นายกฯ” จึงบอกได้เลยว่า “โลกเดือด” ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ขำๆ อีกต่อไป! •
สิ่งแวดล้อม | ทวีศักดิ์ บุตรตัน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022