ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 ธันวาคม 2567 |
---|---|
ผู้เขียน | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ |
เผยแพร่ |
ในปี 2565 ผมได้รับโอกาสพิเศษที่ไม่อาจลืมเลือน เมื่อได้ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเย็นกับ มอริส จาง (Morris Chang) ผู้ก่อตั้งบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC)
ในโอกาสระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำของผู้แทนไต้หวันในเวทีประชุม APEC ที่กรุงเทพฯ ในเวลานั้น TSMC เป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยตำแหน่งผู้นำที่สร้างขึ้นจากความเป็นเลิศเชิงกลยุทธ์และการลงทุนเชิงวิสัยทัศน์ของไต้หวัน
บทสนทนาของเรามีจุดเริ่มต้นที่มหาวิทยาลัย MIT ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างผมและมอริส จาง-เขาสำเร็จการศึกษาในปี 2495 ส่วนผมสำเร็จการศึกษาในปี 2554 เขาเล่าให้ฟังด้วยความภาคภูมิใจว่าอาคาร Sloan ซึ่งผมเคยใช้อบรมและเรียนรู้ในสมัยนั้น ตอนนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Morris and Sophie Chang Building” เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาและภรรยา หลังจากที่เขาบริจาคเงินสนับสนุนมหาวิทยาลัย
ระหว่างมื้ออาหาร ตลอด 2 ชั่วโมง ผมได้เปิดโลกว่า “ชิป” ไม่ได้เป็นเพียงแค่หัวใจของเทคโนโลยี แต่ยังเกี่ยวพันกับความมั่นคงแห่งชาติ ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลกอย่างลึกซึ้ง เขาย้ำถึงความสำคัญของการลงทุนระยะยาว ตัวอย่างตอนนั้นเช่น โครงการผลิตชิปในรัฐแอริโซนาของสหรัฐ ที่แสดงถึงความคิดเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว ที่เขายกตัวอย่างถึงศักยภาพและความท้าทายของอนาคตอุตสาหกรรมนี้
2 ปีต่อมา ภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว Nvidia ภายใต้การนำของ เจนเซน ฮวง (Jensen Huang) ซีอีโอผู้ทรงอิทธิพล ที่เดินทางมาประเทศไทย 3-5 ธันวาคม ได้ก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่มีมูลค่าตลาดสูงอันดับ 1 ในโลกด้วยมูลค่ากว่า 3.44 ล้านล้านดอลลาร์ แซงหน้า TSMC ในแง่ของมูลค่าตลาดไปเรียบร้อยภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี!
มากไปกว่านั้น ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2024 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกคือ Nvidia (NVDA) ด้วยมูลค่าประมาณ 3.44 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่งแซงหน้า Apple (AAPL) ที่มีมูลค่า 3.37 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วย Microsoft (MSFT) ที่ 3.05 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ Alphabet (GOOGL) ที่ 2.10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Amazon (AMZN) ที่ 2.08 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
การที่ Nvidia ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกนั้น เป็นผลมาจากการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และความต้องการฮาร์ดแวร์สำหรับ AI ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คำถามต่อมาน่าจะเป็นว่า คุณเจนเซน ฮวง Nvidia และอุตสาหกรรมชิปคือใคร มีรายละเอียดอะไรบ้าง
ก่อนจะเข้าเรื่องยากๆ ผมมีเกร็ดน่าสนใจสนุกๆ สำหรับท่านผู้อ่านคือ สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในโลกของเทคโนโลยี อยู่ 3-4 เรื่องครับ
เรื่องแรก คือ คุณมอริส จาง รู้จักดีกับ คุณเจนเซน ฮวง ในหนังสือของเขา เล่าว่าเขาเคยได้รับข้อเสนอให้เป็นผู้บริหารของ TSMC แทนคุณมอริสมาแล้ว แต่คุณเจนเซนปฏิเสธ!
เรื่องที่ 2 คงเป็นเรื่องรูปที่เขาถ่ายกับ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก สลับแจ๊กเก็ตกันใส่ และคุณมาร์คเรียกคุณเจนเซนว่า Taylor Swift ของวงการเทค
เรื่องที่ 3 คือ คุณเจนเซน เกิดที่ไต้หวัน แล้วย้ายมาอยู่ที่ไทย! ก่อนไปย้ายไปอเมริกา คาดว่าเขาคงมีความผูกผันกับไทยบ้างไม่มากก็น้อย
และเรื่องที่ 4 คือ คุณเจนเซน ผู้บริหารของบริษัทชิปอันดับ 1 ของโลกเป็นญาติห่างๆ กับลิซ่า ซู (Lisa Su) ซีอีโอของ AMD ได้สร้างความสำเร็จให้บริษัทของเธอเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์อันดับที่ 8 ของโลก
หันกลับมามองประเทศไทย ผมตกใจเข้าไปอีกเมื่อต้นปี ที่ผมได้เรียนรู้ว่าตอนนี้ในตลาด SET บริษัทในเครือไต้หวันอย่าง เดลต้า อิเล็กทรอนิกส์ (Delta Electronics) ซึ่งปัจจุบันครองอันดับ 1 ในแง่ market cap ตลาดหลักมูลค่าตลาดเกิน 1 ล้านล้านบาท ผมได้ยินชื่อเดลต้ามานานตั้งแต่เรียนการเงินที่ธรรมศาสตร์ เพราะเราต้องเรียนเรื่องการวิเคราะห์ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และทราบว่าเดลต้ามาลงทุนในไทยตั้งแต่ปี 2531 แต่ไม่นึกว่าจะสูงกว่า AOT, PTT หรือ SCG ที่คนตลาดหุ้นรุ่นอย่างผมจะคุ้นเคยมากกว่า
มาถึงจุดนี้ ทั้ง “คุณมอริส จาง, คุณเจนเซน ฮวง, คุณลิซ่า ซู จนมาถึงเดลต้า อิเล็กทรอนิกส์” ทำให้ผมเริ่มสนุกและสนใจถึงอดีตของอุตสาหกรรมระดับโลก อเมริกา ไต้หวัน และไทย ย้อนไปในอดีต และหาความสัมพันธ์กันในอดีตเพื่อจะหาความเข้าใจ
ไต้หวัน : จากจุดเริ่มต้นสู่มหาอำนาจเซมิคอนดักเตอร์
ความสำเร็จของไต้หวันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในช่วงทศวรรษ 2520 :
สถาบัน ITRI : ก่อตั้งเพื่อฝึกอบรมวิศวกรและพัฒนาความรู้ทางเทคโนโลยี
การก่อตั้ง TSMC : รัฐบาลไต้หวันร่วมมือกับมอริส จาง ในปี 2530 เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปที่เน้นการรับจ้างผลิต
เขตอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์ : การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น Hsinchu Science Park ช่วยส่งเสริมการสร้างสรรค์และนวัตกรรม
ปัจจุบันไต้หวันผลิตเซมิคอนดักเตอร์กว่า 60% ของโลก และชิปขั้นสูงที่สุดกว่า 90% นี่คือแบบอย่างของการลงทุนที่มีวิสัยทัศน์และการพัฒนาความสามารถอย่างต่อเนื่อง
ไทย : จากปัจจุบันสู่จุดเริ่มต้นที่ไม่ได้ห่างไกลจากไต้หวัน
แม้ไทยจะเติบโตไม่ได้ก้าวกระโดดอย่างไต้หวัน แต่ไทยเราก็มีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์หรือห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญ เช่น บริษัท Delta Electronics (Thailand) PCL (DELTA) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดใน SET โดยผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของระบบจ่ายพลังงานและโซลูชั่นพลังงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, บริษัท Hana Microelectronics PCL (HANA) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และมีโครงการร่วมกับ PTT ในการสร้างโรงงานผลิต Silicon Carbide และ KCE Electronics PCL (KCE) ผู้ผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และเซมิคอนดักเตอร์
นอกจากนี้ ยังมี Silicon Craft Technology (SIC) บริษัท Fabless ของไทยที่เชี่ยวชาญในการออกแบบชิป RFID และเซมิคอนดักเตอร์สำหรับ IoT แม้ว่าไทยจะยังไม่ได้เป็นศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง แต่ด้วยการลงทุนใน Power Semiconductor และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้าน IC Design ไทยมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในอนาคต
แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าย้อนกลับไป ก็มีโอกาสน่าเสียดายในอดีตที่ประเทศไทยกลับพลาดโอกาส
อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ :
ในช่วงก่อนวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 มีบริษัทไทยชื่อ Alphatec ของคุณชาญ อัศวโชค (ฉายาในสื่อมวลชนว่า Mr. Chips) วางแผนร่วมทุนกับ Texas Instrument สร้างโรงงานผลิตชิปมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านบาท (เมื่อ 30 ปีก่อน) ที่ฉะเชิงเทรา ตอนนั้นเงินกู้ถูกมาก บริษัท Alphatec ลงทุนด้วยเงินกู้จำนวนมาก แล้วจะไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ แต่มีปัญหาเรื่องการเงิน เลยเข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ แล้วมีปัญหา cash flow ทาง Texas Instrument เลยถอนการร่วมทุน ทางบริษัท Alphatec เลยไปขอให้รัฐบาลช่วย ซึ่งรัฐบาลในขณะนั้น (ยุคชวลิต ยงใจยุทธ) ก็มีแผนจะเข้ามาร่วมทุนกับ Alphatec ถ้า Alphatec สามารถหาเงินมา match ได้ แต่สุดท้ายหาเงินมา match ไม่ได้ ความฝันของไทยที่จะมีอุตสาหกรรมชิปของตัวเองก็ล่มสลายไป ประมาณ 2 เดือนถัดมา (กรกฎาคม 2540) เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งขึ้นพอดี
ในช่วงปี 2530 โครงการสร้างโรงงานผลิตชิปของ Alphatec ล้มเหลวเพราะวิกฤตเศรษฐกิจ
ในปี 2547 ทางศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยภายใต้ NECTEC ได้ของบฯ 980 ล้านบาทในสมัยรัฐบาลทักษิณ เพื่อยกระดับ TMEC เป็นโรงงานผลิตชิปขนาดเล็ก เพื่อผลิตชิปตอบสนองนโยบายรัฐบาลที่จะผลิตบัตรประชาชนเป็น Smart Card แต่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง TMEC ไม่ได้รับเลือก และก็ไม่ได้มีการพัฒนาต่ออย่างเป็นรูปธรรมมากนัก
ปัจจุบันประเทศไทยจึงยังคงพึ่งพาห่วงโซ่การผลิตมูลค่าต่ำ เช่น การประกอบอุปกรณ์ไฟฟ้า แม้ว่าอุตสาหกรรมนี้จะมีการจ้างงานสูงถึง 750,000 คนก็ตามที
เซมิคอนดักเตอร์ 101 รายละเอียดและความสำคัญขั้นพื้นฐาน
ถึงตรงนี้ ผมเอาใจเขามาใส่ใจเรา ตอนผมได้มีโอกาสคุยกับสมาคมหรือผู้บริหารในประเทศไทย ผมก็ว่าอุตสาหกรรมเทค เข้าใจได้ยากจึงอยากเขียนสัก 2-3 ย่อหน้า ให้คนที่ไม่ได้ถนัดวิทยาศาสตร์ หรือวิศวะคอมพ์โดยตรงอย่างผม ได้เข้าใจอุตสาหกรรมนี้เข้าใจอย่างง่ายๆ ก่อนว่า เซมิคอนดักเตอร์ หรือ “ชิป” คือหัวใจของเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีรายละเอียดเช่นใดบ้าง
อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์สามารถแบ่งออกได้หลายประเภทใดบ้าง
1) ไมโครโปรเซสเซอร์ (Microprocessors) : ทำหน้าที่เป็น “สมอง” ของคอมพิวเตอร์
2) กราฟิกโปรเซสเซอร์ (GPUs) : ใช้งานด้านกราฟิกและ AI
3) ชิปหน่วยความจำ (Memory Chips) : สำหรับเก็บข้อมูล
4) พาวเวอร์เซมิคอนดักเตอร์ (Power Semiconductors) : บริหารจัดการพลังงานในอุปกรณ์
5) อะนาล็อกโปรเซสเซอร์ (Analog Processor) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่กำลังกลับมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อช่วยให้การประเมินผล AI มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มีขั้นตอนอะไรบ้าง?
อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มีห่วงโซ่คุณค่าที่ซับซ้อน ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลักที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างชิปที่ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ :
1. การออกแบบชิป (Chip Design)
ขั้นตอนแรกเริ่มจากการออกแบบวงจรและโครงสร้างชิป โดยใช้ซอฟต์แวร์ออกแบบเฉพาะ (EDA Tools) บริษัท Fabless เช่น Nvidia, Qualcomm และ Apple มักเน้นการออกแบบโดยไม่ผลิตชิปเอง
2. การผลิตแผ่นเวเฟอร์ (Wafer Fabrication)
หลังจากการออกแบบเสร็จสิ้น ไฟล์การออกแบบจะถูกส่งไปยังโรงงานผลิต (Foundry) ซึ่งจะสร้างแผ่นซิลิคอน (Wafer) และฝังวงจรตามการออกแบบ โรงงานเหล่านี้ เช่น TSMC และ Samsung มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่คุณค่า
3. การบรรจุและทดสอบ (Packaging and Testing)
เมื่อสร้างเวเฟอร์เสร็จแล้ว จะถูกแบ่งออกเป็นชิปเล็กๆ (Dicing) ก่อนนำไปบรรจุ (Packaging) เพื่อป้องกันความเสียหาย จากนั้นจึงทดสอบประสิทธิภาพการทำงาน บริษัทที่เชี่ยวชาญในขั้นตอนนี้ เช่น ASE Technology ในไต้หวัน
4. การประกอบและใช้งาน (Assembly and Application)
ชิปที่ผ่านการบรรจุและทดสอบจะถูกส่งไปยังผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Apple, Tesla หรือ Huawei เพื่อประกอบเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ เช่น สมาร์ตโฟน รถยนต์ไฟฟ้า
อุปสรรคและความท้าทายในอุตสาหกรรมชิประดับโลกในปัจจุบัน
การเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไม่ใช่เรื่องง่าย :
เงินลงทุนสูง: การสร้างโรงงานผลิตชิปต้องใช้เงินลงทุนมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์
บุคลากรขาดแคลน : ประเทศไทยยังขาดแคลนวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเซมิคอนดักเตอร์
ทรัพยากรที่ใช้สูง : การผลิตชิปต้องใช้น้ำและไฟฟ้าจำนวนมหาศาล
แม้แต่ประเทศที่มีงบประมาณมหาศาล เช่น สหรัฐ และจีน ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้
ความสำคัญของชิปมีมากกว่าเรื่องเศรษฐกิจและเทคโนโลยี?
ชิ
ปไม่ได้เป็นเพียงสินค้าเทคโนโลยี แต่ยังมีบทบาทสำคัญในความมั่นคงทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ เพราะชิปถูกเปรียบไว้ว่า “ไมโครชิปคือน้ำมันชนิดใหม่ ซึ่งเป็นทรัพยากรที่หายากซึ่งโลกยุคใหม่ต้องพึ่งพาอาศัย ปัจจุบัน อำนาจทางการทหาร เศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์ถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของชิปคอมพิวเตอร์ เกือบทุกอย่าง-ตั้งแต่ขีปนาวุธไปจนถึงไมโครเวฟ-ทำงานบนชิป รวมถึงรถยนต์ สมาร์ตโฟน ตลาดหุ้น แม้กระทั่งโครงข่ายไฟฟ้า” จากหนังสือ Chip War สงครามชิป ที่เขียนโดย Chris Miller แนะนำให้ท่านผู้อ่านลองศึกษาเพิ่มได้ครับ
ทิศทางประเทศไทยอยู่ตรงไหนใน Chip War?
ผมเคยให้สัมภาษณ์กับทิศทางอุตสาหกรรมชิปไว้กับคุณกอหญ้า พิศสุวรรณ เมื่อ 10 มกรา 2566 ในรายการ Today Biznews (https://www.facebook.com/share/v/fvv8u8DU4HXYk71h/) และสรุปความคิดผมไว้ในตอนนั้นว่า
แม้ประเทศไทยจะไม่สามารถแข่งขันกับยักษ์ใหญ่อย่าง TSMC หรือ Nvidia ได้โดยตรง แต่เราสามารถหาจุดแข็งของตนเองได้ :
1. สนับสนุนบริษัท Fabless : การส่งเสริมบริษัทออกแบบชิป เช่น Silicon Craft บริษัท Fabless เพียงแห่งเดียวในไทย สามารถช่วยพัฒนาความเชี่ยวชาญโดยไม่ต้องลงทุนมหาศาล
2. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ : การลงทุนในการศึกษาวิศวกรรมและการออกแบบชิปเป็นสิ่งจำเป็น
3. มุ่งเน้นเทคโนโลยีระดับเริ่มต้น : การผลิตชิปเทคโนโลยี 28nm หรือพาวเวอร์เซมิคอนดักเตอร์ ซิลิคอน คาร์ไบด์ ซึ่งยังมีบทบาทสำคัญใน EV และพลังงานหมุนเวียน
ในปี 2567 ประเทศไทยเริ่มเห็นความก้าวหน้าจากการลงทุนของ BOI ร่วมกับ Hana และ PTT ในการสร้างโรงงานผลิตชิป Silicon Carbide มูลค่าหมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีในการเริ่มต้น ต้องขอชื่นชม BOI ครับ
แต่อย่างไรก็ดี การแข่งขันเพิ่งเริ่มต้น และรัฐบาลแต่ละที่เล็งเห็นความสำคัญและอัดฉีดกันมหาศาล ผมขอใช้ตัวเลขที่เคยอภิปรายไว้ในสภาเมื่อ กุมภาพันธ์ 2565 ดังนี้ครับ
– อเมริกา : 5.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (1.8 ล้านล้านบาท) – โครงการใหม่ 4 โครงการ (สำหรับอเมริกาถ้ารวมงบวิจัยจาก Chips Act แล้วมีงบประมาณสนับสนุนอุตสาหกรรม Semiconductor สูงถึง 2.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 9.8 ล้านล้านบาท)
– EU : 4.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (1.5 ล้านล้านบาท) – มีโครงการใหม่ 4 โครงการ
– สเปน : 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (420,000 ล้านบาท) – ยังดึงดูดการลงทุนไม่ได้
– อินเดีย : 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (350,000 ล้านบาท : สนับสนุน CAPEX 50%) – 1 โครงการ
– ญี่ปุ่น : 6.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ (240,000 ล้านบาท) – โครงการใหม่ 5 โครงการ
– จีน : เพิ่งประกาศว่าจะลงทุน 1.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (5 ล้านล้านบาท) ไปกับการอุดหนุน+วิจัยอุตสาหกรรมชิป – มีโครงการใหม่ 10 โครงการ
– ไต้หวัน : มีมาตรการ tax incentives หลายอย่างเหมือนประเทศอื่น แต่ไม่ได้มีมาตรการให้เงินอุดหนุน subsidy โดยตรง – มีโครงการใหม่ 10 โครงการ
แล้วรัฐบาลไทยเราละ มียุทธศาสตร์และโรดแมป ในบริบทนี้หรือยัง?
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022