สวยงาม-สมพระเกียรติ พิธีสวนสนาม-ถวายสัตย์ปฏิญาณ ตรวจแถวความเป๊ะ ของคีย์แมน ทม.รอ.

พิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ เมื่อ 3 ธันวาคม 2567 ณ พระลานพระราชวังดุสิต ผ่านไปแล้วอย่างสวยงาม และสมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์จอมทัพไทย

นอกจากจะเป็นการสวนสนามครั้งแรกในรัชกาลปัจจุบันแล้ว อาจกล่าวได้ว่าเป็นการสวนสนามที่เป๊ะที่สุด เท่าที่เคยมีมา

อาจด้วยเพราะล้วนเป็นทหารรักษาพระองค์ ที่เป็นทหารคอแดง ทั้งทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ทม.รอ.) และทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ รวม 4 กรม 10 กองพัน และอีก 1 กองพันทหารม้ารักษาพระองค์ จสก กองพันทหารม้าที่ 29 รักษาพระองค์ (ม.พัน29 รอ.) กองพัน ม้าเนื้อรักษาพระองค์ กองพันเดียวของกองทัพบก

เพราะในส่วนของ “ฉก.คะเด็ต” กรมนักเรียนนายร้อยรักษาพระองค์ กรมนักเรียนนายเรือรักษาพระองค์ และกรมนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์ ล้วนเป๊ะมาช้านานแล้ว

ที่สำคัญที่สุด ถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ ที่ผู้บังคับกองผสมเป็นพระบรมราชินีของประเทศ โดยที่ พล.อ.หญิง สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธพิมลลักษณ พระบรมราชินี ทรงเป็นองค์ผู้บังคับกองผสม ด้วยพระองค์เอง ด้วยทรงเป็นนายทหารราชองครักษ์และมีตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ (นถปภ.รอ.) อยู่แล้วด้วย ทรงนำทหารทั้ง 11 กองพันรักษาพระองค์สวนสนามอย่างเข้มแข็งพร้อมเพรียงและสง่างาม

และยังมี พล.อ.หญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงเป็นองค์ผู้บังคับกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ด้วยพระองค์เอง เพราะพระองค์ก็ทรงเป็นทหารม้า

โดยที่ทั้งสองพระองค์สามารถปฏิบัติหน้าที่ของทหารรักษาพระองค์ได้อย่างสง่างาม โดยเฉพาะ พล.อ.หญิง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ซึ่งเป็นองค์ผู้บังคับ ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นนายทหารราชองครักษ์ที่มีความแข็งแกร่งสง่างาม เพราะการเป็นองค์ผู้บังคับกองผสม สะท้อนถึงความมีพระพลานามัยแข็งแรง เพราะต้องวิ่งจากหน้าแถวไปถวายรายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หน้าประตูภูธรลีลาศ โดยที่พระองค์สามารถถวายรายงานได้อย่างคล่องแคล่ว และพระสุรเสียงมีพลัง

รวมทั้งการสั่งแถวทหารและท่าทางต่างๆ ก็ทรงสง่างามตามธรรมเนียมของทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ แม้จะทรงเป็นสตรี แต่สะท้อนถึงพระปรีชาสามารถด้านการทหารของพระองค์

เพราะนอกจากเป็นองค์ผู้บังคับกองผสมด้วยพระองค์เองแล้ว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ยังทรงร่วมในการปรับแผนการสวนสนาม และพระองค์ก็มาซ้อมสวนสนามถึง 3 ครั้ง ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์จอมทัพไทยก็ทรงมอนิเตอร์การซ้อมสวนสนามทุกครั้ง

จนการสวนสนามถึงออกมาเป๊ะทั้งแข็งแรงและสง่างาม ทั้งการเตะเท้าสูง การฟันมือที่ได้องศา เพราะหากดูจากกล้องจากโดรนมุมบน จะเห็นได้ถึงความพร้อมเพรียงและเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว

ประกอบกับความตั้งใจของกำลังพลสวนสนามทุกคนที่มีความปลาบปลื้มที่ได้มีส่วนร่วมในพิธีสำคัญครั้งประวัติศาสตร์ ครั้งหนึ่งในชีวิตของตนเอง ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสวนสนามครั้งประวัติศาสตร์นี้ ทุกคนจึงเต็มที่กับการซ้อมถึง 6 เดือน

ประการสำคัญ ที่น่าปลาบปลื้มคือคนไทยได้ชื่นชมพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในชุดเต็มยศทหารรักษาพระองค์สีแดงของกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์

และทรงถือ “พระคฑาจอมพลองค์ที่ 4” หรือ พระคฑาจอมทัพภูมิพล ที่กระทรวงกลาโหมทูลเกล้าฯ ถวาย เมื่อ 2 ธันวาคม 2509 ในการตรวจพลสวนสนามและรับการสวนสนาม

โดยมีรายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดที่จะใช้พระคฑาองค์นี้ แม้ว่ากองทัพไทย และกระทรวงกลาโหม จะเคยทำเรื่องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตในการทำพระคฑาองค์ใหม่ถวาย เพราะพระองค์ไม่ต้องการให้สิ้นเปลือง และพระองค์มีพระประสงค์ที่จะใช้พระคฑาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์มีต่อกองทัพ

และยังความปลาบปลื้มให้กำลังพลทุกคน โดยเฉพาะเมื่อพระองค์มีพระบรมราโชวาท ชื่นชมการสวนสนามที่พร้อมเพรียง เป็นสง่า

พร้อมมีพระราชดำรัส ว่า เป็นนิมิตหมายอันดียิ่งว่า ทหารทุกหมู่เหล่า จะพร้อมเพรียงกันปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ เพื่อความวัฒนาผาสุกของประชาชน

“จึงขอให้ทุกท่านร่วมแรงร่วมใจกันและร่วมกับทุกคนทุกฝ่ายในบ้านเมือง ใช้ความรู้ ความสามารถ และสติปัญญา ปฏิบัติภารกิจน้อยใหญ่อย่างมีเอกภาพ ให้สำเร็จผลประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนพร้อมทุกส่วน ก็จะเป็นการรักษาคำปฏิญาณที่ให้ไว้ได้อย่างเที่ยงแท้ อันจะนำมาซึ่งความดีความเจริญ ทั้งของตนเองและชาติบ้านเมืองอย่างยั่งยืน…”

ถือว่าพระองค์พระราชทานแนวทางในการทำงานให้มีเอกภาพในความร่วมมือของทุกฝ่าย

การสวนสนามครั้งนี้ เป็นการประสานความร่วมมือระหว่างกองบัญชาการกองทัพไทย กับ ทม.รอ. และ ฉก.ทม.รอ.904

และถือเป็นวันประวัติศาสตร์ ผบ.อ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในชีวิตรับราชการปีสุดท้ายก่อนเกษียณกันยายน 2568 ที่ได้นำผู้บัญชาการเหล่าทัพและทหารรักษาพระองค์กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนได้อย่างเข้มแข็งและมีพลัง

เพราะแม้ตามธรรมเนียมของกองทัพ ผบ.ทบ.จะเป็นเหล่าทัพที่ใหญ่ที่สุด และมีพลังอำนาจแฝงในทางการเมืองมากที่สุดมายาวนาน แต่ในพิธีสวนสนามเช่นนี้ถือเป็นบทบาทนำของคนเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในการยืนนำแถว ผบ.เหล่าทัพ เพราะตามสายการบังคับบัญชาแล้ว ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคือผู้บังคับบัญชาของ ผบ.เหล่าทัพ

แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพ ไม่ได้สวมเครื่องแบบเต็มยศของทหารรักษาพระองค์ ที่เป็นสีสันต่างๆ เช่นในอดีต

แต่การสวมชุดขาวพร้อมสายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ก็ถือเป็นความแตกต่าง เนื่องจากได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ฉก.ทม.รอ.904 ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา จึงทำให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และบิ๊กปู พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก จากที่เคยเป็นทหารคอแดง และเป็นนายทหารพิเศษ ประจำหน่วยทหารรักษาพระองค์ ก็ต้องกลับมาสู่การเป็นทหารคอเขียว เพราะไม่มีการแต่งตั้งเป็นนายทหารพิเศษ ประจำหน่วยทหารรักษาพระองค์ และไม่ได้อยู่ ฉก.ทม.รอ.904 แล้วนั่นเอง

แต่ความเป๊ะแบบทหารคอแดงก็ยังคงเต็ม 100 สำหรับ พล.อ.ทรงวิทย์ และ พล.อ.กพนา เพราะผู้บัญชาการเหล่าทัพก็เป็นนายทหารราชองครักษ์ที่ผ่านการฝึกหลักสูตร นรอ.มาแล้ว

ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ เป็นครั้งแรกที่ ทม.รอ. หน่วยในพระองค์ร่วมในการสวนสนามด้วย จากเดิมที่เป็นเฉพาะในส่วนของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ

ซึ่งเดิมมีแผนที่จะให้ พล.อ.จักรภพ ภูรีเดช ทำหน้าที่เป็นผู้บังคับกองผสม เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ปฏิบัติหน้าที่องค์ผู้บังคับกองผสมและเสด็จขึ้นพลับพลาที่ประทับแล้ว เพราะ พล.อ.จักรภพ จะต้องมาดูแลเบื้องหลังให้เป๊ะที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ และต้องสมพระเกียรติอย่างที่สุด รวมทั้งการปรับลดจำนวนกองพันสวนสนามจาก 13 กองพัน เป็น 11 กองพัน โดยลดในส่วนกำลังของ ทม.รอ.ลง เพื่อให้เกิดความเหมาะสม

จึงเป็นหน้าที่ของ “ผบ.แมน” พล.ท.นราพร แสนธิ (ตท.37) ผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ที่เป็นผู้สั่งแถวทหาร ต่อจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี

โดยนายทหารที่ได้มีตำแหน่งในการสวนสนามก็ล้วนเป็นนายทหารที่เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย

พ.อ.ต่อพงศ์ วรรณจันทร์

ทั้ง พล.ท.พงษ์ศักดิ์ เปรมทองสุข (ตท.35) เจ้ากรมฝ่ายกำลังพล ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กรมการเสนาธิการ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ที่ทำหน้าที่ผู้เชิญธงชัยราชกระบี่ยุทธ

และ พล.ต.สราพงษ์ ทิพวาที รองผู้อำนวยการกองยุทธการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กรมฝ่ายยุทธการ (อ) ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กรมการเสนาธิการ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เป็นผู้เชิญธงชัยพระครุฑพ่าห์

โดยอดีตทหารเสือฯ ร.21 พล.ต.สมพร โตภาพ (ตท.34) ประจำพระองค์ ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนกรมฝ่ายยุทธการ ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กรมการเสนาธิการ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์

ส่วนกองบังคับการกรมที่ 1 นำโดย ผบ.เก๋ พล.ท.จักรชัย ศรีคชา (ตท.28) ผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์

และกองบังคับการกรมที่ 2 มี พ.อ.ต่อพงศ์ วรรณจันทร์ ผู้บังคับการกรมนักเรียนนายร้อยรักษาพระองค์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ที่มีข่าวว่า กำลังจะย้ายโอนจากกองทัพบก มาอยู่ ทม.รอ. หลังเสร็จสิ้นพิธีสวนสนาม

ส่วนกองบังคับการกรมที่ 3 มี ผู้การหมู พ.อ.กฤษดา หิรัญโรจน์ (ตท.36) ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นผู้บังคับการ

ส่วนกองบังคับการกรมที่ 4 มี ผู้การนัท พ.อ.พิเชียรรัฐ ภารัญนิตย์ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ในสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นผู้บังคับการ ที่มีข่าวว่าหลังเสร็จสิ้นพิธีสวนสนาม ก็จะย้ายโอนจากกองทัพบก มาอยู่ ทม.รอ. ที่กำลังมีการรับกำลังใหม่

หลังพิธีสวนสนามผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ ก็ทำให้ทหารทุกคนโล่งอก

และที่สำคัญทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้เห็นถึงความสง่างามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์จอมทัพไทย

และพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี รวมถึงสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ในฐานะของทหารรักษาพระองค์

ที่สำคัญอีกประการคือ ภาพลักษณ์ของกองทัพซึ่งเป็นทหารของพระราชา มีความพร้อมเพรียงเข้มแข็งและสง่างาม

รวมทั้งเสียงคำกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณพร้อมๆ กันของทหารรักษาพระองค์ ที่จักจงรักภักดีและปกป้องสถาบัน จนกว่าชีวิตจะหาไม่ และเปล่งสุดเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้อง

พล.ต.สมพร โตภาพ