ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 ธันวาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
สัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดสงครามการเมืองขึ้น จุดเริ่มต้นเกิดจากผู้มีอำนาจในกระทรวงเกษตรฯ เป้าหมายคือ “เบอร์หนึ่งบ้านป่ารอยต่อฯ”
เริ่มจากข่าวดัง การตรวจสอบที่ดินไร่ภูนับดาว จ.สระบุรี โดย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ยืนยันพบข้อมูลการบุกรุกที่ดิน ส.ป.ก. และเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงไปถึงคนใกล้ชิดของอดีตรองนายกรัฐมนตรี
การสืบสวนยังพบความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มนายทุน เจ้าหน้าที่ ส.ป.ก. และอดีตรองผู้ว่าฯ สระบุรี ซึ่งมีบทบาทในการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ มีการดำเนินคดีเจ้าหน้าที่รัฐหลายราย ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ รวมถึงกลุ่มนายทุนที่ใช้พื้นที่เพื่อพัฒนาเป็นรีสอร์ต
มีแอ๊กชั่นดังๆ จากนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรฯ ประกาศว่า ส.ป.ก.จะเร่งดำเนินการยึดคืนที่ดินจากผู้ถือครองโดยมิชอบ บริเวณไร่ภูนับดาว พบว่ามีการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติกว่า 100 ไร่ จะต้องนำกลับมาคืนทั้งหมด
เรื่องรุกที่ป่าสงวนก็ร้ายแรง แต่ก็คงคุ้นเคยกับข่าวประเภทนี้กันดี เนื่องจากมันเกิดขึ้นบ่อยๆ
แต่ที่ทำเอาคนทั้งสังคมหูผึ่ง คือ พล.ต.ต.จรูญเกียรติเปิดเผยว่า จะมีการตรวจสอบอย่างละเอียดเรื่องเส้นทางการเงิน 10 ล้านบาท
โดยในช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 ขณะใกล้การเลือกตั้ง พบการโอนเงินจำนวน 10 ล้านบาทจากบริษัทที่เกี่ยวข้องกับไร่ภูนับดาว ไปยังบัญชีของหญิงคนสนิทของอดีตรองนายกรัฐมนตรี การโอนดังกล่าวเกิดขึ้นในวันเดียวกันถึง 5 ครั้ง ครั้งละ 2 ล้านบาท
เรื่องชวนหูผึ่งยังไม่จบ เพียง 1 วันถัดมา พล.ต.ต.จรูญเกียรติยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า “จากการสอบสวนเพิ่มพบเส้นทางการเงินโยงไปถึงหวานใจนักการเมือง จำนวนเงินก็มากถึง 900 ล้าน หรือพันล้าน โดยเงินทั้งหมดไม่ยืนยันมาจากแหล่งไหน”
“ถึงใครก็โดนหมดขอยืนยัน มันมาขนาดนี้แล้ว เรากล้าเข้าไปทำงาน หากไม่ทำต่อ ประเทศไทยอยู่ยาก ผิดว่าไปตามผิด สังคมจะน่าอยู่มากขึ้น” พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าว
ระหว่างที่เรื่องกำลังคุกรุ่น ก็มีเสียงจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในฐานะอดีต รมว.เกษตรฯ ซึ่งเคยได้รับมอบหมายให้แก้ปัญหารุกป่าสงวนฯ ออกมายืนยันว่า เส้นเงินหวานใจบิ๊กนักการเมือง อดีตรองนายกรัฐมนตรี เข้าบัญชีจริงไม่ใช่แค่ 10 ล้าน แต่เป็นหลักร้อยล้าน ยืนยันว่าเหตุที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับการแก้แค้นการเมือง แต่เป็นประเด็น ส.ป.ก.รุกที่อุทยานฯ ที่ทำมายาวนานแล้ว
การประสานเสียงระหว่างนางนฤมล ในฐานะรัฐมนตรี และความเห็นที่สอดคล้องกันของ ร.อ.ธรรมนัส พร้อมๆ กับบิ๊กข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ จึงเป็นการขยับอย่างมีนัยยะสำคัญ ว่านี่ไม่ใช่การรุกป่าธรรมดา แต่เป็นหนึ่งในการขยับ “รุก” ในทางการเมือง ที่กระทำต่อ “คนในบ้านป่า”
อย่าลืมว่าทั้ง 2 คน “ต่างจบไม่สวย” ในความสัมพันธ์กับ “คนบ้านป่ารอยต่อฯ”
นอกจากนี้ ทั้ง 2 คนยังมีสถานะทางการเมืองที่หลังพิงอยู่กับ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” อย่างชัดเจน
ถามว่าบ้าน “จันทร์ส่องหล้า” กับ “บ้านป่ารอยต่อฯ” มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ก็ต้องตอบว่า “ขาดสะบั้นกันมานานแล้ว”
ย้อนกลับไปดูวีรกรรมของ “เบอร์หนึ่งบ้านป่ารอยต่อฯ” ต้องใช้คำว่า สร้างความเจ็บช้ำฝังลึกกับ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” มายาวนาน
ตั้งแต่คราวตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนบ้านป่าฯ ก็เป็นหนึ่งในกำลังหลักล้มรัฐบาลพลังประชาชน
เมื่อคราวรัฐประหาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คสช.เข้ามามีอำนาจเกือบ 1 ทศวรรษ “เบอร์หนึ่งบ้านป่ารอยต่อฯ” ก็เป็นกำลังสำคัญในการเข้าไปมีอำนาจแช่แข็งการเมืองไทย ไล่ปราบปรามฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะเพื่อไทย กีดกัน 2 พี่น้องชินวัตรให้ต้องลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ
มีหรือคนอย่างทักษิณ ชินวัตร จะอยู่เฉย
คงยังจำกรณี “เกาะโต๊ะ” เมื่อปี 2561 ซึ่งเป็นคราวที่นายทักษิณออกมาแฉวีรกรรมของ “เบอร์หนึ่งบ้านป่ารอยต่อฯ” ที่เคยถึงขั้นไปเกาะโต๊ะที่ทำงานเมื่อครั้งนายทักษิณเป็นนายกฯ เพื่อขอเป็น ผบ.ทบ.
เมื่อการครองอำนาจของรัฐบาลทหารยาวนานกว่า 1 ทศวรรษ ไม่สามารถฝืนสังขารต่อได้อีก ต้องยอมรับว่า 2 ใน 3 ป. หาทางลงจากอำนาจได้อย่างสวยงาม ยกเว้น “ป.แห่งบ้านป่ารอยต่อฯ” ที่ยังคงแสวงหาอำนาจทางการเมืองต่อ ลงจากหลังเสือไม่ได้
แม้จะตั้งพรรคการเมืองเป็นเบอร์ 1 ของพรรคพลังประชารัฐ แต่ผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 การันตีความล้มเหลวของมรดก ครส.ครั้งใหญ่ ป.บ้านป่ารอยต่อฯ เก้าอี้ ส.ส.หดเล็กเหลือหลักสิบ
แต่เป็นจังหวะที่นายใหญ่แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า ต้องเล่นเกมประนีประนอมภายใต้กติการัฐธรรมนูญฉบับ คสช. จึงทำให้ช่วงแรกพรรคเพื่อไทยต้องจับมือกับพลังประชารัฐ และบ้านป่ารอยต่อฯ ตั้งรัฐบาล
ระหว่างนี้เอง “เบอร์หนึ่งแห่งบ้านป่ารอยต่อฯ” จึงเริ่มสะสมกำลัง ดึงสารพัดบ้านใหญ่เข้าไปอยู่ด้วย ทั้งยังสะสมกองทัพนักร้อง เพื่อเตรียมต่อสู้ในศึก “นิติสงคราม” รวมถึงยังมีข่าวว่าเป็นผู้สนับสนุนลึกๆ เตรียมสารพัดม็อบให้ลงถนนล้มรัฐบาล
จังหวะสถานภาพของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทยไม่ดีนัก กุนซือบ้านป่ารอยต่อฯ เห็นช่องโหว่นี้จึงเปิดฉาก เดินเกมนิติสงคราม ใช้จังหวะชุลมุนขายฝัน หวังดัน “เบอร์หนึ่งบ้านป่ารอยต่อฯ” เข้าตึกไทยคู่ฟ้า ใช้ 40 ส.ว.ยื่นคำร้องสอยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ครั้งนั้นนายทักษิณสุดจะทน ออกมาประกาศศึกอย่างไม่ต้องอ้อมค้อม ระบุว่าเป็นฝีมือ “คนในบ้านป่าฯ” สร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง แต่ก็ไม่สามารถหยุดเกมนิติสงครามจากบ้านป่ารอยต่อฯ ได้นายเศรษฐาต้องปลิวออกจากตำแหน่งนายกฯ
ครั้นเมื่อตั้งรัฐบาลแพทองธาร จึงเป็นคราว “เอาคืน”
พรรคพลังประชารัฐภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถูกเตะออกจากโควต้าใน ครม.ใหม่ เพื่อไทยตัดสินใจดึงเอาพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาเสียบแทน สร้างความเจ็บแค้นให้กับ “คนในบ้านป่ารอยต่อฯ และเครือข่ายอย่างสูง”
กระแทกซ้ำรอยแค้นด้วยการที่นายทักษิณขึ้นเวทีแฉ เบื้องหลังฉากแตกหัก ระหว่างเขากับคนบ้านป่าฯ เพราะมาจากการคัดเลือก ป.ป.ช. เมื่อปี 2548 มีดีลลับขอให้ “ลุงบ้านป่า” นั่งประธาน ป.ป.ช. แต่ “เบอร์หนึ่งบ้านจันทร์ฯ” ไม่ตอบรับ จึงเป็นชนวนให้ทั้ง 2 บ้านเป็นศัตรูตลอดกาลจากนั้น
ตั้งแต่กระเด็นออกจากวงอำนาจ บทบาท “เบอร์หนึ่งบ้านป่ารอยต่อฯ” จึงแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด
มีเพียงระดับขุนพล-กุนซือ ที่ออกมาสู้กับรัฐบาลในประเด็นกฎหมาย แม้พยายามจุดประเด็นชาตินิยมอย่างกรณีเกาะกูด ก็จุดไม่ขึ้น เรียกคนมาลงถนนไล่รัฐบาลไม่ได้
เป็นจังหวะฮึกเหิมของ “เบอร์หนึ่งแห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า” ที่ลูกทีมเพิ่งคว้าชัยชนะเลือกตั้งซ่อม-เลือกตั้งท้องถิ่นมาพอดี จึงเป็นจังหวะล้างแค้นบ้านป่ารอยต่อฯ
เพื่อไล่พ้นเวทีการเมืองสำเร็จ ก็ต้องเร่งตัดตอนเวทีที่จะใช้สร้างบารมีต่างๆ นั่นคือการขับให้พ้นออกจากตำแหน่งประธานโอลิมปิคฯ ที่บ้านป่าฯ ครองอำนาจมายาวนาน
แล้วก็ทำสำเร็จได้จริงในสัปดาห์นี้ โดยเกิดขึ้นพร้อมกับข่าวฉาวกรณีโอนเงินให้กับหญิงคนสนิท
วันนี้ บ้านป่ารอยต่อฯ ไร้แล้วซึ่งตำแหน่งทางอำนาจการเมือง-สังคมใดๆ นักข่าวขอคำชี้แจง ก็ทำได้แค่ตัดสายทิ้ง
บ้านป่ารอยต่อฯ วันนี้คล้าย ป่ารอยแตกเข้าไปทุกที
“ปฏิบัติการภูนับดาว จ.สระบุรี” ทุบกล่องดวงใจ “เบอร์หนึ่งบ้านป่ารอยต่อฯ” พร้อมๆ กับปฏิบัติการ “ขับพ้นประธานบอร์ดโอลิมปิคช่วงนี้” จึงเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กันอย่างมีนัยยะสำคัญ
เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการเอาคืน “เกมเก้าอี้อำนาจ” ที่บ้านป่ารอยต่อฯ สร้างไว้
เป็นการใช้กลเกมการเมือง “ล้อม” บ้านป่าฯ
ที่น่าสนใจคือ ไม่รู้ว่าสงครามเอาคืนครั้งนี้ บ้านจันทร์ส่องหล้าฯ ตั้งเป้าหมายไว้สูงแค่ไหน แต่ดูจากสถานการณ์ที่บ้านป่าฯ ก็ระดมทุกสรรพกำลังสู้แล้ว
ความรุนแรงจากนี้คงจะอยู่ระดับ “ถอนรากถอนโคน” เลยกระมัง ซึ่งจะทำสำเร็จหรือไม่ต้องติดตามกันต่อไป
รวมถึงต้องติดตามความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะเป็นอย่างไรด้วย เมื่อเรื่องราวต่างๆ ดูจะวนเวียนใกล้ๆ ซึ่ง พล.อ.ประวิตรได้ย้ำผ่านโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าวว่า “ไม่มีอะไร ไม่เคยทำอะไรผิดเลย” เพื่อย้ำและยืนยันว่าไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้และมีความพยายามโยงเข้าไปเกี่ยวข้อง
แต่ดูการเมืองปีกรัฐบาลจะล้อมบิ๊กป้อมเอาไว้อย่างน่าระทึกใจ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022