เคาะ ‘นายพลเล็ก’ ก่อนคริสต์มาส ครั้งแรกส่งบัญชีให้ ก.ตร.ล่วงหน้า บิ๊กต่ายโล่ง! ‘การเมืองเข้าใจแล้ว’

ไม่เกินวันคริสต์มาส ‘บัญชีแต่งตั้งนายพลเล็ก’ คลอด

ดูจากภารกิจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คาดหมายว่าจะนั่งหัวโต๊ะประชุม ก.ตร.ได้น่าจะ 24 ธันวาคม

ที่สำคัญถือเป็นครั้งแรกประวัติศาสตร์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) จะได้รับ “บัญชีข้อมูลผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น” ล่วงหน้า 3 วันก่อนประชุม

สำหรับการแต่งตั้งครั้งนี้มีเก้าอี้ว่าง ประกอบด้วย รอง ผบช. 41 ตำแหน่ง และ ผบก. อีก 75 ตำแหน่ง

เกณฑ์การแต่งตั้ง คือ เรียงอาวุโส 50% และความรู้ความสามารถอีก 50%

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ หรือ “บิ๊กต่าย” ผบ.ตร. ได้ทำหนังสือถึงผู้บัญชาการ (ผบช.) และจเรตำรวจ (จตร.) ให้คัดเลือกแต่งตั้งรอง ผบช. และรอง จตร. ลงมาถึงผู้บังคับการ (ผบก.)

โดยยึด พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 และกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ 2567

ขีดเส้นส่งกลับมาทะเบียนกำลังพลภายใน 6 ธันวาคม 2567

 

“พิธีกรรม” มีดังนี้ “ผบก.” จัดทำบัญชีระดับ “รอง ผบก.” เรียงลำดับจากเหมาะสมมากสุดไปน้อยสุดส่งไปกองบัญชาการ

จากนั้น “ผบช.” ทำบัญชีระดับ “รอง ผบก.ขึ้น ผบก.” และระดับ “ผบก.เลื่อนเป็นรอง ผบช.” เรียงลำดับจากเหมาะสมสุดไปน้อยสุด ส่ง ตร.

แล้ว ผบ.ตร.จัดทำบัญชีผู้อยู่ในเกณฑ์ที่สมควรได้รับการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เรียงตามลำดับอาวุโส และบัญชีของ ผบช. มาประกอบพิจารณา

ต่อมา ชง “บัญชีผู้สมควรที่จะเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เข้า “คณะกรรมการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ตร.” หรือเรียกกันว่า “บอร์ดเล็ก”

“บอร์ดเล็ก” นี้ มีบิ๊กต่าย เป็นประธาน กรรมการประกอบด้วย รรท.รอง ผบ.ตร. มี พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง, พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี และ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข และ รรท.จเรตำรวจแห่งชาติ คือ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รวมทั้งตัวแทน ก.พ.

โดยกฎหมายกำหนดให้ ผบ.ตร.เป็นผู้มีอำนาจคัดเลือกหรือแต่งตั้งจากรายชื่อข้าราชการตำรวจ ที่คณะกรรมการพิจารณาการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจมีมติเสนอแนะก่อนเสนอให้ ก.ตร.พิจารณาเห็นชอบ

ตรงนี้มี “ขั้นตอน” เพิ่มขึ้น คือส่ง “บัญชี” ที่บอร์ดเล็กมีมติให้ ก.ตร.พิจารณาก่อนประชุมล่วงหน้า 3 วัน

 

ที่มา “ขั้นตอน” ที่เพิ่มขึ้นมาครั้งแรกนี้ สืบเนื่องจากการประชุม ก.ตร.ที่เคาะโผนายพลใหญ่เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน

พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ได้ทำหนังสือถึงเลขานุการ ก.ตร. ขอให้ส่ง “บัญชีนายพลใหญ่” พร้อมเหตุผลการพิจารณาของคณะกรรมการแต่งตั้งระดับ ตร. ก่อนการประชุม “บอร์ดตำรวจ” พอสมควร

แต่ปรากฏว่า ครั้งนั้นไม่มีการส่งให้ อ้างเหตุผลว่าเป็นความลับ และขออนุมัติต่อนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ก.ตร. นำเสนอในที่ประชุม ก.ตร.เพื่อพิจารณาเลย

ปรากฏว่า การดำเนินการดังกล่าว บรรดา “กูรูกฎหมาย” ต่างตั้งข้อสังเกตว่า มีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายหลายประการ

โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 60, 82 และกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ

และที่สำคัญ หลักบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีและหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญ

ทั้งในแง่ของหลักความโปร่งใสในการตัดสินใจ หลักการมีส่วนร่วมในการพิจารณา ความรับผิดชอบและตรวจสอบได้

สอดคล้องกับแนวคำพิพากษาศาลปกครองที่ได้วางหลักไว้ว่า การพิจารณาแต่งตั้งจำเป็นต้องมีระยะเวลาที่เพียงพอในการศึกษาข้อมูล และต้องมีข้อมูลประกอบการพิจารณาที่ครบถ้วน

การนำเสนอเพียงบัญชีรายชื่อในที่ประชุมโดยไม่มีข้อมูลประกอบการพิจารณาที่เพียงพอ อาจส่งผลให้การใช้ดุลพินิจไม่ชอบด้วยกฎหมายและอาจถูกเพิกถอนในภายหลังได้

จึงเป็นที่มาของการส่ง “เอกสาร” ให้ ก.ตร.ก่อนล่วงหน้า 3 วันนั่นเอง

 

ทั้งนี้ เอกสาร ประกอบด้วย “บัญชีนายพลเล็ก” แนบประวัติการรับราชการโดยละเอียด เหตุผลและข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณา ความเห็นคณะกรรมการแต่งตั้งระดับ ตร.

ตลอดจนผลการประเมินการปฏิบัติงานและความพึงพอใจของประชาชน

แน่นอนคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตํารวจ (ก.พ.ค.ตร.) ก็สนับสนุนแนวทางนี้ด้วย

โดยให้เหตุผลว่า ก.ตร.จำเป็นอย่างยิ่งต้องตรวจสอบ “บัญชี” อย่างถี่ถ้วน

เพื่อให้เห็นว่าการดำเนินการเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้

นอกจากนี้ ยังมีกระแสว่า ผลพวงจากการตั้งแต่ “นายพลใหญ่” ที่แต่งตั้งเน้นอาวุโส ตัดบัญชีผู้ครองตำแหน่ง 4 ปีได้อัพเก้าอี้

ทำให้นายพลตำรวจที่มีผลงานโดดเด่น มีแสงสว่างในตัวเอง แบบดาวฤกษ์ หรือประเภท “ช้างเผือก” ไม่สามารถสอดแทรกมาได้

ครั้งนี้จึงมีการให้รอง ผบช.-ผบก. ได้แนบ “พอร์ตโฟลิโอ” ของตัวเองประกอบการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายด้วย

ผลพวงจากแต่งตั้งโยกย้าย “นายพลใหญ่” ที่ผ่านไป ต่างกังวลว่าแรงกดดัน “นายพลเล็ก” ครั้งนี้ จะถาโถมไปที่เก้าอี้ “พิทักษ์ 1”

เพราะโผการเมืองไม่เข้าป้ายเลย แถมนายตำรวจใกล้ชิดฝั่งการเมืองอีกฟากคว้าเก้าอี้เกรดเอ

แต่ปรากฏว่าสถานการณ์กลับตาลปัตร กลายเป็น พ.ร.บ.ตำรวจ และกฎ ก.ตร. ช่วยให้ “บิ๊กต่าย” เด้งเชือกหนีได้

ไม่ตกที่นั่งลำบาก เพราะฝ่ายการเมืองเข้าใจหมดแล้วว่าการแต่งตั้งตำรวจไม่เหมือนเดิมแล้ว