ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 ธันวาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ฝนไม่ถึงดิน |
ผู้เขียน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี |
เผยแพร่ |
ฝนไม่ถึงดิน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
เมื่อประชาธิปไตยเปลี่ยนชีวิต
: บทเรียนจากการปกป้องเสรีภาพของเกาหลีใต้
ความวุ่นวายทางการเมืองในเกาหลีใต้เกิดขึ้นเมื่อคืนวันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2567 เมื่อประธานาธิบดียุน ซอกยอล ตัดสินใจประกาศใช้กฎอัยการศึกอย่างกะทันหัน โดยอ้างเหตุผลว่าต้องการปราบปรามกลุ่มต่อต้านรัฐและรับมือกับภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ
แต่เบื้องหลังการตัดสินใจครั้งนี้แท้จริงแล้วมาจากวิกฤตการเมืองภายในที่กำลังบีบคั้นรัฐบาลของเขา
สถานการณ์ทางการเมืองของประธานาธิบดียุนเริ่มย่ำแย่ลงตั้งแต่เดือนเมษายน เมื่อพรรคฝ่ายค้านชนะการเลือกตั้งทั่วไปอย่างถล่มทลาย ส่งผลให้รัฐบาลไม่สามารถผลักดันนโยบายสำคัญผ่านสภาได้
ซ้ำร้ายยังเผชิญกับคดีทุจริตหลายคดี ทั้งกรณีภริยารับกระเป๋า Dior และข้อกล่าวหาเรื่องการปั่นหุ้น จนทำให้คะแนนนิยมดิ่งลงเหลือเพียง 17%
ความกดดันพุ่งสูงขึ้นเมื่อฝ่ายค้านเสนอตัดงบประมาณรัฐบาลและเรียกร้องให้ถอดถอนรัฐมนตรีและอัยการระดับสูงหลายคน
จนนำไปสู่การตัดสินใจประกาศกฎอัยการศึก
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจครั้งนี้กลับเป็นชนวนให้ประชาชนนับพันคนออกมาชุมนุมประท้วงที่หน้ารัฐสภา
ขณะที่สมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้านก็เร่งประชุมเพื่อลงมติยกเลิกคำสั่งดังกล่าว
แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลเองก็ยังแสดงจุดยืนคัดค้านการตัดสินใจครั้งนี้
ท้ายที่สุด รัฐสภาลงมติยกเลิกกฎอัยการศึก และประธานาธิบดียุนจำต้องยอมรับผลการลงมติ
เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นวิกฤตครั้งสำคัญของระบอบประชาธิปไตยเกาหลีใต้
ทั้งนี้ ไม่มีการประกาศกฎอัยการศึกมายาวนานมากกว่า 40 ปี
คำถามสำคัญว่าเหตุใดประชาชนเกาหลีใต้ถึงตื่นตัวและต่อต้านรัฐประหาร แม้จะเป็นประเทศที่มีกองทัพขนาดใหญ่ และมีภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากเกาหลีเหนือมาตลอดหลายทศวรรษ
อาจมีคำอธิบายว่า การลุกฮือของประชาชนในช่วงทศวรรษ 1970 รวมถึงเหตุการณ์ที่กวางจู เป็นมูลเหตุให้ผู้คนรู้สึกหวงแหนต่อประชาธิปไตยและต่อต้านอำนาจทหารที่เข้าแทรกแซงทางการเมือง
แต่เช่นนั้นหากพิจารณาในแง่ไทม์ไลน์ทางประวัติศาสตร์ และประชากรศาสตร์ ประชากรส่วนใหญ่ก็จะเกิดไม่ทันเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่เหตุใดประชาชนยังสามารถรู้สึกถึงความสำคัญของความเป็นประชาธิปไตยได้?
ความมุ่งมั่นในการปกป้องประชาธิปไตยของชาวเกาหลีใต้ยังคงแรงกล้า แม้คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จะไม่ได้ประสบกับเหตุการณ์นองเลือดที่กวางจูในปี 1980 โดยตรง
เบื้องหลังความแน่วแน่นี้มีรากฐานมาจากการสืบทอดประวัติศาสตร์การต่อสู้อย่างเข้มข้น ผ่านระบบการศึกษา พิพิธภัณฑ์ อนุสรณ์สถาน
และการเล่าขานจากผู้อยู่ร่วมเหตุการณ์สู่คนรุ่นหลัง
วัฒนธรรมการชุมนุมประท้วงอย่างสงบของเกาหลีใต้ได้พิสูจน์พลังของตนมาแล้วในการโค่นล้มระบอบเผด็จการเมื่อปี 1987
ความสำเร็จครั้งนั้นได้หยั่งรากลึกในจิตวิญญาณของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และถูกส่งต่อผ่านเครือข่ายภาคประชาสังคมที่เติบโตแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยมา
ที่สำคัญ การพัฒนาทางเศรษฐกิจและการศึกษาได้สร้างชนชั้นกลางที่มีความรู้ เข้าใจสิทธิ และต้องการความโปร่งใสในการปกครอง
ขณะที่สื่อเสรีและโซเชียลมีเดียก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการกระจายข้อมูลและระดมพลังมวลชนได้อย่างรวดเร็ว
อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาวเกาหลีใต้เห็นคุณค่าของประชาธิปไตยอย่างเป็นรูปธรรม คือการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่การประกันสุขภาพถ้วนหน้า การศึกษาที่มีคุณภาพ ระบบประกันการว่างงาน
ในห้วงสามทศวรรษแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แผ่นดินเสรีแห่งเกาหลีใต้ได้พัฒนาระบบสวัสดิการและการคุ้มครองแรงงานอย่างก้าวกระโดด ด้วยเสียงและพลังของประชาชนที่ผลักดันผ่านกลไกประชาธิปไตย
นับแต่ปี 1989 เป็นต้นมา ประชาชนชาวเกาหลีใต้ได้รับการคุ้มครองด้านสุขภาพอย่างถ้วนหน้า
และได้รับการพัฒนาเป็นระบบประกันสุขภาพเดียวในปี 2008 อันนำมาซึ่งความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้สูงวัยก็ได้รับการดูแลผ่านระบบประกันการดูแลระยะยาวที่เริ่มต้นในปี 1995
ในด้านการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายได้ค่อยๆ พัฒนาให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ใช้แรงงานมากขึ้น
ทั้งการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ การจำกัดชั่วโมงทำงานให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และการขยายสิทธิการลาคลอดพร้อมค่าจ้างถึง 90 วัน
สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน
สำหรับการดูแลครอบครัว รัฐได้จัดให้มีเงินอุดหนุนการเลี้ยงดูบุตร พัฒนาศูนย์รับเลี้ยงเด็กและการศึกษาปฐมวัย รวมถึงการให้สิทธิลาเลี้ยงดูบุตรแก่บิดา อันเป็นการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในการดูแลครอบครัว
ส่วนการดูแลผู้สูงวัยนั้น นอกจากระบบบำนาญแห่งชาติที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1988 แล้ว ยังมีการพัฒนาระบบประกันการดูแลระยะยาวและเบี้ยยังชีพขั้นพื้นฐาน เพื่อให้ผู้สูงวัยได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีศักดิ์ศรี
การคุ้มครองยามว่างงานและที่อยู่อาศัยก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการประกันการว่างงาน การฝึกอบรมทักษะอาชีพ และโครงการที่อยู่อาศัยราคาประหยัดสำหรับผู้มีรายได้น้อย
ความก้าวหน้าเหล่านี้ล้วนเป็นผลพวงจากระบอบประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย
ต่างจากในยุคเผด็จการที่มุ่งเน้นแต่การพัฒนาอุตสาหกรรมโดยละเลยความเป็นอยู่ของราษฎร
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ชาวเกาหลีใต้พร้อมลุกขึ้นปกป้องประชาธิปไตยทุกครั้งที่มีภัยคุกคาม
เพราะพวกเขาได้ประจักษ์แล้วว่าประชาธิปไตยนำมาซึ่งความกินดีอยู่ดีอย่างแท้จริง
ด้วยเหตุนี้ แม้จะไม่ได้สัมผัสความเจ็บปวดของยุคเผด็จการโดยตรง แต่คนเกาหลีใต้รุ่นใหม่ก็เข้าใจดีว่า เสรีภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในวันนี้ ล้วนได้มาด้วยการต่อสู้และเสียสละของคนรุ่นก่อน
พวกเขาจึงพร้อมที่จะปกป้องมรดกประชาธิปไตยนี้ไว้ให้คนรุ่นต่อไป เพราะนั่นหมายถึงการปกป้องคุณภาพชีวิตและอนาคตของพวกเขาเองด้วย
ความหวงแหนประชาธิปไตยจึงไม่ได้เกิดขึ้นจากเพียงแค่นิยามตามทฤษฎีเท่านั้น
แต่เกี่ยวพันกับสวัสดิการ เนื้อตัวชีวิตที่พวกเขาได้รับกลับมาในลักษณะสวัสดิการ รูปธรรมของประชาธิปไตยที่จับต้องและเปลี่ยนชีวิตของผู้คนมหาศาล
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022