มาแล้ว! ‘เหยี่ยวหมายเลข 1’ ของ ‘ทรัมป์ 2.0’ ในสงครามการค้ากับจีน

สุทธิชัย หยุ่น

หากต้องการรู้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ จะเล่นงานจีนเรื่องการค้าหนักแค่ไหน ให้ดูที่คนที่จะมาเป็น “ผู้แทนการค้า” หรือ Trade Representative (TR)

เพราะเขาคือ “มือสังหาร” ในการทำหน้าที่ต่อรองเจรจาการค้าการขายกับทุกประเทศทั่วโลก

และคนนั้นคือ เจมีสัน กรีเออร์ (Jamieson Greer)

และหากจะรู้ว่ากรีเออร์มีแนวทางต่อจีนอย่างไร ก็ให้ดูว่าเขาเคยทำงานกับใคร

ถึงบางอ้อทันที

เพราะเขาเคยเป็นมือขวาในตำแหน่ง “หัวหน้าคณะทำงาน” หรือ Chief-of-Staff ของ TR คนก่อนคือ Robert Lighthizer

ที่เคยปักหลักซดกับจีนมาแล้วในยุคทรัมป์สมัยที่หนึ่ง

แล้วเขาสู้ด้วยคัมภีร์อะไร?

ก็ต้องอ่านหนังสืออันโด่งดังที่กลายเป็น “ยี่ห้อ” ส่วนตัวของเขา

นั่นคือ No Trade is Free

แปลตรงตัวว่า “ไม่มีการค้าใดเสรี”

แถมด้วยพาดหัวตัวรองว่า Changing Course, Taking on China, and Helping America’s Workers

ไม่อ้อมค้อมใดๆ

เพราะหนังสือเล่มนี้กลายเป็นคัมภีร์ที่ทรัมป์ยึดเป็นสรณะ

เป็นที่มาของนโยบายหาเสียงที่ย้ำว่า “อเมริกาต้องมาก่อน” หรือ America First

เพราะสำหรับทรัมป์แล้ว America First เท่านั้นที่จะเป็นที่มาของ Make America Great Again

นั่นหมายความว่าการจะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งนั้นจะต้องดำเนินนโยบายทุกด้านที่ต้องให้อเมริกามาก่อนอะไรทั้งนั้น

กลายเป็นหลักการเน้นๆ ว่าไม่ว่าจะเป็นนโยบายในมิติใด ผลประโยชน์อเมริกาต้องอยู่ในลำดับแรก

ผลประโยชน์ของคนอื่น ไม่ว่าจะคบหากันมายาวนานเพียงใด หรือเคยเป็นพันธมิตรสนิทแน่นกันอย่างไรเป็นเรื่องรองทั้งสิ้น

เพราะฉันกำลังต้องการจะทำทุกอย่างเพื่อตัวฉันเอง

คําประกาศแต่งตั้งกรีเออร์เป็น TR สัปดาห์ก่อนเกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์ขู่ว่าจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน แคนาดา และเม็กซิโก เพื่อปราบปรามการลักลอบขนคนและยาเสพติดเข้าสู่สหรัฐ

กรีเออร์มีอาชีพเดิมเป็นทนายความด้านการค้า ผ่านการทำงานกับทรัมป์มาตั้งแต่สมัยอยู่ทำเนียบขาวครั้งแรก

พิสูจน์อย่างแจ่มชัดมาแล้วว่ามีคุณสมบัติข้อที่หนึ่งครบถ้วน

นั่นคือ “ความจงรักภักดี” เป็นเอก

เขานี่แหละที่มีบทบาทสำคัญในการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนตั้งแต่ยุคนั้น (2017-2021)

ในคำประกาศเสนอชื่อเขาเป็น TR ทรัมป์มอบหมายภารกิจชัดๆ ว่าให้เข้ามาแก้ไขปัญหาการค้าด้วยการเน้นไปที่ “ควบคุมการขาดดุลการค้าจำนวนมหาศาลของประเทศ ปกป้องการผลิต เกษตรกรรม และบริการของอเมริกา และเปิดตลาดส่งออกทุกแห่ง”

จึงไม่ต้องสงสัยว่าเขาพร้อมที่จะสร้างผลงานที่ผู้นำอเมริกันหลายคนอยากเห็น

นั่นคือการผลักดันให้เกิดการแยกทางเศรษฐกิจกับจีนอย่างสมบูรณ์!

ย้อนกลับไปศึกษาว่าเขามีจุดยืนอย่างไรในเรื่องจีน

ก็พบว่าทุกอย่างจะแจ้งโดยไม่มีข้อสงสัยว่าเขามองจีนเป็นภัยคุกคามระยะยาว

สำหรับเขา จีนไม่ใช่แค่คู่แข่งทางเศรษฐกิจ หากแต่เป็นตัวอันตรายที่สหรัฐต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะสกัดกั้นไม่ให้เติบใหญ่ไปกว่านี้

เขาไม่เพียงแค่คิดและนำเสนอความเห็นแนวนี้อย่างเปิดเผยเท่านั้น แต่ยังร่างพิมพ์เขียวที่ระบุมาตรการพร้อมสรรพในอันที่จะดึงสหรัฐออกจาก “วงโคจรของจีน”

เขายอมรับว่างานนี้ไม่ง่าย และยุทธศาสตร์ของเขาอาจจะสร้างความเจ็บปวด

และก็เป็น “ความเจ็บปวดในระยะสั้น”

เพราะชัยชนะในระยะยาวจะเป็นของอเมริกา

ตอนที่เป็นมือขวาของไลท์ไทเซอร์ กรีเออร์เขามีบทบาทสําคัญในการสร้างและบังคับใช้ภาษีศุลกากรที่เปิดสงครามการค้าของทรัมป์ต่อจีน

คราวนี้ เมื่อได้เลื่อนสถานะขึ้นมาเป็น TR เต็มตัว (เทียบเท่าตำแหน่งรัฐมนตรี) เขาจะเดินเครื่องหนักเพียงใด?

 

เป้าหมายแรกคือการขอให้สภาคองเกรสถอดสถานะ “ความสัมพันธ์ทางการค้าปกติถาวร” (PNTR) ของจีน นั่นคือสถานภาพที่ปักกิ่งได้รับมาตั้งแต่ปี 2000 ตอนที่เข้าร่วมองค์การการค้าโลก

ถอดสถานะนี้แล้วแปลว่าอะไร?

ชัดเจนว่านั่นคือกระสุนนัดแรกที่มุ่งเป้าไปที่ปักกิ่ง

เพราะเมื่อไร้สถานะนี้ สินค้าส่งออกของจีนไปยังสหรัฐ (มูลค่า 500,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว) จะต้องเผชิญกับภาษีศุลกากรที่สูงกว่าเดิม…และในหลายกรณีสูงกว่าเดิมมาก

ไม่แต่เท่านั้น เมื่อไม่มีภูมิคุ้มกันตามกฎหมายสหรัฐข้อนี้แล้วก็จะโดนไม้สองต่อ

นั่นคือจะทำให้จีนต้องรับโทษเช่นเดียวกับคิวบา เกาหลีเหนือ และเบลารุส

ชัดไหมว่านี่คือศึกยกแรกที่เขาจะลุยก่อน

เพื่อให้เจ้านายที่ชื่อทรัมป์เห็นว่าเขาคือ “มือปืน” ที่พร้อมจะลั่นไกใส่ศัตรูโดยไม่ต้องรอให้เจ้านายถามหา

สำหรับกรีเออร์แล้ว การตะลุมบอนตั้งแต่ยกแรกคือการสร้างความมั่นใจว่าอเมริกาจะไม่เล่นตาม “กฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นธรรม” ของปักกิ่งอีกต่อไป

กระสุนนัดต่อไปคือการพุ่งเป้าไปที่ประเด็นที่บริษัทจีนแอบหลบเลี่ยงภาษีศุลกากรโดยการผลิตสินค้าในประเทศอื่น

เขาต้องการปิด “ช่องโหว่” นี้ให้มิดด้าม

ด้วยการเสนอกฎเกณฑ์ชุดใหม่ที่เข้มงวดเพื่อให้แน่ใจว่าหากบริษัทจีนสร้างอะไรไปผลิตสินค้าบางชนิดในประเทศที่สาม เช่น เม็กซิโก

หรือหากผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้นๆ มีส่วนประกอบที่สำคัญของจีน ก็จะไม่เข้าข่ายได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากรภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี

นั่นแปลว่ามาตรการลุยแหลกนี้จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การผลิตยานยนต์ ซึ่งส่วนประกอบของจีนมักฝังลึกอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน

กลยุทธ์ของกรีเออร์ยังอาจรวมถึงการบริหารจัดการกับพฤติกรรมของจีนที่สหรัฐเห็นว่าเป็นการจงใจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของอเมริกา

เช่น หากบริษัทมะกันใดถูกปิดกั้นจากตลาดจีนเพื่อเป็นการตอบโต้มาตรการภาษีศุลกากร ตนในฐานะตัวแทนการค้าก็จะใช้ความเป็นรัฐบาลวอชิงตันเข้ามาฟาดฟันกับจีนเช่นกัน

“พิมพ์เขียว” ของเขายังรวมถึงการใช้รายได้จากภาษีศุลกากรที่เก็บจากสินค้าต่างชาติมาอุ้มชูบริษัทและคนงานอเมริกันที่ได้รับผลกระทบ

ยิ่งกว่านั้น ก็จะเดินหน้าผลักดันกฎเกณฑ์ที่อนุญาตให้สหรัฐไล่ตามบริษัทต่างชาติที่เข้ามาแทนที่ธุรกิจของสหรัฐที่ถูกจีนปิดกั้น

 

อีกหนึ่งสมรภูมิสำคัญของ “สงครามการค้า” กับจีนสำหรับเขาคือการปิดกั้นไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญของสหรัฐ

ในขณะที่การควบคุมการส่งออกทุกวันนี้พุ่งเป้าไปที่ภาคส่วนที่ทันสมัย เช่น ชิพ AI และเทคโนโลยีด้านการทหาร

กรีเออร์ต้องการขยายข้อจำกัดเหล่านั้นให้กินความกว้างขึ้นไปอีก

เช่น ต้องครอบคลุมไปถึงอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การบิน การขนส่ง และแม้แต่อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์รุ่นเก่า

สำหรับจีน นั่นหมายความว่าไม่มีเครื่องมือใหม่ ไม่มีเทคโนโลยีขั้นสูง และไม่มีทางลัดในการไล่ตามอเมริกา

กลยุทธ์นี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่กรอบปัจจุบัน

เขาต้องการให้สหรัฐรวบรวมพันธมิตร เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเนเธอร์แลนด์เพื่อใช้มาตรการแบบเดียวกันนี้ในอันที่จะตัดจีนออกจากห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

เป้าหมายลึกๆ คือมุ่งหวังที่จะทำให้ปักกิ่งแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าถึงเครื่องมือที่จำเป็นในการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่สำคัญ

 

แนวรบอีกด้านหนึ่งของสงครามเศรษฐกิจในแผนของกรีเออร์คือเรียกร้องให้รัฐสภามอบอำนาจให้รัฐบาลกลางตรวจสอบและปิดกั้นการลงทุนของอเมริกันในบริษัทจีน

มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่โยงกับภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติหรือเศรษฐกิจ

โดยแบ่งเป็นกลุ่มๆ ตามลำดับ “อันตราย” ในคำนิยามของขา

เช่น การลงทุนบางอย่างอาจถูกห้ามโดยสิ้นเชิง และอีกบางส่วนต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล

นั่นคือการพุ่งไปที่เงินลงทุนของสหรัฐที่ไหลเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม AI และเซมิคอนดักเตอร์ของจีน

มีหรือที่ปักกิ่งจะไม่โวย

กระทรวงต่างประเทศของจีนออกมาโวยวายว่าข้อเสนอเหล่านี้ไม่ยุติธรรมและเป็นแผนการอันชั่วร้ายที่ขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน

แต่กรีเออร์ไม่ยอมแพ้ ยังผลักดันแนวทางนี้ต่อไป

เป้าหมายสูงสุดของกรีเออร์คือการทำให้สหรัฐพึ่งพาจีนน้อยลงสำหรับสินค้าสำคัญ

วิธีแก้ปัญหานี้คือเร่งการผลิตในประเทศในภาคส่วนสำคัญ อุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ยา หุ่นยนต์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์พลังงานซึ่งอยู่ในอันดับต้นๆ ของบัญชี “วาระเร่งด่วน”

เห็นหรือยังว่า “เหยี่ยว” หมายเลขหนึ่งของสหรัฐในการเตรียมเปิด “สงครามการค้า” รอบใหม่กับจีนนั้นอยู่ในสภาพ “พร้อมรบ” แล้วจริงๆ!