33 ปี ชีวิตสีกากี (101) | เกร็ดชีวิตอันหลากหลาย

พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์

พ.ศ.2531

ปฏิทินเปลี่ยนใหม่แล้ว ขอให้ชีวิตในวันใหม่มีแต่สิ่งดีๆ เข้ามา เป็นความปรารถนาของผมเมื่อปีใหม่มาถึงทุกปี

ในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น ภูมรินทร์ได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากร้านจำหน่ายหีบศพ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื่องจากภูมรินทร์เคยเป็นพนักงานสอบสวนที่โรงพักอำเภอเมืองนครศรีธรรมราชมาก่อน จึงสนิทสนมคุ้นเคยกันดี และที่โทรศัพท์มาเพราะมีธุระเร่งด่วน ต้องการที่จะไหว้วานภูมรินทร์ให้ตามหานายตำรวจตำแหน่งสารวัตร และเป็นคนนครศรีธรรมราช ซึ่งได้มาร่วมพิธีงานแต่งงานที่โรงแรม เจ.บี.ในหาดใหญ่ ชื่อ พ.ต.ท.สุดใจ ญาณรัตน์ ให้หน่อย

และเมื่อตามเจอแล้ว ให้ภูมรินทร์ช่วยบอกสารวัตรสุดใจ ให้รีบโทรศัพท์กลับไปที่ร้านจำหน่ายหีบศพโดยด่วนที่สุด มีเรื่องที่จะปรึกษา

แต่ภูมรินทร์ไม่รู้จักสารวัตรสุดใจ ว่าเป็นใครและไม่รู้ว่าจะไปตามหาได้ยังไงที่โรงแรมเจ.บี. ภูมรินทร์ซึ่งพักที่เดียวกับผม ได้ถามผมว่า รู้จักสารวัตรสุดใจ ญาณรัตน์ ไหม

ผมบอกกับภูมรินทร์ว่ารู้จักและสนิทกันดี ตั้งแต่ผมอยู่ที่จังหวัดระนองแล้ว และผมยังเคยไปช่วยราชการทำงานที่โรงพักอำเภอละอุ่น จังหวัดระนอง ที่สารวัตรสุดใจเป็นหัวหน้าโรงพักอยู่ นานถึง 1 เดือน ภูมรินทร์จึงชวนผมให้ไปตามหาสารวัตรสุดใจ ที่โรงแรมเจ.บี.

เมื่อเข้าไปถึงในบริเวณงาน ผมก็เห็นสารวัตรสุดใจ จึงรีบเข้าไปสวัสดีทักทายแล้วแนะนำภูมรินทร์ให้รู้จัก

ต่อจากนั้น ผมก็บอกกับสารวัตรสุดใจว่า ภูมรินทร์มีเรื่องธุระจากร้านหีบศพที่นครศรีธรรมราช สารวัตรสุดใจกับภูมรินทร์จึงได้คุยกัน แล้วสารวัตรสุดใจก็เดินแยกออกมาจากบริเวณงาน ตรงมาที่แผนกต้อนรับของโรงแรมเจ.บี. ขอโทรศัพท์ทางไกลไปจังหวัดนครศรีธรรมราช

เมื่อสารวัตรสุดใจได้พูดคุยทางโทรศัพท์แล้ว ก็ตรงมาหาผมแล้วพูดกับผมว่า “ปวีณ พี่มีธุระด่วน ฝากน้องช่วยพี่หน่อยได้ไหม? ปวีณช่วยไปส่งโทรเลขให้พี่หน่อย” พร้อมกับส่งกระดาษมีข้อความที่จดไว้ให้โทรเลขว่า “ผมลืมปืนไว้ในรถท่าน ช่วยเก็บรักษาปืนของผมด้วย” ที่อยู่ปลายทางอยู่ที่ร้านจำหน่ายหีบศพ จังหวัดนครศรีธรรมราช

ผมก็รับกระดาษจดข้อความนั้นมาจากสารวัตรสุดใจ โดยผมเองก็ไม่รู้ว่ามีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นที่ สภ.อ.เมืองนครศรีธรรมราช

ผมมีความเคารพนับถือสารวัตรสุดใจมาอยู่ก่อนแล้ว และเป็นธุระที่ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงผม จึงรีบเดินทางไปที่ไปรษณีย์กับภูมรินทร์ และจัดการโทรเลขให้เรียบร้อย

ต่อมาภายหลังจึงทราบข่าวใหญ่โตทางหน้าหนังสือพิมพ์ว่า หลานสาวของ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ผู้หนึ่งได้ขับรถชนกับคนในวงการตุลาการ จากหลังสวน ซึ่งเป็นญาติของร้านจำหน่ายหีบศพในจังหวัดนครศรีธรรมราช ขณะเกิดเหตุ มีอาการเมาและร้อยเวรสอบสวนกับนายตำรวจ สภ.อ.เมืองนครศรีธรรมราช รู้จักเฉพาะหลานสาว ส.ส.คนดังของจังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนชายคนที่เมานั้นไม่รู้จักว่าเป็นคนในวงการตุลาการ แม้จะเป็นคนจังหวัดนครศรีธรรมราชก็ตาม จึงได้ควบคุมตัวมาที่โรงพักเมืองนครศรีธรรมราช และยังตรวจค้นพบอาวุธปืนในลิ้นชักในรถยนต์คันเกิดเหตุ

ด้วยความที่ไม่รู้จักและไม่ทราบว่าเป็นใคร และอยู่ในอาการมึนเมา จึงพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง แล้วใช้วิธีการที่รุนแรง และดำเนินคดีไปตามกฎหมาย

แต่กว่าจะรู้ว่าคนเมานั้นเป็นคนในวงการตุลาการ เรื่องราวก็ดำเนินไปไกลแล้ว ไม่สามารถเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้

จึงมีการฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งคู่กรณีและนายตำรวจที่ทำหน้าที่ร้อยเวรสอบสวน กับนายตำรวจที่นั่งทำงานในห้องพนักงานสอบสวนทุกคน ในความผิดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

และในที่สุด นายตำรวจที่จบมาใหม่ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ซึ่งไม่ควรจะเจอผลร้าย กลับต้องออกจากราชการไปหลายคน และคนในวงการตุลาการคนนี้ก็ถูกไล่ออกจากราชการไปด้วยเช่นกัน

เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากมายกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น และไม่คิดเลยว่าจะพาผมกับภูมรินทร์เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เหตุเกิดคนละจังหวัดแท้ๆ ก็พลอยไปด้วย

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันแต่ละแห่ง สามารถเปลี่ยนชีวิตตำรวจได้อย่างคาดไม่ถึงเสมอๆ

 

พฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม 2531

ตั้งจุดตรวจอาวุธที่หน้าโรงไฟฟ้า ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 16.00 น.

ประมาณ 1 ทุ่มตรง ไปสนามบินหาดใหญ่พร้อมกับ พ.ต.ต.ดำรงค์ วัฒโนดร และพบ พ.ต.ท.เสนีย์วัฒน์ นกสกุล นายเวร ผบช.ภ.4 เพื่อรอรับผู้บัญชาการตำรวจภูธร 4 ซึ่งเดินทางกลับจากกรุงเทพฯ และในวันนั้นมีการขอตัวผมไปเป็นผู้ช่วยนายเวร ผบช.ภ.4 แต่ภายหลังเรื่องก็เงียบไป

ในเวลานั้น ช่วงหลังออกจากเวร ตอนกลางคืน พ.ต.ต.ดำรงค์ วัฒโนดร สวส. จะเรียกผมกับ ร.ต.อ.ภูมรินทร์ ประชาญสิทธิ์ ไปเที่ยวแหล่งบันเทิงในหาดใหญ่ตลอด โดยเฉพาะจะไปนั่งที่ไอบิสผับ ซึ่งอยู่ที่ตลาดซีกิมหยง

สารวัตรดำรงค์ หรือพี่ดำของน้องๆ จะเที่ยวคู่กับ พ.ต.ท.สติ มาลกานนท์ สวส.1 เพราะเป็นคนโสด จนเป็นปกติ

ผมกลายเป็นนกฮูกที่ไม่ต้องหลับนอน กลางวันทำงานกับสารวัตรจราจร กลางคืนทำงานกับสารวัตรสืบสวนสอบสวน คอยดูแลอำนวยความสะดวก แต่การไปเที่ยวก็ส่วนการไปเที่ยว ส่วนเรื่องงานไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ผมกับภูมรินทร์ก็ไม่ได้ขึ้นกับพี่ดำ หรือพี่สติโดยตรง แต่ต้องไป แม้จะทำงานมาทั้งวัน

แต่อย่างไรก็ตาม สารวัตรดำรงค์ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาภาคกลางคืน นำไปทัศนศึกษาชีวิตยามไร้แสงตะวันในผับบ่อยๆ

หากวิทยุเรียกผมแล้วไม่ตอบรับจะถูกข้อหานี้ทันที “ในใจพี่มีแต่น้อง แต่ในใจน้องไม่มีพี่”

บางครั้งผมไม่อยากไปเพราะผมต้องเข้าเวรตอนเช้ามืด จึงมีเวลาพักน้อย และนอนน้อย แต่ก็ต้องไป เพราะกลัวข้อหาพี่ดำ รวมทั้งเป็นพี่ ตำแหน่งก็ใหญ่กว่า

ผมจึงถือเป็นการเรียนในภาค twilight

แม้จะกลับดึก หรือได้พักผ่อนน้อย ภารกิจในหน้าที่ทุกอย่างของผม ไม่เคยเสียหายและบกพร่องใดๆ ทั้งสิ้น

เมื่อเวลาดึกมากแล้ว บางคืนพี่ดำจะอนุญาตให้ผมกลับไปก่อน แต่ให้ผมส่งกุญแจรถยนต์กระบะส่วนตัวของผมให้พี่ดำ พร้อมกับยื่นเหรียญห้าบาทให้ โดยให้ผมนั่งรถตุ๊กตุ๊กกลับบ้าน หลังจากนั้นพี่ดำจะไปไหนผมไม่ทราบจริงๆ

บางครั้งผมทราบข่าวมาว่า พี่ดำไปค้างคืนที่โรงแรม และภรรยาทราบจึงติดตามไป จนพี่ดำต้องหนีออกทางหน้าต่างแล้วปีนต้นไม้ข้างห้องลงมา ผมไม่กล้ายืนยันว่าจริงหรือไม่ แต่ตำรวจปิดกันให้แซด เป็น talk of the town

วันหนึ่งหลังจากผมออกเวร กำลังจะขับรถกระบะกลับไปอาบน้ำแล้วแต่งตัวกลับมาทำงาน พี่ณีย์ ภรรยาของพี่ดำ ได้มาดักรอผมแล้วสั่งให้ผมนั่งในรถกระบะของผม ไม่ให้ไปไหน กักบริเวณอยู่ตรงนั้น จากนั้นก็ใช้วิชาการซักถามผมว่า ตอนกลางคืนพี่ดำไปไหน พยายามซักผมอย่างหนัก ผมตอบว่าผมไม่รู้จริงๆ ก็ไม่เชื่อและโกรธผมเอามากๆ

ผมไม่ได้โกหกพี่ณีย์ เมื่อผมไม่รู้ก็ตอบว่าไม่รู้ เพราะพี่ดำไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟัง เวลานั้นผมเริ่มเชื่อแล้วว่า มีนายตำรวจในโรงพักหลายคนเป็นสายให้พี่ณีย์

ผมต้องยอมรับว่า พี่ณีย์มีฝีมือในการสืบสวนจริงๆ เพราะวางสายไว้ยุ่บยั่บ แต่ต้องเจอผู้ต้องสงสัยที่พลิ้วไหวประดุจสายลม สัมผัสได้แต่หาไม่เจอ คดีแบบนี้ฟ้องศาลไม่ได้แน่นอน แต่ทำให้ผู้ต้องสงสัยบาดเจ็บหลายครั้ง รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องก็อึดอัดพลอยโดนหางเลขไปด้วย

 

ข้ามไปจันทร์ 18 เมษายน 2531

ตอนเช้าเข้าร้อยเวรสอบสวนคดีจราจร ผมจับกุมวัยรุ่นผู้ชายคนหนึ่ง อายุประมาณ 23-24 ปี เพื่อดำเนินคดีในความผิดฐานขับรถจักรยานยนต์ชนผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วหลบหนี แล้วนำตัวมาโรงพัก และได้จัดทำบันทึกการจับกุมไว้เรียบร้อย

ผมให้ผู้ต้องหาที่เป็นวัยรุ่นคนนั้นนั่งในห้องร้อยเวรสอบสวนคดีจราจร โดยไม่ได้ใส่กุญแจมือ หรือมีเครื่องพันธการอะไรทั้งสิ้น เพราะกำลังจะทำการสอบสวน

มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกผม ผมจึงผละออกจากห้องนั้นไป และไม่คาดคิดว่า วัยรุ่นผู้ต้องหานี้จะฉวยโอกาสที่ผมพลั้งเผลอ เดินออกจากห้องร้อยเวรสอบสวนคดีจราจรออกไป แล้ววิ่งลงทางบันไดหน้าโรงพัก จากนั้นก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

มีตำรวจเห็นผิดสังเกตจึงร้องเสียงดังว่ามีคนหนี ผมได้ยินและหันกลับไปทางที่ตำรวจชี้ ผมเห็นหลังวัยรุ่นนั้น เป็นผู้ต้องหาของผม วิ่งไปไกลใกล้ถึงหน้าที่ทำงานของตำรวจ ตม.สงขลา เกือบพ้นรั้วประตูโรงพัก ระยะกว่า 50 เมตรไปแล้ว

ผมในเครื่องแบบชุดร้อยเวรจราจร สวมรองเท้าคอมแบต จึงวิ่งไล่กวดติดตามไปทันที

ผู้ต้องหาวัยกระทงคนนี้ คิดว่าคงจะหนีตำรวจพ้นได้แน่นอน แต่ระยะทางเพียงเท่านี้ผมสามารถใช้สปรีด พลังขาของผม แค่ไม่ถึงเสี้ยวของนาที ผมก็ไล่กวดและตะครุบตัวผู้ต้องหาคนนี้ไว้ได้ทัน แล้วล็อกตัวนำมาดำเนินคดีโดยไม่ยากเย็น หรือเกินความสามารถของผมไปได้

ในเวลานั้นผู้ต้องหาอย่าได้บังอาจใช้วิธีวิ่งหลบหนีเพื่อท้าทายผมเป็นอันขาด ทั้งความเร็วและความอึด สู้ผมไม่ได้แน่นอน

หรือในการงัดข้อไม่ว่าจะเป็นข้างซ้ายหรือข้างขวา ผมมีพลังแขนมากพอที่จะกดคู่ต่อสู้ให้พ่ายแพ้ได้เสมอ ยิ่งการจับมือบีบมือ ผมก็ไม่แพ้ใครง่ายๆ ถ้ามือไม่แข็งพอ ผมสามารถบีบมือให้ร้องไม่ออกเลย

แต่วันนี้เป็นบทเรียนอีกบทหนึ่ง ที่สอนผมว่า ผู้ต้องหาไม่ใช่เป๊ปซี่ดีที่สุด

 

ศุกร์ 22 เมษายน 2531

ตอนเช้าเข้าร้อยเวรสอบสวนคดีจราจร

เวลา 10.00 น. พ.ต.อ.ธรรมนูญ ทับเคลียว ผกก.ภ.จว.สงขลา มาเป็นประธานในการประชุมที่ห้องประชุม สภ. เกี่ยวกับการจราจรในหาดใหญ่ พ.ต.ต.สุรชัย สืบสุข สว.สภ.กิ่ง อ.นาหม่อม มาร่วมประชุมด้วย

เกือบจะตลอดทั้งวันมีเหตุรถชนกันมาก หลายราย ผมได้ออกไปตรวจที่เกิดเหตุตลอด

จนกระทั่งกลับมาที่โรงพักประมาณตี 2 ผมต้องประหลาดใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อไม่พบตำรวจบนโรงพักเลย แต่กลับมีคนคลุ้มคลั่งอาละวาด ทุบกระจกบนโรงพักแตกพังพินาศ ทั้งหน้าต่างและกระจกที่บอร์ดประกาศข่าว และเอากระจกที่แตกขว้างใส่ทุกคนที่คิดจะเข้าใกล้ บางทีก็ขว้างออกมาหน้าโรงพัก ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไปอยู่ที่ไหนกันหมด เสมือนคนที่กำลังคลั่งคนนี้ยึดโรงพักหาดใหญ่ไว้ได้แล้ว และ ร.ต.ต.พิชญ์วุฒิ ร้อยเวรสอบสวนคดีอาญา ไม่ทราบไปไหน หายไปเลย

ผมต้องหยุดคนที่ทำลายทรัพย์สินบนโรงพักให้ได้ ตัดสินใจว่าต้องลุยเข้าไปจับตัวคนคนนี้ให้ได้ เพื่อให้เกิดความเสียหายมากไปกว่านี้

แต่ก่อนเข้าไปจับตัวจะต้องมีเครื่องป้องกัน ที่หาได้ง่ายๆ ก่อน ผมหาได้กระสอบป่านสำหรับบรรจุข้าวสาร เป็นเครื่องป้องกัน เพื่อไม่ให้โดนกระจกแตกขว้างใส่ และให้ จ.ส.ต.ไชยา สุราฤทธิ์ คอยช่วยเหลือเมื่อผมเข้าไป ผมสามารถพุ่งเข้าไปล็อกตัวได้ไม่ยากนัก

และทำให้เหตุการณ์บนโรงพักสงบลงได้

 

อาทิตย์ 24 เมษายน 2531

ตอนเย็น วิ่งรอบสนามกีฬาจิระนคร ได้ 10 รอบ ปกติผมจะวิ่งเร็วมาก และทุกครั้งผมจะวิ่งน็อกรอบคนอื่นเสมอๆ คือคนอื่นวิ่งไปตามปกติ ไม่ใช้ความเร็วมากนัก ผมวิ่งผ่านไปแล้ววนกลับมาแซง ได้อีก

10 รอบสนามกีฬา ประมาณ 4 กิโลเมตร

การออกกำลังกาย ผมจะพยายามปฏิบัติเสมอๆ ไม่เคยทอดทิ้งเป็นเวลานานๆ เลย เว้นแต่มีภารกิจมาก อาจจะหยุดบ้าง นอกจากจะวิ่งออกกำลังกายที่สนามกีฬาจิระนครเป็นประจำอยู่แล้ว บางครั้งผมจะไปวิ่งในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หรือใน ม.อ. ที่บริเวณอ่างเก็บน้ำ ผมชอบมองไปที่ผิวน้ำในอ่างเก็บน้ำ แม้มีระลอกคลื่นเล็กๆ พลิ้วไหวบนผิวน้ำ แต่สร้างบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกเย็น สงบรอบๆ พื้นที่สวยงาม มีภูเขาป่าไม้ แม้จะไปไม่บ่อยเพราะค่อนข้างไกลจากที่พัก การเดินทางอาจจะใช้เวลา

แต่คุ้มค่าทุกครั้ง นอกจากได้ออกกำลังกาย ยังได้ชื่นชมกับทิวทัศน์โดยรอบ ที่ทำให้สบายสายตา ม.อ.ทำให้หาดใหญ่ดูดีมาก