‘ครูเกิดน้อย’ วิกฤตใหญ่ใน ‘ญี่ปุ่น’ ยิ่งกว่า ‘เด็กเกิดน้อย’

ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน

ในช่วงที่ผ่านมา เสียงบ่นที่เราได้ยินจากทุกวงการก็คือ “ปัญหาเด็กเกิดน้อย”

เมื่อ “เด็กเกิดน้อย” นักเรียนก็น้อย นักศึกษาก็จะน้อยตามมา แน่นอน คนวัยทำงานก็จะน้อยลงไปอีก

ส่งผลกระทบเป็น Domino ตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม อาชีวะ มหาวิทยาลัย และสถานประกอบการ

แต่ที่ญี่ปุ่น นอกจาก “ปัญหาเด็กเกิดน้อย” แล้ว ไม่น่าเชื่อว่า ทุกวันนี้ ญี่ปุ่นกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ “ครูเกิดน้อย”

 

รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาขึ้นเงินเดือนครูครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปีเลยทีเดียว โดยจะมีการปรับฐานเงินเดือนครูครั้งใหญ่

ซึ่งหากพิจารณาจากบริบทปัจจุบัน แม้ว่าสภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐของญี่ปุ่นจะดีขึ้นมาก

ทว่า โครงสร้างเงินเดือนของครู ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมานานถึง 50 ปีแล้ว ท่ามกลางเสียงเรียกร้องการปรับเงินเดือนที่มีมาโดยตลอด

สมทบกับการที่กระทรวงศึกษาธิการของญี่ปุ่น มีแผนที่จะปรับขึ้นเงินเดือนครู 13% ที่มาพร้อมกับแผนการปฏิรูประบบการทำงานในโรงเรียน

โดยจะเรียกครูใหญ่ และครูระดับกลาง เข้ารับการฝึกอบรมใหม่ เพื่อบริหารจัดการเวลาทำงาน รวมถึงการทบทวนบทบาทหน้าที่ของครูไปด้วยในตัว

ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศนโยบายสรรหาครูเพิ่มราว 8,000 คน ในปีงบประมาณ 2025 (ปีงบประมาณ 2025 ของญี่ปุ่น จะเริ่มต้นวันที่ 1 เมษายน 2025-31 มีนาคม 2026)

โดยมีการวางยุทธศาสตร์ผ่านมาตรการต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การมุ่งสร้างครูเฉพาะทาง การรื้อฟื้นระบบแนะแนว โดยมอบหมายครูให้บริหารจัดการภาวะขาดเรียน รวมถึงการบูลลี่ และการกลั่นแกล้งในโรงเรียน

 

ในช่วงที่ผ่านมา ญี่ปุ่นประสบภาวะ “เด็กเกิดน้อย” ที่สร้างปัญหาให้กับโรงเรียนขนาดเล็ก เหมือนกับที่เกิดในบ้านเรา โดยทั้ง 2 ประเทศมีแผนการแก้ปัญหาโดยการยุบรวมโรงเรียนคล้ายกัน

เช่น นโยบายรวม 2 ห้องเรียนเป็นห้องเดียว หรือให้ครูใหญ่ และรองครูใหญ่ ลงมาช่วยสอนหนังสือ ทั้งที่ปกติแล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของผู้บริหารที่ต้องรับผิดชอบงานสอนในห้องเรียน

นี่คือสถานการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นทั่วญี่ปุ่น อันเป็นผลสืบเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนครู ซึ่งยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เป็นต้นว่า สถานการณ์ขาดแคลนครูในโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 40 แห่ง ที่ขาดแคลนครูมากกว่า 2,500 ตำแหน่ง

ซึ่งถือว่าขาดแคลนครูเพิ่มขึ้นเกือบ 600 คนหากเทียบกับข้อมูลเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เทียบสัดส่วนแล้วถือเป็นการขาดแคลนครูเพิ่มขึ้นมากถึง 1.5 เท่าในรอบ 6 เดือนทีเดียว

 

สาเหตุหลักของการขาดแคลนครูก็คือ ปัญหาครูลาคลอด ลาไปดูแลลูก ลาไปดูแลพ่อแม่ และลาป่วย ทำให้ครูใหญ่ และรองครูใหญ่ ต้องลงมาสอนแทน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปริมาณผู้ที่จะมาสมัครเป็นครูลดน้อยถอยลงทุกปี

เป็นความจริงที่ว่า ในปัจจุบัน อายุเฉลี่ยของครูในญี่ปุ่นคือ 30 ปี ที่มีมากถึง 60% (ตกอยู่ในช่วงอายุของ Generation Z) ดังนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เหตุใดปัญหาครูลาคลอด ลาไปดูแลลูก ลาไปดูแลพ่อแม่ และลาป่วย จึงปะทุขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จำนวนครูเพศชายที่ลาไปเพื่อดูแลลูก มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ จำนวนผู้สมัครสอบคัดเลือกเข้าสู่อาชีพครู มีจำนวนลดลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน นี่คือปัจจัย หรือโจทย์ที่แก้ยากมากในการหาครูใหม่เข้ามาทดแทนครูที่เกษียณและลาออก หรือลาหยุด

 

ปัจจัยสำคัญซึ่งอยู่เบื้องหลังปัญหาดังกล่าวก็คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นอายุครู

โดยในช่วงที่ผ่านมา ครูรุ่นใหม่จำนวนมากได้รับการบรรจุเพื่อเข้ามาแทนตำแหน่งที่ว่างลงจากครู Generation Baby Boomer ที่เกษียณอายุไปเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น กลยุทธ์เพิ่มจำนวนครูใหม่ คือการสร้างแรงจูงใจโดยตรงไปยังผู้ที่ต้องการจะประกอบอาชีพครู ซึ่งดูจะเป็นหนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาการขาดแคลนครูของญี่ปุ่นได้ในระยะยาว และเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครู คือการเร่งปฏิรูปรูปแบบการทำงานของครู และรีบปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงานของครู หรือการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของโรงเรียน เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างเร่งด่วน

ซึ่งภาครัฐเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เห็นได้จากการประกาศแผนขยายระบบการสอนที่ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละวิชาจะเป็นผู้สอนนักเรียน โดยระบบนี้สามารถช่วยให้ครูประจำชั้นลดจำนวนชั้นเรียนที่ต้องรับผิดชอบลงได้มากถึง 3.5 คาบต่อสัปดาห์เลยทีเดียว

ซึ่งเดิมที เมื่อปีการศึกษาก่อน ระบบดังกล่าว ถูกนำมาใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 6 พร้อมกันทั่วญี่ปุ่น

โดยในปีการศึกษาหน้า กระทรวงศึกษาธิการของญี่ปุ่นมีแผนที่จะนำระบบดังกล่าวไปใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และ 4 ต่อไป

 

เช่น วิชาคณิตศาสตร์ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จะมีครูรุ่นใหม่ และครูรุ่นเก่า สอนร่วมกัน 2 คน โดยสอนแบบสลับกัน โดยระหว่างนั้น ครูรุ่นใหม่จะนั่งตรวจการบ้านในห้องพักครู จากนั้นก็เริ่มเตรียมการสอน และเตรียมความพร้อมสำหรับชั้นเรียนถัดไป

ระบบนี้จะทำให้ครูสามารถสะสางภาระงานต่างๆ ที่เคยใช้เวลาทำหลังเลิกเรียนได้ในเวลากลางวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครูหลายคนที่เข้าร่วมโครงการต่างพูดตรงกันว่า ระบบนี้ทำให้ครูมีเวลาเตรียมบทเรียนได้มากขึ้น

ในส่วนของนักเรียนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การได้เรียนกับครู 2 คนเป็นเรื่องสนุก และแปลกใหม่ เพราะการเข้าเรียนกับครูหลายคน ทำให้ได้เรียนรู้อะไรมากกว่าเรียนกับครูเพียงคนเดียว

 

นอกจากการนำระบบนี้มาใช้แล้ว ยังมีการมอบหมายให้ครูรุ่นใหม่ไปทำหน้าที่ครูประจำชั้น หรือครูแนะแนว ในวันที่ไม่มีคาบสอนอีกด้วย

ทั้งนี้ ระบบประกบคู่ครูรุ่นใหม่กับครูอาวุโสผู้เชี่ยวชาญรายวิชาเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะไม่เพียงช่วยพัฒนาทักษะครูรุ่นใหม่ แต่ยังช่วยลดภาระของครูทั้งหมดลงอีกด้วย ซึ่งจะส่งผลให้การลาออกของครูรุ่นใหม่ลดลง

อย่างไรก็ตาม มาตรการขึ้นเงินเดือนครูอาจจะล่าช้าเกินไป เนื่องจาก แม้ว่ารัฐจะมีนโยบายปรับฐานเงินเดือนถึง 13% แต่เมื่อเทียบกับค่าล่วงเวลาแล้ว อัตราส่วนดังกล่าวเท่ากับ OT เพียง 20 ชั่วโมงต่อเดือนเท่านั้น

ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการของญี่ปุ่นจะเพิ่มมาตรการอื่นๆ เติมเข้ามาอีก ที่นอกจากจะลดชั่วโมงการทำงานล่วงเวลา เพื่อให้ครูไม่เหนื่อยล้าเกินไป เช่น พิจารณามาตรการลาพักร้อน โดยอนุญาตทันทีแบบอัตโนมัติ หากจำนวนชั่วโมงทำงานของครูเกิน 20 ชั่วโมงต่อเดือน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลจะเร่งสร้างความเข้าใจในนโยบายใหม่นี้ต่อสาธารณชน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญเมื่อต้องดำเนินนโยบายที่สำคัญระดับชาติเช่นนี้ นั่นคือ เพิ่มการเก็บภาษีสำหรับนำงบประมาณนี้ไปขึ้นเงินเดือนครู

นอกจากนี้ ภาครัฐจะดำเนินนโยบาย และกลยุทธ์การเพิ่มจำนวนครูอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุทธศาสตร์การผลิตครู คือการสร้างแรงจูงใจโดยตรงไปยังผู้ที่ต้องการจะประกอบอาชีพครู เพื่อดึงดูดผู้คนที่ต้องการเข้าสู่วิชาชีพนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด

ซึ่งรัฐบาลจะมียุทธศาสตร์ที่ยืดหยุ่น และกล้าหาญ เช่น นโยบายลดการทำงานล่วงเวลา และมาตรการต่างๆ ที่จำเป็น