ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 พฤศจิกายน - 5 ธันวาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ฝนไม่ถึงดิน |
ผู้เขียน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี |
เผยแพร่ |
ฝนไม่ถึงดิน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ที่เสริมแรง
ระหว่างประเด็นในชีวิตประจำวัน
และประเด็นเชิงโครงสร้าง
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสร่วมในงานรำลึก กิจกรรม 50 ปี สมาพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย ที่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2517 ได้มีการแลกเปลี่ยนประเด็นที่หลากหลายจากอดีตถึงปัจจุบัน
มีความเห็นหนึ่งเสนอว่า หลากหลายกลุ่มมีข้อเสนอที่หลากหลาย
หนึ่งในนั้นคือเป็นไปได้หรือไม่ ที่เราจะมีจุดยืนร่วมกันในเรื่องใหญ่ๆ และยอมละทิ้งประเด็นเล็กๆ
ผมฟังถึงจุดนี้จึงเกิดคำถามในใจว่า พอในทางปฏิบัติแล้ว เราจะสามารถวัดเรื่องใหญ่ และเรื่องเล็กได้อย่างไร หากเราจะทำงานเพื่อผลักดันร่วมกัน?
สังคมไทยเมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระดับมหภาค หรือระดับใหญ่ เราอาจเห็นภาพของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การปฏิรูปสถาบันทางการเมือง หรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจ
ซึ่งแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงในภาพใหญ่หากทำสำเร็จ ก็จะนำสู่การเปลี่ยนแปลงหลายประเด็นในระดับย่อย
เงื่อนไขดังกล่าว อาจทำให้เราอาจมองข้ามความสำคัญของนโยบายระดับย่อยที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน
ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการครอบครัว หรือสวัสดิการกลุ่มเฉพาะต่างๆ ที่อาจไม่ใช่นโยบายที่เป็นที่นิยม แต่ทำหน้าที่เสมือนรากฐานของสังคม
การผลักดันประเด็นใหญ่ทางการเมืองเปรียบเหมือน “ฝน” ที่ตกจากฟ้า แต่หากขาดการจัดการที่ดีในระดับพื้นดิน น้ำฝนเหล่านั้นก็อาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพืชพันธุ์และผืนดิน
เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระดับบน หากไม่มีการดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในระดับชีวิตประจำวัน การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นก็อาจไม่ส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง
หรือกล่าวอีกนัย เราก็ได้กฎหมาย หรือแผ่นกระดาษเพิ่มขึ้นมาแต่ไม่สามารถย่อยถึงชีวิตของคนธรรมดาได้
ในทางกลับกัน เราไม่ควรมองว่าการเปลี่ยนแปลงในระดับล่างสูญเปล่า
ตัวอย่างเช่น การเพิ่มวันลาคลอด ก็สามารถทำให้ผู้คนมีเวลาในการให้ความสำคัญกับสิ่งที่สำคัญในชีวิต
หรือการลาเพื่อดูแลคนในครอบครัว ก็ทำให้ปัจเจกชนมีแรงเสริมในการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมด้วนเช่นเดียวกัน
สวัสดิการครอบครัวแม้จะเป็นประเด็นที่อาจถูกมองว่าเป็นประเด็นระดับย่อย แต่ก็เป็นหนึ่งในประเด็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด
การสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวผ่านระบบสวัสดิการที่ครอบคลุมจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสให้กับคนรุ่นต่อไป
เช่น การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร การให้สิทธิลาคลอดที่เพียงพอ การจัดให้มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่มีคุณภาพ หรือการให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุในครอบครัว
ประเด็นทางสังคมเล็กๆ เหล่านี้อาจดูไม่น่าตื่นเต้นเท่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระดับชาติ แต่ผลกระทบของมันสัมผัสได้จริงและเป็นรูปธรรม
การเปลี่ยนแปลงในระดับย่อยก็มีความสำคัญต่อชีวิตคนธรรมดาเช่นกัน
การมีระบบสวัสดิการที่ดีจะช่วยให้ครอบครัวมีความมั่นคง พ่อแม่มีเวลาดูแลลูก เด็กได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ และผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การพัฒนาทุนมนุษย์และสังคมที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ การให้ความสำคัญกับประเด็นระดับย่อย ยังช่วยลดช่องว่างระหว่างนโยบายกับการปฏิบัติ เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและสอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชน
การปรับปรุงระบบสวัสดิการสังคมอาจไม่ได้สร้างกระแสในสื่อสังคมเท่าการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ผลลัพธ์ของมันสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนได้อย่างแท้จริง
การพัฒนาประเทศจึงต้องดำเนินไปพร้อมกันทั้งระดับมหภาคและจุลภาค เปรียบเสมือนการทำนาที่ต้องอาศัยทั้งน้ำฝนจากฟ้าและการดูแลผืนดินให้อุดมสมบูรณ์
การผลักดันประเด็นใหญ่ทางการเมืองและการพัฒนาสวัสดิการสังคมขั้นพื้นฐานต้องเดินไปด้วยกัน จึงจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนให้กับสังคมไทยได้
และเรื่องสำคัญ มันยากเหลือเกินที่จะบอกว่าประเด็นใดสำคัญกว่ากัน และประชาชนจำเป็นต้องเลือกหรือไม่ในการต่อสู้ หรือต้องลดเพดานบางเรื่องเพื่อให้สามารถผลักดันได้
ผมเห็นว่าไม่จำเป็นต้องแยกการเปลี่ยนแปลงระดับใหญ่ และระดับย่อยควรเป็นเรื่องเดียวกัน เสรีภาพในรัฐธรรมนูญ กับเสรีภาพในการลางานเพื่อบอกลาคนในครอบครัวก็เป็นเรื่องเดียวกัน
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมต้องใช้ทรัพยากรทางสังคมเพื่อผลักดัน แต่เราไม่จำเป็นต้องเลือก
เพราะการผลักดันทุกประเด็นพร้อมกัน ไม่ใช่การเปลืองทรัพยากร แต่เป็นการเสริมแรงซึ่งกันและกัน
การให้ความสำคัญกับประเด็นทางสังคมเล็กๆ จึงไม่ใช่เรื่องรอง
แต่เป็นรากฐานสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในทุกมิติ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022