ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 พฤศจิกายน - 5 ธันวาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
เรื่องราวของพ่อมดแห่งออซเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากว่าร้อยปีแล้วนับแต่ต้นศตวรรษที่ 20
The Wonderful Wizard of Oz เป็นหนังสือเด็กซึ่งเขียนโดย L. Frank Baum เมื่อ ค.ศ.1900 และได้รับการดัดแปลงเป็นละครมิวสิเคิลที่บรอดเวย์เมื่อ ค.ศ.1902 และเป็นภาพยนตร์ซึ่งนำแสดงโดยจูดี้ การ์แลนด์ ซึ่งกลายเป็นหนังคลาสสิคที่ใครๆ ก็จดจำได้ โดยเฉพาะเพลงแสนไพเราะ Over the Rainbow
เรื่องราวของหนูน้อยโดโรธีจากแคนซัสที่โดนพายุหมุนพัดพาไปตกลงในดินแดนของพ่อมดแห่งออซ ยังได้รับการถ่ายทอดในสื่อต่างๆ อีกหลายเวอร์ชั่นตลอดระยะเวลากว่าศตวรรษที่ผ่านมา
จนมาถึงกลางทศวรรษ 1990 นักเขียนชื่อ เกรกอรี่ แม็กไกวร์ นำเอาเรื่องราวการผจญภัยของโดโรธีในเมืองมรกตมาขยายต่อทั้งในช่วงความเป็นมาก่อนหน้าและในช่วงที่โดโรธีเดินทางมาถึงดินแดนของพ่อมดออซ ในชื่อเรื่องว่า Wicked : The Life and Time of the Wicked Witch of the West
ซึ่งเป็นที่มาของมิวสิเคิลบรอดเวย์ชื่อ Wicked
Wicked เปิดแสดงตั้งแต่ ค.ศ.2003 และกลายเป็นละครมิวสิเคิลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในระดับต้นๆ ใกล้เคียงกับ The Lion King, Phantom of the Opera, Chicago และ Mama Mia!
จากละครเวทีมิวสิเคิลความยาว 2:45 ช.ม. สู่จอภาพยนตร์ภายใต้การกำกับการแสดงของจอน เอ็ม. ชู (Crazy Rich Asians) หนังขยายออกเป็นสองภาค แต่ละภาคยาวใกล้เคียงกับละครเวที
ปีนี้เราได้ดูภาคหนึ่งเพียงครึ่งเรื่อง และต้องรอถึงปลายปีหน้าจึงจะได้ดูภาคจบ
แต่ก็เป็นหนังอลังการงานสร้างตระการตาน่าตื่นใจอย่างยิ่ง พร้อมด้วยเพลงเด่นๆ จากละครที่ตีความได้อย่างถึงใจและไพเราะยิ่ง
Wicked เป็นเรื่องราวที่แตกแขนงออกมาจากการผจญภัยของโดโรธีในเมืองมรกต
ณ จุดที่ชาวเมืองมันช์กินกำลังดีอกดีใจกับความตายของแม่มดชั่วร้ายแห่งทิศตะวันตก พร้อมด้วยการมาถึงของแม่มดแสนดีแห่งทิศเหนือ
กลินดา (อาริอานา กรานเด) ในรูปลักษณ์นางฟ้าสีชมพูแสนสวยของเทพนิยาย เคลื่อนคล้อยลอยตัวมาในฟองอากาศโปร่งแสง เพื่อแจ้งข่าวดีที่น่าปลื้มใจแก่ชาวเมืองมันช์กินท่ามกลางการไชโยโห่ร้องด้วยเสียงเพลง No One Mourns the Wicked
เมื่อมีคนถามว่าแม่มดชั่วร้ายนั้นชั่วร้ายมาตั้งแต่เกิดเลยหรือ และผู้คนได้ข่าวว่ากลินดาเคยรู้จักกับแม่มดตนนั้นสมัยเรียนหนังสือด้วยกันมา
เรื่องราวก็ย้อนกลับไปสู่ต้นกำเนิดของแม่มด “แอลฟาบา” ซึ่งเกิดมาตัวเขียวปี๋ไปทั้งตัว ผู้เป็นพ่อผิดหวังมากและไล่ออกไปให้พ้นหน้าในทันที
ณ ขณะนั้นสัตว์ยังพูดได้ และอยู่ร่วมในสังคมมนุษย์เยี่ยงเพื่อนร่วมโลก
แอลฟาบา (ชื่อนี้มีเบื้องหลังคือได้มาจากอักษรย่อของแอล. แฟรงก์ โบม ผู้เขียนนิยายดั้งเดิม) ทารกตัวเขียวถูกเลี้ยงดูอุ้มชูในอ้อมอกของแม่หมีซึ่งเป็นแม่นมในครอบครัวอันอัครฐานของเธอ
เด็กตัวเขียวถูกรังเกียจเหยียดหยามและกีดกันออกนอกสังคม เพียงเมื่อน้องสาวเนสซาโรส (มาริสสา โบด) ซึ่งเกิดมาขาพิการและต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลา ถึงวัยศึกษาเล่าเรียน พ่อจึงส่งตัวไปเข้าเรียนที่วิทยาลัยเวทมนตร์ชิซ ประมาณเดียวกับฮ็อกวอร์ตในแฮร์รี่ พอตเตอร์ เห็นจะได้
ณ ที่นั้นแอลฟาบาได้พบกับผู้คนที่รังเกียจเดียดฉันท์และมองเธอเป็นตัวประหลาด โดยเฉพาะสาวน้อยแสนสวยนามกร “กาลินดา” ในชุดชมพูแสนหวานแสนน่ารัก
แทบจะในทันที แอลฟาบาได้รับการปกป้องจากมาดามมอริเบิล (มิเชลล์ โหยว) อาจารย์ผู้สอนเรื่องเวทมนตร์คาถา
เรื่องราวในหนังภาคแรกนี้เล่าถึงมิตรภาพระหว่างแอลฟาบากับกาลินดา (ซึ่งภายหลังจะเปลี่ยนชื่อเป็นกลินดา) ความรักที่ไม่สมหวังกับเจ้าชายหนุ่มรูปงาม ฟิเยโร (โจนาธาน เบย์ลี่) การค้นพบความสามารถในด้านเวทมนตร์ของแอลฟาบา และการผงาดขึ้นสู่การถูกประณามหยามเหยียดว่าเป็นแม่มดชั่วร้าย
โดยมีแก่นเรื่องวางอยู่บนความอยุติธรรมของสังคม การต่อสู้เพื่อความถูกต้อง และการเรียกร้องสิทธิให้แก่สัตว์โลกที่ถูกลิดรอนสิทธิอันชอบธรรม
หนังเน้นให้เห็นความจริงที่ว่าเรื่องราวทุกเรื่องย่อมมีมุมมองจากสองด้านเสมอ และผู้มีอำนาจจะทำทุกวิถีทางที่จะยึดครองอำนาจเอาไว้ ไม่ว่าจะด้วยการบิดเบือนความจริง หรือบดขยี้ผู้ตกเป็นเบี้ยล่าง ในโลกที่ชนกลุ่มน้อยถูกตามล่า ตามรังควาน ตามเช็ดตามล้าง กักขัง และปิดปากไม่ให้ส่งเสียงพูดออกมา
เหมือนดังที่แอลฟาบาได้เห็น ดร.ดิลลามอนด์ แพะพูดได้ (ให้เสียงโดยปีเตอร์ ดิงก์เลจ แห่ง Game of Thrones) โดนจับตัวไปต่อหน้าต่อตานักเรียนทั้งชั้น และมีอาจารย์คนใหม่นำลูกสิงโตในกรงขังมาเป็นเครื่องมือการสอนในห้องเรียน
นี่เป็นการเตรียมเรื่องต่อมาซึ่งลูกสิงโตตัวนี้จะโตขึ้นเป็น “สิงโตขี้ขลาด” ที่ร่วมทางไปกับโดโรธีในการแสวงหาสิ่งที่ต้องการในเมืองมรกตต่อไป
นอกจากนั้น ยังมีองค์ประกอบต่างๆ ที่เราจะเชื่อมโยงไปสู่เรื่องราวในดินแดนของพ่อมดออซได้สนิทแนบแน่นต่อไปอีก เช่น flying monkey guards ซึ่งโดนเวทมนตร์จากคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ให้มีปีกงอกขึ้นมา, yellow brick road ซึ่งพ่อมดออซขอความเห็นเรื่องการลงสีจากสาวน้อยทั้งสองคน
แอลฟาบาตั้งความหวังไว้ว่าพ่อมดแห่งออซจะบันดาลให้ความฝันของเธอเป็นจริงขึ้นมา โดยเธอจะไม่ต้องมีสีผิวเขียวอื๋อแบบนั้นอีกแล้ว และในที่สุดเธอก็ได้พิสูจน์ตัวเองจนได้รับคำเชิญให้ไปเยือนมรกตนคร และไปพบพ่อมดผู้วิเศษแห่งออซที่น่าจะสามารถเนรมิตได้ทุกสิ่ง
เธอไปที่นั่นพร้อมกับกลินดาเพื่อนรัก เพียงเพื่อจะได้ล่วงรู้ถึงความลับดำมืดและน่าอับอายของทรราชผู้ครองนคร พร้อมด้วยสมุนและลิ่วล้อ
หนังภาคแรกจบลงที่เพลง Defying Gravity ซึ่งเป็นเพลงสำคัญและเป็นจุดเปลี่ยนเรื่องที่ทำให้แอลฟาบากลายเป็นอาชญากรที่ถูกหมายหัวไปทั่วแผ่นดิน
อาริอานา กรานเด เล่นบทของกลินดาอย่างได้ใจมาก และน่ารักสุดสุด
…จากสาวน้อยในรูปลักษณ์ของบาร์บี้สีชมพูหวานแหวว ซึ่งตื้นเขินด้วยค่านิยมจอมปลอม หลงตัวเองจนน่าหมั่นไส้ ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปสู่บุคคลผู้มีวุฒิภาวะและจิตใจงดงามสมดังรูปลักษณ์ภายนอก…
ที่มาเหนือเมฆ เหนือคาด และได้ใจไปอีกคนคือ โจนาธาน เบย์ลี่ ในบทพรินซ์ชาร์มิ่ง เจ้าชายทรงเสน่ห์ผู้ดูเหมือนจะตื้นเขินจอมปลอมรักสนุกเสเพลและหลงตัวเองเหมือนกัน แต่กลับแสดงให้เห็นน้ำใสใจจริงอีกด้านที่น่ารักน่าชื่นชม
การจัดฉากอันอลังการ การออกแบบท่าเต้นที่หวิดจะเป็นกายกรรมผาดโผน พลังอันเหลือเฟือของนักแสดงนักเต้นนักร้อง และเพลงทุกเพลงไพเราะสื่อความหมายวางจังหวะได้ลงตัวกับเรื่องราวทุกบททุกตอน
สรุปว่าอิ่มตาอิ่มใจมากกับหนังภาคแรก จนอยากลัดเวลาให้ไปถึงปลายปีหน้าเร็วๆ จะได้ดูภาคจบต่อไปเลย… •
WICKED : PART 1
กำกับการแสดง
Jon M. Chu
นำแสดง
Cynthia Erivo
Ariana Grande
Jonathan Bailey
Marissa Bode
Ethan Slater
Michelle Yeoh
Jeff Goldblum
ภาพยนตร์ | นพมาส แววหงส์
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022