ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 พฤศจิกายน - 5 ธันวาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | เรื่องสั้น |
เผยแพร่ |
ตอนที่ผมทราบข่าวมรณกรรมความตาย
เรื่องสั้น | ปรัชวิชญ์ บุญยะวันตัง
1
“มีแต่คนถามผมว่าจะไปงานศพของพิมพ์ใจมั้ย?”
ผมชื่อเอก เอกราช อายุ 18 เรียนชั้น ม.6/3 สายศิลป์-คำนวณ ตอนนี้อยู่เทอมสอง เพื่อนหลายคนทยอยสอบติดมหาวิทยาลัย พิมพ์ก็เป็นหนึ่งในนั้น หากรถทัวร์สายใต้ ไม่พรากเธอจากไปเสียก่อน…
พิมพ์ พิมพ์ใจ อายุ 17 ปี เพราะเรียนก่อนเกณฑ์ เกิดวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2549 ชอบฟังเพลงของลาน่า เดล เรย์ ชอบกินไก่กรอบซอสครีมมะนาว ชอบดูซีรีส์แนวสืบจากศพในเน็ตฟลิกซ์ ชอบไปเล่นบาสเกตบอลที่สวนสาธารณะใกล้โรงเรียนทุกเย็น และขับรถกลับบ้านก่อนค่ำย่านตลาดสด
พ่อแม่ของพิมพ์ทำร้านซิลค์ สกรีน รับทำป้ายทุกประเภท ทำไมผมถึงรู้เรื่องของพิมพ์ละเอียดขนาดนี้ เพราะเราสองคนเคยคบกัน…
พิมพ์ตายในวันเกิดของตัวเอง วันที่ทุกคนหยุดเรียนในวันพ่อ ตายเพราะคนขับรถทัวร์อดนอนและหลับใน ส่วนผมนอนเต็มอิ่มจนตื่นสาย เพราะเมื่อคืนดูบอลดึก และบอลคู่ที่แทงไว้ก็ตายเรียบ
เรื่องการพนันก็เป็นอีกสาเหตุที่เลิกกัน ไว้ผมค่อยเล่าให้ฟัง…
พิมพ์เดินทางด้วยรถทัวร์ ไปสัมภาษณ์มหาวิทยาลัยศิลปะในเมืองหลวง พิมพ์อยากเรียนพวกภาพพิมพ์ เพราะที่บ้านเปิดร้านทำป้ายและซิลค์ สกรีน
ตอนคบกันใหม่ๆ พิมพ์เคยขอให้ผมปั๊มมือบนถาดสีแดง แล้วนำไปทำบล็อกเสื้อ เสื้อตัวนั้นสีขาว และมีมือของเราสองคนประทับไว้ เป็นเสื้อคู่ที่หลายคนอิจฉา เพราะมีสองตัวบนโลก
ยิ่งเวลาที่เหงื่อออกเพราะพิมพ์ชอบใส่ออกกำลังกาย สีแดงชุ่มโชกนั้นดั่งสีชาด และตำแหน่งมือของเราก็อยู่ตรงหน้าอกพอดิบพอดี
พอเลิกกัน เสื้อตัวนั้นผมไม่หยิบมาใส่อีกเลย ส่วนพิมพ์ ไม่รู้เสื้อตัวนั้นกลายเป็นผ้าเช็ดตีนหรือยัง
พิมพ์ไม่ได้ตายคนเดียว ป้าใจ แม่ของพิมพ์ ผู้ตั้งชื่อลูกว่า ‘พิมพ์ใจ’ ก็ตายตามไปด้วย
ผมได้ยินพิมพ์คุยกับโอ๋ เพื่อนสนิทที่สุดที่นั่งข้างกัน เธอเล่าว่าจะชวนแม่เข้าเมืองหลวงด้วย โอ๋แนะนำว่าให้เดินทางด้วยรถไฟ แต่พิมพ์บอกว่ารถทัวร์ตั๋วถูกกว่า และจองตั๋วล่วงหน้าไว้แล้วเรียบร้อย
“เราอยากให้แม่เห็นมหา’ลัย เห็นอนาคตของเราสี่ปีข้างหน้า เราโคตรตื่นเต้นเลยว่ะโอ๋”
นั่นอาจเป็นบทสนทนาสุดท้ายของเพื่อนสนิท ส่วนผมแค่ไปเสือกและได้ยินมาเพราะนั่งโต๊ะใกล้
ส่วนอนาคตของผมน่ะเหรอ? คิดไว้ว่าจะเรียนมหาวิทยาลัยเปิดย่านทุ่งบางกะปิ ริมคลองแสนแสบ ผมไปสมัครด้วยตนเองได้ แม่ไม่ต้องไปให้ลำบาก และคงไม่รับปากใคร ว่าจะเรียนจบตามระบบ 4 ปี
ช่างเรื่องของผมเถอะ ผมอยากเล่าเรื่องของพิมพ์ต่อ…
ตอนที่ผมทราบข่าวมรณกรรมความตาย ทราบว่าพิมพ์และแม่กลายเป็นผู้วายชนม์ ผมนอนอยู่ในหอพัก วันนั้นวันพ่อ โรงเรียนหยุด โอ๋โทร.มาตอนเที่ยง บอกผมให้เปิดทีวี…
ผมหัวเราะและด่าไป ตายังปรือ ความง่วงงุนจู่โจมเปลือกตาทั้งสอง ผมตวาดไปว่านี่มันยุคไหนกันแล้ว พูดให้เปิดทีวียังกะในละคร มีอะไรทำไมไม่แจ้งทางไลน์กลุ่ม หรือเฟซบุ๊กก็ได้
เสียงถอนหายใจไล่หลังมาจากปลายสาย โอ๋บอกหมายเลขช่อง แล้วกดวาง…
“นี่คือสภาพรถทัวร์สองชั้นที่ชนต้นไม้นะคะ พังยับเยินทั้งคัน ตอนนี้ยังไม่พบผู้รอดชีวิตค่ะ”
ภาพตัดเข้าห้องสตูดิโอ ผู้ประกาศข่าวหญิงสีหน้านิ่งเรียบในชุดสูทสีชมพูกุหลาบแคระ
“ขอแสดงความเสียใจและไว้อาลัยแก่ผู้สูญเสียด้วยนะคะ” สตูดิโอเงียบจนได้ยินเสียงกลืนน้ำลาย
“ข่าวต่อไปเป็นข่าวเสี่ยแป้ง นาโหนดค่ะ รายงานความคืบหน้าจากเทือกเขาบรรทัด…”
ผมปล่อยให้ผู้ประกาศข่าวพล่ามไป พวกนั้นมีหน้าที่แค่รายงานข่าวตามบทที่เขียนไว้ หากต้องทุกข์เศร้ากับทุกข่าวความตายที่พวกเขาต้องประกาศสู่สาธารณะ ผมว่าพวกผู้สื่อข่าวคงเป็นบ้าเข้าสักวัน
ผมลุกออกไปสูบบุหรี่ตรงระเบียง ผมชอบบุหรี่มวนมากกว่าบุหรี่ไฟฟ้า ส่วนกัญชาก็สูบบ้าง หากคืนไหนที่แทงบอลแล้วได้เงิน เรื่องยาเสพติดก็เป็นอีกเรื่อง ที่ทำให้พิมพ์เลิกกับผม
สูบบุหรี่หมดมวน ดีดก้นกรองลงเบื้องล่าง เมืองระยำที่ไม่น่าจดจำ วันนี้ฟ้าครึ้ม เดี๋ยวฝนห่าเหวคงตกลงมาอีก
ผมนั่งเหม่อมองเมฆบนเก้าอี้สนาม ก่อนจะเปิดไลน์กลุ่มห้องเรียน มีแต่ข้อความไว้อาลัย ทั้งที่บางคนเคยรุมตบพิมพ์ใจตอนมัธยมต้น ผมจำได้ บางคนเคยเอารองเท้าพิมพ์ใจไปซ่อน บ้างก็เคยเอาลิปสติกสีแดงแปร้ดเขียนโต๊ะเป็นคำว่า ‘ลูกอีดอก’
บางคนก็เคยให้พิมพ์ทำงานกลุ่มคนเดียว พวกคนที่ส่งข้อความพร้อมสติ๊กเกอร์หมีร้องไห้ ส่วนใหญ่แม่งเป็นเพื่อนไม่จริงทั้งนั้น และผมไม่เห็นสักข้อความของโอ๋ เพื่อนที่พิมพ์สนิทที่สุด ส่วนผมไม่ได้พิมพ์อะไรออกไป ในฐานะคนรักเก่า
ผมรู้เพียงแค่ว่า รักแรกและรักเดียว ตายจากผมไปแล้ว…
2
ผมคบกับพิมพ์ตอนมัธยมหนึ่ง เทอมสอง เลิกกันตอนมัธยมหก เทอมหนึ่ง หรือจะเรียกง่ายๆ ว่าเพิ่งเลิกกัน รอยแผลใจยังไม่ได้รับการปะชุน สาเหตุที่เลิกกันก็ดังที่เล่ามาแล้ว สรุปง่ายๆ คือผมไม่ดูแลพิมพ์ ไม่ใส่ใจ ติดบุหรี่ กัญชามีบ้าง เบียร์กระป๋องรสห่วยนั่นก็ดื่มบ่อย และติดพนันบอลงอมแงม แต่ผมสาบานกับคุณนักอ่านได้ ผมไม่เคยตบตีพิมพ์ ไม่เคยทำร้ายทางวาจา เพียงแต่พิมพ์มองเห็นอนาคตข้างหน้า
และที่ตรงนั้น…ไม่มีผม
ผมล้วงหารูปโพลารอยด์ที่เคยถ่ายกับพิมพ์ ผมใส่มันไว้ในซองจดหมายสีขาว ซองจำพวกที่เราจะใส่เงินเวลาไปงานศพใครสักคน ภาพนั้นเป็นรูปถ่ายที่เราสองคนเซลฟี่ ใส่เสื้อคู่ที่เราทำขึ้นเอง สกรีนที่บ้านของพิมพ์ใจ ขณะมองภาพนั้นก็มีถ้อยคำไว้อาลัยมากมายจะเขียนออกไป แต่เมื่อผมเป็นแค่คนรักเก่า และไม่แน่ใจว่าพิมพ์คุยกับใครอยู่หรือเปล่า ผมเลยโพสภาพนั้น กับถ้อยคำสั้นๆ แค่สี่พยางค์
“ไว้พบกันใหม่”
3
รุ่งเช้าก่อนไปโรงเรียน ผมปิดนาฬิกาปลุก เปิดมือถือ รูปที่โพสต์มีทั้งคอมเมนต์และไลก์เยอะเป็นบ้า มีอีโมจิหน้าร้องไห้อีกถมถืด รวมถึงความคิดเห็นจำพวก ‘RIP’, ‘เพื่อนกันตลอดไป’, เสียใจด้วยนะมึง สู้ๆ, บางคนก็เป็นแค่เพื่อนร่วมไทม์ไลน์ ที่โรงเรียนเดินสวนกันไม่ยักกะทักทาย บางคนก็เคยต่อยหน้าผม ก็เสือกมาเมนต์บอก
“สู้ๆ”
สู้อะไรวะ? สู้กับมึงกูยังแพ้ยับ ฟันหักคาปาก แค่นึกก็ยังเจ็บปากอยู่เลยสัส!
ผมไถมือถือจนสายแดดลุกลามเป็นเส้นสายจนผิวแก้มเขรอะสิวร้อนผ่าว หากนอนต่อต่อมสิวเห่อคงละลายและชั้นไขมันข้างในคงปะทุออกมาเหมือนลาวา ผมจึงลุกไปอาบน้ำ ส่วนผ้าห่มกองไว้ ช่างแม่มัน
ผมเดินเข้าโรงเรียน ทุกคนจับตามองผม ตั้งแต่ยามหน้าประตูที่รู้จักกัน คล้ายว่าผมเป็นผู้ถูกสาปให้เศร้า เพื่อนหลายคนเดินมาตบบ่า บอกว่าสู้ๆ บางคนที่เป็นปัญญาชนบ้าง ก็บอกผมว่ามีอะไรเล่าให้ฟังได้เสมอนะ เราเพื่อนกัน แต่ก็ไม่วายจบท้ายบทสนทนาด้วยคำว่า
“สู้ๆ” หรือไม่ก็ “ยินดีรับฟัง”
ถุย! รับฟังห่าเหวอะไรกัน ตอนที่โดนต่อย ครูแนะแนวบอกว่าผมมีปัญหาเรื่องการอยู่ร่วมกันในสังคม ผมเลยแม่งอยากไปเรียนเอกสังคมวิทยา จะได้รู้เสียทีว่าการขัดเกลาทางสังคมที่ครูแนะแนวพูดติดปากนั่นคืออะไร ถ้าไม่คิดจะรับฟังแต่แรก จะบอกว่ายินดีรับฟังทำไมวะ?
ราวกับวันนี้ทุกคนเป็นหุ่นยนต์ พูดแต่ชุดคำเศร้าสำเร็จรูป ถ้าเงียบปากไว้ ผมคงจะสบายใจกว่านี้…
ผมยืนเข้าแถวข้างโอ๋ เพราะโรงเรียนจัดเข้าแถวแบบสองแถว ชายและหญิง จริงๆ ผมยืนเข้าแถวข้างพิมพ์ใจ แต่เธอตายเสียก่อน โอ๋จึงต้องร่นมายืนข้าง แววตาอ่อนแรงและล้าโรย โอ๋สวมปลอกแขนสีดำ และไม่ได้พูดคำปลอบใจอะไรผม ไม่ตบบ่าบอกสู้ๆ เหมือนที่คนอื่นทำ เพียงแต่ยื่นปลอกแขนสีดำอีกอันให้ ผมติดไว้ที่ท่อนแขนซ้าย ส่วนเสื้อตัวที่ใส่ไว้ด้านในชุดนักเรียน เป็นเสื้อคู่ของเรา
เสื้อตัวที่มีมือของผมและพิมพ์ใจพิมพ์ไว้บนนั้น และเป็นเสื้อที่มีแค่สองตัวในโลก แม้อีกมือจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่มือของเราทั้งคู่บนเสื้อยืดจะพิมพ์ไว้ในใจผม ตำแหน่งมือของพิมพ์ใจจะอยู่ตรงอกด้านซ้าย พอดีกับตำแหน่งของหัวใจผม ที่กำลังเต้นอยู่และคล้ายว่าเชื่องช้าลง ช้าลง ทุกขณะที่เข็มเวลาหมุนเคลื่อน
หลังเสร็จพิธีการหน้าเสาธง ผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าวให้ทุกคนยืนไว้อาลัยหนึ่งนาที นั่นเป็นหนึ่งนาทีที่ยาวนานที่สุดในชีวิตผม
โอ๋กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ร้องไห้สะอื้นเพราะคลื่นความเศร้าแผ่คลุมรอบตัว ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าให้
มีแต่คนรู้จักพิมพ์ใจเท่านั้นที่ยืนสำรวม ผมได้ยินเสียงคุยกันว่าคาบแรกเรียนวิชาอะไร หรือเที่ยงนี้กินอะไรกันดี รวมถึงโทนเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์
ครูบางคนก็ยืนแคะเล็บ จัดแต่งทรงผมด้วยกระจกในจอมือถือ บางคนก็ยืนหาวเท้าสะเอว
คงเป็นเพราะโรงเรียนกว้างเกินไป และโลกมีระยะห่างกับเราเสมอ บางความตายเราจึงเฉยเมย บางความวายชนม์นั้นสั่นสะเทือนดวงใจเราจนเจ็บร้าว
นึกไปถึงตอนมัธยมต้น ผมยังไม่รู้จักความตายดีนัก เวลามีบุพการีใครตาย โรงเรียนจะชอบให้ยืนไว้อาลัยกลางแดดเปรี้ยง จำได้ดีวันนั้นผมปวดขี้มาก ขณะที่ทุกคนสำรวมส่งใจไว้อาลัย ผมก็เบ่งตดออกมาป้าดใหญ่…
ผมถอนหายใจโล่งอก แต่เพื่อนที่ไว้อาลัยบางคนก็หัวเราะทั้งน้ำตา และนั่นเป็นการเข้าห้องปกครองครั้งแรกของผม ข้อหาตดแตกขณะยืนไว้อาลัย
4
ผมวางดอกดาหลาสีชมพูไว้บนโต๊ะ บนโต๊ะมีแต่กุหลาบแดง มีแค่ผมคนเดียวที่รู้ว่าพิมพ์ใจชอบกินข้าวยำดอกดาหลา
พิมพ์เคยเล่าว่าสมัยเด็ก บ้านย่าจะปลูกดาหลาไว้เป็นกอใหญ่ กินกับข้าวยำจะอร่อยมากๆ และผมเคยไปตลาดดอกไม้ ซื้อดาหลาสีชมพู ก่อนจะมุ่งสู่ร้านขายข้าวยำ ให้แม่ค้าทำเมนูข้าวยำดอกดาหลาให้ จากนั้นผมก็ซื้อฝากพิมพ์ สัปดาห์ละครั้ง บ่ายวันอาทิตย์ ที่ผมจะแวะไปหาเธอที่บ้าน
เพื่อนร่วมห้องมองด้วยสายตาแปลกใจ ที่ดอกไม้ผมต่างออกไป…
“ไอ้เอก เย็นนี้มึงจะไปงานศพพิมพ์ใจป่ะ?” เชน เพื่อนที่นั่งใกล้ผมโพล่งขึ้น
“เพิ่งเลิกกันเมื่อเทอมก่อน ไม่น่าเลยว่ะ สู้ๆ เว้ยสหายเอก” ไมค์ ตัวปากหมาประจำสายชั้นแผดขึ้น
ผมเดินออกมาจากตรงนั้น ไปหลบที่หลุมหลบภัย สถานที่ที่ผมรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ในโรงเรียน
ผมโดดเรียนแปดคาบรวด นั่งพิงชั้นหนังสือในห้องสมุด ในใบเช็กชื่อซึ่งคงมีปากกาสีแดงเขียนชื่อ “นายเอกราช เลขที่ 29”
เขียนลงทุกช่องที่ตีตารางคาบสอนแล้ว แต่ไม่รู้ใครเขียนแทน เพราะพิมพ์ใจ หัวหน้าห้องเสียชีวิตแล้ว และรองหัวหน้าที่ได้รับการแต่งตั้งแบบไม่เป็นทางการ เพราะตอนนั้นเราคบกัน รองหัวหน้าจำเป็นเช่นผมก็โดดเรียนมาหลบที่ห้องสมุด ราวกับดาราดังที่เพิ่งเสียคนรักแล้วมีปาปารัซซี่ติดตาม
ผมเคยเล่าความฝันที่อยากเป็นกวี เล่าให้พิมพ์ใจฟังคนเดียว ตอนนี้คุณนักอ่านคงรู้เป็นคนถัดไป งั้นผมจะเล่าต่อนะ
ผมชอบเขียนแคนโต้ หรือบทกวีสามบรรทัด ผมเขียนได้แค่นั้น และผมมือบอน ชอบเขียนลงในหนังสือห้องสมุด
ผมมักจะเขียนไว้ในหน้า 29 ของหนังสือทุกเล่ม เพราะเลขนั้นเป็นเลขที่ของผม อีกทั้งเป็นวันของเราด้วย คิดแบบผสมกัน ผมเกิดวันที่ 24 ธันวาคม บวกกับวันเกิดของพิมพ์ในเดือนเดียวกันคือวันที่ 5 ก็จะเท่ากับ 29
ทุกหน้าที่ 29 จะมีแคนโต้ที่ผมเขียนไว้
ผมสะดุดตากับหนังสือเล่มหนึ่ง หน้าปกเป็นรูปไพ่ มีทั้งพระราชาและทหาร ชื่อเล่มว่า ‘ทหารของพระราชา’ โดยผู้เขียน เทพ บุญตานนท์ คงจะเป็นหนังสือใหม่ที่เพิ่งมาถึง
ผมเปิดฝาปากกาน้ำเงิน จะเจิมแคนโต้สักบท จำได้ว่าเคยเห็นพิมพ์ใจยืมอ่านก่อนขึ้นไปสัมภาษณ์ เธอมักจะชอบอ่านหนังสือแนวซีเรียสเสมอ
ผมเปิดไปหน้า 29 มีแคนโต้สองบทเขียนไว้ด้วยปากกาน้ำเงิน…
“แม้สุดทางฝัน
แต่ฉันก็เข้าใจ
เราเคยเดินด้วยกัน
ดาหลาสีชมพู
กลีบดอกบอบบาง
ครั้งหนึ่งเราเคยรักกัน”
เสียงตามสายบอกจุดรวมพลขึ้นรถไปงานศพ ผมขโมยหนังสือเล่มนั้นใส่กระเป๋าสะพาย ตอนนี้บรรณารักษ์คงนั่งอยู่บนรถบัส •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022