นายกฯ ทักษิณ ยังต้องคู่กับพรรคประชาชน

มุกดา สุวรรณชาติ

นายกฯ ทักษิณ
ยังต้องคู่กับพรรคประชาชน

1 ปีที่ผ่านมาการเมืองเปลี่ยนเร็วมาก เริ่มจากอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร กลับเข้ามาในประเทศไทยและมีการตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว มีการเลือก ส.ว.ชุดใหม่กลายเป็น ส.ว.สีน้ำเงินส่วนใหญ่ เกมการเมืองแรง ถึงยุบพรรคก้าวไกล ปลดนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีมาเป็นแพทองธาร ชินวัตร นับช่วงเวลาก็ได้เพียงปีเศษๆ เท่านั้น

ดังนั้น แม้การเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไปจะยังมีเวลาอีก 2 ปีกว่า แต่พรรคการเมืองต่างๆ ก็ได้เดินเกมการเมืองเพื่อเตรียมการกันล่วงหน้าแล้ว

มองการเมืองผ่านระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2560 โอกาสพรรคที่จะได้ ส.ส.จำนวนมาก ยังเป็นของ 3 พรรคการเมืองใหญ่คือเพื่อไทยและภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ส่วนฝ่ายค้านก็คือพรรคประชาชน

แต่ถ้ามองโอกาสการได้เป็นรัฐบาล อันดับแรกยังเป็นของเพื่อไทย ภูมิใจไทยยังรองลงมา

ส่วนโอกาสของพรรคประชาชนแม้ได้ ส.ส.มากที่สุด แต่ถ้าได้ไม่ถึงครึ่งก็ไม่น่ามีโอกาสได้เป็นรัฐบาล

แต่ไม่ว่าโอกาสจะมีมากน้อยแค่ไหน แต่ละพรรคก็ช่วงชิงโอกาสในการเดินเกมการเมืองกันอย่างดุเดือดมาหลายยกแล้ว

ถึงวันนี้ทิศทางการเมืองดูแล้วยังไม่เปลี่ยน ข้อตกลงที่นายกฯ ทักษิณ เพื่อไทยจะต้องเอาชนะพรรคประชาชน เป็นเรื่องไม่ง่าย เพราะไม่ได้สู้กันแค่สองพรรค แต่ละพรรคต่างก็วางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีเพื่อตัวเอง

 

ยุทธศาสตร์
ของพรรคกลางพรรคเล็ก
ยังเหมือนเดิม

ยืนยันว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าความสำคัญของพรรคเล็กยังคงมีอยู่และเป็นตัวแปรทางการเมืองสำคัญ แม้บทบาทของพรรคเล็กหายไป บางพรรคจะถูกกลืนกินไป

แต่พรรคที่ยังสามารถดำรงอยู่ได้ก็ประคองตัวรอคอยไปร่วมรัฐบาลโดยคาดการณ์กันว่าจะไม่มีพรรคที่ได้ ส.ส.มากถึง 200 คน ทำให้ใครจะตั้งรัฐบาลต้องตั้งรัฐบาลผสมหลายพรรค

ในวงการเมืองคาดกันว่า เพื่อไทยและพรรคประชาชนจะยังแข่งกันได้จำนวน ส.ส.พรรคละ 150-180 คน

แต่แกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นเพื่อไทย ส่วนภูมิใจไทยจะได้ ส.ส.เพิ่มขึ้นเป็น 90-100 คน

การประคองพรรคการเมืองเล็กให้อยู่ต่อ เป้าหมายของแกนนำพรรคเล็กๆ เหล่านั้น คือขอให้มีจำนวน ส.ส.ไม่น้อยกว่าเดิม เพื่อต่อรองร่วมรัฐบาล

แต่โอกาสที่เป็นจริงคือประชาธิปัตย์ จะมี ส.ส.น้อยกว่าเดิม พรรคพลังประชารัฐน่าจะหายไป และ ส.ส.กระจายไปรวมกับพรรคอื่น ส่วนรวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา สามารถมี ส.ส.เท่าเดิมก็เก่งแล้ว

 

ยุทธศาสตร์และเป้าหมาย
ของเพื่อไทย

ยุทธศาสตร์ของเพื่อไทยคือจัดตั้งรัฐบาลผสมหลายพรรค ให้พรรคประชาชนเป็นฝ่ายค้านขนาดใหญ่

ในการเลือกตั้งครั้งหน้าเพื่อไทยรู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะตัวชี้ขาดของคะแนนเสียงคือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่ในยุคที่เศรษฐกิจมีปัญหาทั้งโลก การแก้ปัญหาในระดับให้ผ่อนคลายก็ยังยาก ดังนั้น ถ้าจะสืบอำนาจต่อก็ต้องพึ่งพายุทธวิธี เพื่อให้ได้จำนวน ส.ส.ตามเป้าหมาย จึงจะเป็นแกนนำได้

เป้าหมายสูงสุดคือได้ ส.ส. 200 ถ้าทำได้จะกลายเป็นพรรคที่มี ส.ส.มากที่สุดซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย

เป้าหมายขั้นที่ 2 แม้ไม่ถึง 200 แต่ให้เป็นพรรคที่ได้ ส.ส.มากที่สุดก็ยังไม่ง่ายอีก เพราะคู่แข่งคือพรรคประชาชนซึ่งแม้ไม่มีผลงานเพราะไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ก็ไม่มีจุดอ่อนข้อเสียในการบริหาร

หลายคนคาดการณ์กันว่าทั้งสองพรรคอาจจะแพ้ชนะกันเล็กน้อยอีกครั้งหนึ่ง

เป้าหมายขั้นที่ 3 คือต้องได้ ส.ส.มากที่สุดในกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลเดิมเพื่อชิงเป็นแกนนำ ก็คือสภาพที่คล้ายปัจจุบันนี่แหละ

จะเห็นว่านี่เป็นยุทธศาสตร์หลักไม่ว่าจะบรรลุเป้าหมายขั้นใดก็ตามหลังเลือกตั้งแล้วพรรคที่มี ส.ส.มาก ก็จะสามารถดึงพรรคการเมืองขนาดเล็กมาร่วมได้ ซึ่งจะทำให้มี ส.ส.รวมเกิน 200 มีอำนาจต่อรองมากขึ้น สามารถควบคุมจนได้เสียงเกินครึ่งสภา และดูแลการจัดตั้งรัฐบาลได้สะดวก เพราะครั้งนี้ไม่มีเสียง ส.ว.

 

เพื่อไทย คะแนนเสียงหายไปหลายล้าน

สถานการณ์การเมืองของพรรคเพื่อไทยปัจจุบันไม่ได้มีกระแสพรรคที่ดีเยี่ยมเหมือนก่อนการรัฐประหาร 2557

ถ้าเริ่มนับจากสถานการณ์การเมืองของเพื่อไทยตั้งแต่มีการเลือกตั้ง 2566 ดูคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ซึ่งเป็นคะแนนนิยมพรรคจะพบว่า

พรรคเพื่อไทยได้คะแนน 10,962,522 คะแนน

พรรคก้าวไกลได้คะแนน 14,438,851 คะแนน

หลังจากตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว เมื่อดูจากผลสำรวจของ ‘นิด้าโพล’ ความคิดเห็นของประชาชนต่อการจัดตั้งรัฐบาล ‘ข้ามขั้ว’ ของพรรคเพื่อไทย พบว่า ผู้ที่ไม่เห็นด้วย 64.5% ผู้ที่เห็นด้วย 34.5%

ปัญหาของเพื่อไทยก็คือแฟนขาประจำที่เคยเลือกพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่สมัยเป็นไทยรักไทยจนล่าสุดไม่เห็นด้วยกับการตั้งรัฐบาลสลายขั้วถึง 52% ประเมินอย่างหยาบๆ ต้องไม่น้อยกว่า 5 ล้าน

ส่วนผู้ที่เคยเลือกเพื่อไทยและเปลี่ยนไปเลือกพรรคอื่น ในวันที่ 14 พฤษภาคม ไม่เห็นด้วยกับการตั้งรัฐบาลสลายขั้วมากถึง 64% แต่ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไรเพราะคนกลุ่มนี้หันไปเลือกพรรคอื่น เช่นก้าวไกล ซึ่งมีจำนวนถึง 14 ล้านกว่า และโอกาสที่จะย้อนกลับมาเลือกเพื่อไทยอีกครั้งคงไม่ถึงครึ่ง

อีกกลุ่มหนึ่งก็คือคนที่ไม่เคยเลือกพรรคเพื่อไทยเลยตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงวันที่ 14 พฤษภาคม ก็ไม่เลือก 74% ของกลุ่มนี้ไม่เห็นด้วยกับการตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว อันนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องปกติคือ…และคนพวกนี้ยังไงไม่เลือกพรรคเพื่อไทย

ทำอย่างไรจะดึงความนิยมกลับมา และมาจากกลุ่มไหน?

 

ยุทธวิธีของเพื่อไทย

การตั้งรัฐบาลสลายขั้วแม้คนส่วนใหญ่ประมาณ 21 ล้าน จะไม่เห็นด้วยและมาจากทุกกลุ่ม แต่ก็มีประมาณ 34% ที่เห็นด้วย ซึ่งคิดเป็นจำนวนคนแล้วก็ไม่น่าจะน้อยกว่า 12-13 ล้านคนเพราะยังมีคนจำนวนมากที่คิดว่าจำเป็นต้องมีรัฐบาลเพื่อประเทศจะได้เดินหน้าและช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

คนที่คิดว่าเมื่อจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วแล้วพรรคเพื่อไทยตายแน่ไม่มีคนเลือกในความเป็นจริงแล้วจะไม่เป็นแบบนั้น เพราะความคิดของคนส่วนใหญ่ในการเลือกตั้งไม่ได้ผูกพันอยู่กับการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์

แต่พวกเขาดูผลประโยชน์อย่างอื่นที่พวกเขาจะได้รับ ดังนั้น ผลงานของพรรคเพื่อไทยในปัจจุบันจนถึงวันเลือกตั้งจะเป็นตัวชี้ขาด

เมื่อถึงวันเลือกตั้งถ้าเกิดผลงานไม่ดี โอกาสที่เขาจะกลับมาเลือกพรรคเพื่อไทยจะมีน้อยมาก

อนาคตของเพื่อไทย จึงชี้ขาดที่ผลงานของรัฐบาลแพทองธาร ซึ่งเปรียบเสมือนสินค้าถ้ามีคุณภาพ ก็จะขายได้มากขึ้น วันนี้นายกฯ ทักษิณถูกจำกัดบทบาทให้เป็นเพียงพรีเซ็นเตอร์สินค้าเท่านั้น แต่คงต้องวางแผนขาย และลงเดินตลาดเอง

โครงการที่ทำต้องให้ประชาชนได้ประโยชน์ตรง เช่น ลดหนี้ เพิ่มรายได้ เพิ่มราคาผลผลิต

การปะทะในพื้นที่เลือกตั้ง เพื่อไทยจะต้องพบศึกหนักกับภูมิใจไทยในภาคสนามที่มีหัวคะแนนและการจัดการ ในทุกหมู่บ้าน

ส่วนการปะทะทางอากาศผ่านงานโฆษณาก็ต้องปะทะกับพรรคประชาชน

การช่วงชิง อบจ. กระจายฐานแนวร่วมกับบ้านใหญ่ บ้านรอง จึงกลายเป็นยุทธวิธีที่เพื่อไทยต้องเดินหน้าต่อไป

 

มีพรรคประชาชน
ต้องมีนายกฯ ทักษิณ

จุดอ่อนของเพื่อไทยก็ยังเป็นเรื่องเก่าคือ ต้องระวังอำนาจจากตุลาการภิวัฒน์ และ ส.ว.เพราะเพื่อไทยไปพลาดปล่อยให้การเลือก ส.ว.แบบเลือกกันเองกลายเป็นการเลือกพรรคพวกที่สังกัดสีน้ำเงิน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จำเป็นต้องประนีประนอมกับกลุ่มอำนาจเก่า และกับพรรคร่วม เช่น ภูมิใจไทยและรวมไทยสร้างชาติ แต่ก็มีด้านที่ต้องแย่งชิงกัน

เกมที่จะเดินต่อไปของเพื่อไทยก็คือดึง ส.ส.และอดีต ส.ส.เข้ามาในสังกัดแข่งกับภูมิใจไทย เพื่อตั้งเป้าหมายในการชนะเลือกตั้ง ส.ส.เขตให้ได้มากที่สุด เพราะโอกาสที่จะสร้างกระแสสูงเพื่อให้ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ลดลงมากแล้ว

เกมที่สองคือแข่งกับพรรคประชาชน เพื่อชนะเลือกตั้ง เรื่องนี้เป็นทั้งเกมการเมือง และเป็นข้อตกลงในการกลับมาของนายกฯ ทักษิณ

ส่วนข้อร้องเรียนและอุปสรรคที่ขัดขวางการทำงาน ต้องมีคนช่วยกำจัดออกไป ถ้าเกิดปัญหาจะมาโทษว่า ไม่ทำงานไม่ได้

ตราบเท่าที่พรรคประชาชน มี ส.ส.เกิน 100 นายกฯ ทักษิณก็ยังเป็นแม่ทัพต้านศึก ถ้าเพื่อไทยได้ ส.ส.น้อยกว่าพรรคประชาชน เล็กน้อย ไม่เป็นไร แต่อย่าได้ ส.ส.น้อยกว่าภูมิใจไทย เพราะจะมีการเปลี่ยนแม่ทัพต้านศึก