ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 พฤศจิกายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | On History |
ผู้เขียน | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ |
เผยแพร่ |
Ways of Seeing เป็นชื่อหนังสือประวัติศาสตร์ศิลปะเล่มสุดแสนจะคลาสสิคของ จอห์น เบอร์เกอร์ (John Berger, พ.ศ.2469-2560) จิตรกร นักวิจารณ์ศิลปะ และกวีชาวลอนดอน ที่พิมพ์ขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970’s ก่อนการสิ้นสุดของยุคสงครามเย็น และความแพร่หลายของอินเตอร์เน็ต
เนื้อหาภายในหนังสือเล่มที่ว่านี้ แต่เดิมเป็นบทสารคดีของสถานีโทรทัศน์ BBC มาก่อน โดยจุดมุ่งหมายประการหนึ่งของสารคดีเรื่องนี้ก็คือการตอบโต้กับสารคดีอีกเรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า Civilisation ซึ่งเป็นงานของนักประวัติศาสตร์ศิลปะ พ่วงตำแหน่งนักเขียน ผู้ประกาศข่าวและเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ และหอศิลป์ที่สำคัญหลายแห่งในอังกฤษอย่าง เคนเน็ธ คลาร์ก (Kenneth Clark, พ.ศ.2446-2526) ซึ่งเคยฉายทางสถานี BBC เช่นเดียวกัน เมื่อ พ.ศ.2512 อันขวบปีสุดท้ายก่อนที่โลกจะย่างกรายเข้าสู่ยุค 70’s
บทสารคดีเรื่อง Civilisation (ซึ่งถูกนำมาผลิตเป็นหนังสือเช่นเดียวกับ Ways of Seeing) มีแนวทางอย่างอนุรักษนิยม และมีอิทธิพลอย่างสูงต่อวงการประวัติศาสตร์ศิลปะในสมัยนั้น ได้ไปกระตุกต่อมคิดให้เบอร์เกอร์ออกมาเรียกร้องให้มีการมองงานศิลปะอย่างเปิดกว้างมากกว่าแค่การเป็นวัตถุที่แสดงถึงความรุ่งเรืองอารยธรรม และมีพัฒนาการอยู่ในตัวของเองโดยไม่ต้องคำนึงถึงเงื่อนไขอื่นๆ ในสังคม และประวัติศาสตร์สังคม อย่างที่คลาร์กนำเสนอเอาไว้ในสารคดีของเขา
หากแต่ควรคำนึงว่างานศิลปะไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยวแต่มีเงื่อนไขที่สลับซับซ้อนในการนิยาม หรือสร้างวัตถุให้เป็นตัวศิลปะขึ้นมา
และนั่นคงเป็นที่มาของชื่อสารคดี และหนังสือ “Ways of Seeing” ที่พอจะแปลออกมาเป็นภาษาไทยง่ายๆ ได้ว่า “หลากวิธีในการมอง” หรืออะไรทำนองนั้น เพราะวิธีการมองวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นงานศิลปะหรือไม่ก็ตาม ไม่ได้มีเฉพาะแค่การมองผ่านกระแสคิดแบบวิวัฒนาการ ที่ชิ้นงานศิลปะกลายเป็นแค่หมุดหมาย หรือเครื่องมือสำหรับชี้วัดความเจริญของวัฒนธรรมใดๆ เท่านั้น
แนวคิดที่ว่าของเบอร์เกอร์ ดูจะเป็นผลิตผลของยุคสมัยอย่างแท้จริง เพราะในช่วงทศวรรษ 70’s ยังมีงานสำคัญๆ ในแวดวงประวัติศาสตร์ศิลปะ ซึ่งหมายรวมถึงสาขาวิชาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานทัศนศิลป์อีกหลายชิ้นที่มีการวิพากษ์ถึงแนวทางในการมองชิ้นงานศิลปะ
อย่างเช่น “The End of the History of Art” บทความชิ้นดังของ ฮันส์ เบลติ้ง (Hans Belting, พ.ศ.2478-2566) นักประวัติศาสตร์ศิลปะชาวเยอรมันที่กล่าวถึงจุดจบของการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ หากยังยึดอยู่กับวิธีการมองชิ้นงานแบบเดิมๆ การพยายามสลายพรมแดนระหว่างสาขาวิชา การนำวิธีการศึกษาในแขนงอื่นโดยเฉพาะประวัติศาสตร์สังคมมาใช้งาน และการก้าวข้ามการศึกษาเฉพาะงานศิลปะไปให้ความสนใจต่อทุกสิ่งที่ตาเห็น (visual study)
อย่างไรก็ตาม โดยที่ผมยังไม่ได้ทำการสำรวจข้อมูลลงไปให้ลึกลงไปกว่านี้ จึงได้แต่เดาเอาเองว่า ข้อเรียกร้องประการที่ว่าของเบอร์เกอร์ เป็นการนำข้อถกเถียงในวงวิชาการว่าด้วยงานทัศนศิลป์ประเภทต่างๆ ออกสู่พื้นที่สาธารณะเป็นครั้งแรกๆ และก็มีผลตอบรับที่ดีเสียด้วยนะครับ
ประเด็นที่ผมสนใจเมื่อเปิดอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ยังไม่พ้น 5 หน้าเสียด้วยซ้ำ ก็คือการที่เบอร์เกอร์พูดถึงทัศนคติดั้งเดิมของพวกยุโรปที่เชื่อว่าทุกสิ่งที่เห็นอยู่หน้านั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด โดยไม่ได้คำนึงถึงเงื่อนไขต่างที่ประกอบมาให้เราตีความภาพที่เราเห็นเสียด้วยซ้ำ นี่ยิ่งไม่ต้องถึงที่มาที่ไปของภาพ หรือเหตุการณ์ ความเข้าใจที่เราเรียนรู้ภาษาภาพผ่านทางวัฒนธรรมที่เราสังกัดอยู่
โดยสรุปแล้ว นี่เป็นการเชื่อมั่นในหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเป็นที่สุด
อันที่จริงแล้ว ความเชื่อมั่นในทำนองนี้ ก็ยังเห็นได้จากตำนานนิทาน อันเป็นภูมิหลังทางความคิด และความเชื่อต่างๆ ของพวกฝรั่งเองอยู่ด้วย
โดยมีตัวอย่างชัดๆ เรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะเล่าให้ฟังกันในที่นี้ก็คือ นิทานเรื่อง “สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด” ที่วอลต์ ดิสนีย์ นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์การ์ตูนภาพสีเรื่องแรกของโลกตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ.1937 ตรงกับ พ.ศ.2480 โน่นแหนะ
ก็เจ้า “กระจกวิเศษ” ของแม่มดใจร้ายในเรื่องที่เป็นต้นเหตุให้แม่มดขัดเคืองเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ลูกเลี้ยงของตนเองที่ที่กระจกวิเศษผ่าไปบอกว่า เจ้าหญิงหิมะขาวคนนี้เป็นผู้หญิงที่งามเลิศที่สุดในปฐพีน่ะสิ
แต่ก็น่าสนใจนะครับว่า ทำไมแม่มดถึงต้องไปเชื่อที่คำตอบของกระจกด้วยว่า เป็นความจริง?
ถ้าจะให้ผมลองเดาดู ก็คงเพราะ “กระจก” เป็นสิ่งที่สามารถสะท้อนภาพที่เห็นทั้งหมดไว้ในกรอบของตัวกระจกเองได้ กระจกจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของภาพความจริงในหมู่คนที่เชื่อเรื่องหลักฐานเชิงประจักษ์นั่นแหละ
แน่นอนว่า เรื่องราวของเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ที่เรารู้จักกันในปัจจุบันโดยผ่านตัวกลางสำคัญคือ วอลต์ ดิสนีย์ เป็นเพียงนิทานเรื่องสโนว์ไวท์สำนวนหนึ่งที่แพร่หลายกันอยู่ในเขตประเทศเยอรมนีปัจจุบัน แล้วถูกจดบันทึกเอาไว้โดยสองพี่น้องตระกูลกริมม์ (Brothers Grimm อันประกออบไปด้วย Jacob Grimm [พ.ศ.2328-2406] กับ Wilhelm Grimm [พ.ศ.2329-2402]) ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ในชื่อของ “เทพนิยายกริมม์” (Grimm’s Fairy Tales) โดยได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1812/พ.ศ.2355 อันเป็นฉบับที่เป็นรู้จักมากที่สุด และเป็นต้นแบบให้กับบทภาพยนตร์การ์ตูนให้กับวอลต์ ดิสนีย์
(อันที่จริงแล้วภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้ ก็ได้มีการปรับรายละเอียดบางอย่างออกไปจากต้นแบบของสองพี่น้องตระกูลกริมม์เพื่อความสมเหตุสมผลต่อยุคสมัย และความเหมาะสมกับกลุ่มผู้ชมด้วยเช่นกัน)
และก็ยังมีสโนว์ไวท์อีกหลายสำนวนที่ไม่ใช่ฉบับภาษาเยอรมันกระจายอยู่ทั่วดินแดนยุโรปซึ่งนักวิชาการเชิงคติชนจากโลกตะวันตกหลายท่าน ระบุว่า นิทานเรื่องสโนว์ไวท์สำนวนต่างๆ เท่าที่ทั้งหมดนี้ แม้จะมีฉากหลังของท้องเรื่องอยู่ในช่วงยุคกลางของยุโรป (ราวช่วงระหว่าง พ.ศ.950-1950) มีอายุอยู่ไม่ห่างจากช่วงเวลาของสองพี่น้องตระกูลกริมม์นัก
ถึงขนาดที่เคยมีบางท่านเสนอว่า เรื่องสโนว์ไวท์นี้ถูกเขียนขึ้นโดยพี่น้องกริมม์ทั้งคู่เสียด้วยซ้ำไป (ข้อเสนอที่ว่านี้ ปัจจุบันถูกปัดตกด้วยข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจนเลยทีเดียวว่า เป็นข้อเสนอที่เป็นไปไม่ได้)
แต่ควรสังเกตว่า ช่วงเวลาในการกำเนิดของนิทานเรื่องสโนว์ไวท์กับคนแคระทั่งเจ็ดนี้ ใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่เริ่มเกิดกระแสนิยมในการยึดมั่นกับหลักฐานเชิงประจักษ์ อย่างที่เป็นฐานคิดของสารคดีเรื่อง Civilisation (อันเป็นสิ่งที่สารคดีเรื่อง Ways of Seeing คัดง้าง) อยู่มาก
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเรื่องเล่าของสโนว์ไวท์สำนวนต่างๆ มากมายเหล่านั้น “กระจก” อาจถูกแทนที่ด้วยสิ่งของ หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ดังเช่น ถูกแทนที่ด้วย “พระจันทร์” ในสำนวนอิตาลี เป็นต้น
แน่นอนว่า ยังมีสำนวนอื่นที่คนแคระทั้งเจ็ดกลายเป็น อัศวิน ขโมย หรือแม้กระทั่งมังกร สโนว์ไวท์เองก็ไม่ได้ตายด้วยแอปเปิลพิษทุกสำนวน หลายสำนวนสโนว์ไวท์ก็ตายเพราะแหวน ส่วนคนที่ฆ่าก็ไม่จำเป็นต้องเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายที่เป็นแม่มดจำแลงกายมา แต่อาจจะเป็นพี่สาวลูกติดของแม่เลี้ยงก็มีอยู่ด้วย
แต่เฉพาะในกรณีของ “กระจก” นั้น เป็นเครื่องช่วยให้เกิด “ภาพ” หรือ “การมองเห็น” ที่เชื่อว่าคือ “ความจริง” ไม่ต่างอะไรจากความเชื่อมั่นของกลุ่มความคิดที่ เคนเน็ธ คลาร์ก แห่งสารคดี Civilisation สังกัดอยู่
และควรสังเกตด้วยว่า “กระจก” นั้น เป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ ผู้มีวัฒนธรรมในการกำหนดคุณค่าให้กับสิ่งต่างๆ ที่ถูกสะท้อนลงไปในกระจกต่างหาก
ภาพที่เราเห็นอยู่นั้นจึงไม่ใช่ความจริงทั้งหมด หรืออาจจะไม่ใช่ความจริงเลยก็ได้ด้วยซ้ำไป เพราะแม้แต่ภาพที่เราเห็นอยู่นั้นก็ผูกโยงอยู่กับอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจจะเกี่ยวข้องอยู่กับความคิดเรื่องธรรมชาติ หรืออำนาจทางวัฒนธรรมก็ตาม
อำนาจทางวัฒนธรรมย่อมเกี่ยวโยงอยู่กับสถานภาพของกระจก หรือเจ้าของกระจกที่ว่า เพราะเป็นผู้กำหนดว่าสิ่งที่เห็นอยู่ในกระจกหมายถึงอะไร?
ในกรณีของนิทานเรื่องสโนว์ไวท์ เธอเป็นผู้หญิงที่งามเลิศที่สุดในปฐพี แต่ความงามที่ว่าใครเป็นผู้กำหนดมาตรฐาน ถ้าไม่ใช่ตัวกระจกเอง หรือเจ้าของกระจก?
ถ้าพิจารณาในแง่ของการศึกษางานทัศนศิลป์สาขาต่างๆ อะไรล่ะคืองานศิลปะ และอะไรล่ะที่ไม่ใช่งานศิลปะ?
คุณค่าอาจจะไม่ได้อยู่ที่วัสดุในการสร้าง เทคนิควิธี รูปแบบของชิ้นงาน ศิลปิน หรือแม้กระทั่งประวัติของวัตถุ (หรือตัวบุคคล) ประวัติศาสตร์ และเรื่องราวรอบๆ ตัวชิ้นงานเลย แต่ขึ้นอยู่กับกระจก หรือเจ้าของกระจกต่างหาก
ดังนั้น นิยามจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวของชิ้นงาน ไม่ว่ามันจะเป็นภาพวาดของปิกัสโซ่ พระพุทธรูปสุโขทัยชิ้นเอก เก้าอี้ของชิปเปนเดล รถเฟอร์รารี่คันงาม หรือแม้กระทั่งภาพยนตร์เรื่องต่างๆ เพราะนิยามของภาพที่เราเห็นมันถูกกำหนดไว้ด้วยตัวกระจกตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งนั่นก็คงเป็นสิ่งที่เบอร์เกอร์น่าจะบอกกับเราถ้า Ways of Seeing จะพูดถึงเรื่องราวของเจ้าหญิงหิมะขาวนั่นแหละครับ •
On History | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022