ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 พฤศจิกายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น
Trump 2.0 ทำให้โลกหนาวกันทั่ว
ไทยเก่งพอจะตั้งรับได้แค่ไหน?
หลายวงสนทนาที่ผมนั่งคุยด้วยตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนท่วมท้นมีตั้งประเด็นว่า “ทรัมป์เขย่าโลกแน่ ไทยจะปรับตัวอย่างไร?”
ผมเห็นว่ารัฐบาลไทยจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด
หรือจะรอให้ทรัมป์ประกาศนโยบายเป็นชุดๆ หลังเข้ารับตำแหน่งทางการวันที่ 20 มกราคมปีหน้าก็จะช้าไปอย่างมาก
เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ขับเคลื่อนอย่างไม่รีรอ
ไม่ว่าจะต่อสายถึงเซเลนสกีแห่งยูเครน (และเตรียมเชื่อมต่อกับปูตินแห่งรัสเซีย)…เพื่อเริ่มต้นปูทางสำหรับการยุติสงครามยูเครนอย่างเร็วที่สุด
และเดินหน้าแต่งตั้งตำแหน่งที่จะไปทำตามนโยบายหลักๆ ที่เขาหาเสียงเอาไว้อย่างไม่ลดละ
ตำแหน่งผู้แทนการค้าหรือ US Trade Representative (USTR) จะเป็นหัวใจของการผลักดันนโยบายการค้าของเขา
คนนี้จะต้องเป็นผู้ดำเนินการเจรจาอย่างแข็งกร้าวและดุดัน
เพราะทรัมป์หมายหัวประเทศที่มีตัวเลขดุลการค้าได้เปรียบกับสหรัฐเป็นหลัก
แน่นอนว่าจีนเป็นเป้าหมายหลัก และไม่ว่าจะประกาศอย่างเป็นทางการหรือไม่ “สงครามการค้า” ระหว่างสองมหาอำนาจก็จะระเบิดขึ้นในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
และนั่นแปลว่าทรัมป์ก็จะหันมากดดันประเทศอื่นๆ ด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้ากับอเมริกาเป็นจำนวนมาก (ปีที่แล้ว ไทยส่งออกไปสหรัฐกว่า 48,000 ล้านเหรียญ ขณะที่นำเข้าเพียง 19,000 ล้านเหรียญ) จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเราจะถูกเพ่งเล็งประเด็นนี้
เราจะเพียงอ้าง “ความสัมพันธ์อันยาวนาน” ระหว่างเรากับอเมริกาไม่น่าจะทำให้รัฐบาลทรัมป์จัดเราเป็นประเภทอยู่ในยกเว้น
เพราะเอาเข้าจริงๆ ทรัมป์อาจจะไม่ได้รู้จักประเทศไทยมากนักด้วยซ้ำ
หรือจะสนใจไทยเรามากน้อยเพียงใดก็ยังน่าสงสัย
เพราะเขาจะให้ความสำคัญกับชาติใดก็อยู่ที่เขาคิดว่าจะได้ประโยชน์อะไรเป็นหลัก
ทุกอย่างเป็น transaction หรือ “ธุรกรรม”
สิ่งที่ทรัมป์จะทำอีกเรื่องหนึ่งภายใต้นโยบาย Make America Great Again คือการให้บริษัทสหรัฐทั้งหลายที่ไปตั้งโรงงานอยู่ต่างประเทศให้กลับมาที่บ้าน
เพื่อสร้างงานและขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจสหรัฐเพื่องฟูอีกครั้งหนึ่ง
ใครไม่กลับจะถูกทำโทษ ใครยอมทำตามจะได้รางวัลในรูปแบบเครดิตภาษี
ดังนั้น หากรัฐบาลและเอกชนไทยจะผนึกกำลังระดมความคิดทำนโยบาย “เชิงรุก” ก็อาจจะส่งให้บริษัทข้ามชาติระดับสากลของไทยเราวางแผนไปลงทุนในอเมริกา
คุณพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประเทศวอชิงตันบอกว่า
“สมัยผมเป็นทูตอยู่ที่อเมริกา ผมไปร่วมงานเปิดของบ้านปูและไทยซัมมิทที่ไปซื้อกิจการที่อเมริกา ไปตั้งโรงงานที่นั่น…รัฐบาลเราต้องสนับสนุนบริษัทไทยรวมทั้งบริษัทที่รัฐบาลไทยหรือกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ไปลงทุนในอเมริกา…”
แต่ไม่ใช่ลงทุนในรัฐไหนก็ได้ ต้องเป็นลงทุนอย่างมียุทธศาสตร์
หากทางรัฐบาลสหรัฐให้แรงจูงใจเท่ากัน ท่านทูตพิศาลบอกให้เริ่มที่ 7 รัฐ
เริ่มจากเพนซิลเวเนีย เพราะมีเสียง electoral votes 19 เสียง
ตามมาด้วย Michigan ที่มี 15 เสียง
และ Wisconsin, Georgia, North Carolina และอื่นๆ
แต่ไม่ใช่ California หรือรัฐที่ไม่มีความสำคัญในการเลือกตั้งของสหรัฐ
โดยต้องสามารถบอกกับทรัมป์หรือทีมงานของเขาว่าบริษัทไทยมาสร้างงาน
เพราะนั่นคือสิ่งที่ทรัมป์ต้องการจะบอกกับฐานเสียงของเขาว่าชัยชนะในการเลือกตั้งของเขาสามารถทำให้บริษัทต่างประเทศมาลงทุนในรัฐเหล่านี้เพื่อสร้างงานและหนุนเนื่องเศรษฐกิจ
“ถ้าบริษัทไทยไปตั้งโรงงานและสร้างงานในรัฐที่มีผลทางการเมือง ทรัมป์จะตาโตทันที และจะรู้จัก Thailand ทันที” ท่านทูตพิศาลแนะนำ
ผมเสริมว่าใครที่คิดว่าจะใช้ Soft Power ไทยไปขายในยุคสมัยของทรัมป์ต้องไตร่ตรองให้ดี
เพราะทรัมป์เป็นนักการเมืองที่ใช้ Hard Power ในการต่อรองกับทุกประเทศในโลก ไม่ใช่ Soft Power ของการเจรจาอย่างนิ่มนวลหรือการทูตแบบอ้อมค้อม
ท่านอื่นในวงเสวนาเน้นความสำคัญของการที่ฝ่ายไทยเจาะลงไปสร้างความสัมพันธ์และรู้จักมักคุ้นกับทีมงานทั้งในกระทรวงต่างประเทศ, กระทรวงพาณิชย์, ทำเนียบขาว
และที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือ Congressional Staff หรือทีมงานนักวิจัยและผู้ช่วย ส.ส. และ ส.ว. ของรัฐสภาที่เป็นคนทำรายงานและ “ชง” ข้อมูลให้นักการเมืองทั้งฝ่ายรีพับบลิกันและเดโมแครต
การป้อนข้อมูลจากฝ่ายไทยเราให้กับทีมงานระดับปฏิบัติการของรัฐบาลและสภาคองเกรสของสหรัฐมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
เพราะเหล่าบรรดาระดับรัฐมนตรี, ส.ส. หรือ ส.ว. หรือแม้แต่ระดังปลัด-อธิบดีต้องติดตามเรื่องราวของทั้งโลกอย่างกระชั้นชิด ไม่มีเวลามาทำความเข้าใจกับประเทศไทยพอที่จะฟังเราชี้แจงแถลงไขแต่อย่างไร
คุณยุทธนา ลิ้มเลิศวาที คนไทยที่อยู่อเมริกามากว่า 30 ปีเสนอว่ารัฐบาลไทยควรจะช่วยให้เจ้าของร้านอาหารไทยที่มีอยู่กว่า 5,000 แห่งในสหรัฐสมัครเป็นสมาชิกของหอการค้าสหรัฐ หรือ US Chamber of Commerce
ด้วยการช่วยจ่ายค่าสมาชิกให้ เพราะเมื่อเป็นสมาชิกแล้วก็จะเป็นช่องทาง “ร้องเรียน ขอความช่วยเหลือ” และเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ
เมื่อธุรกิจกลางๆ เล็กๆ ของไทยได้เข้าไปอยู่ในแวดวงของหอการค้าของเขาแล้วก็จะสามารถเจาะเข้าไปสร้างความเชื่อมโยงกับทั้งผู้ประกอบการ, เจ้าหน้าที่และผู้มีส่วนได้เสียในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอย่างเป็นระบบขึ้น
รัฐบาลและเอกชนไทยก็ควรจะต้องกระตุ้นให้ชุมชนไทยในรัฐต่างๆ ของสหรัฐให้มีกิจกรรมด้านการเมืองท้องถิ่นเพื่อการสร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและสร้างอำนาจต่อรองกับนักการเมืองและผู้บริหารท้องถิ่น
เหมือนที่ชุมชนจีน, เกาหลีและเอเชียอื่นๆ (ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มชาวลาติโนและชาติพันธุ์อื่นๆ) ที่มีกิจกรรมที่คึกคักมาก จนสามารถส่งตัวแทนไปแข่งตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นถึงระดับรัฐได้
ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญการเมืองระหว่างประเทศ เล่าว่ารู้จักกับทูตสิงคโปร์และกัมพูชาในวอชิงตันซึ่งทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อกับคนในรัฐบาลอเมริกาลักษณะล็อบบี้เพื่อให้เขาได้ข้อมูลและวิธีคิดของประเทศของตน
รัฐบาลไทยจึงต้องปรับระบบการประสานงานระหว่างทำเนียบรัฐบาลกับกระทรวงทบวงกรมทั้งหลายที่เกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ, เศรษฐกิจ, ความมั่นคงและสังคม
ทุกวันนี้เป็นที่รู้กันว่าแต่ละกระทรวงยังทำงานแบบ “ไซโล” หรือตัวใครตัวมัน
เพราะต่างก็หวงแหนปกป้องงบประมาณของตน
ขาดการวางยุทธศาสตร์ร่วม หรือมีแผนรวมก็แต่เฉพาะบนกระดาษเท่านั้น
สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งควรจะเป็นหนึ่งในกลไกของการวางยุทธศาสตร์ที่สามารถบูรณาการกับทุกหน่วยงานของรัฐก็ยังไม่ได้ปปฏิรูปโครงสร้างให้ลดบทบาทของฝ่ายทหารเพื่อให้เกิดการระดมความคิดจากทุกฝ่ายจริงๆ
ยิ่งเมื่อ “ทรัมป์” ฟาดหัวฟาดหางและชูอำนาจต่อรองของมหาอำนาจเบอร์หนึ่งเพื่อกดดันให้ทุกประเทศต้องยอมตามเงื่อนไขทางเศรษฐกิจของตน ไทยก็ยิ่งจะต้องออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์เฉพาะหน้าและระยะกลางกับระยะยาว
อีกทั้งยังต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนที่ต้องมีทั้งความยืดหยุ่นและการยึดมั่นในหลักการที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับอำนาจต่อรองของเราในทุกมิติ
ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ บอกผมว่า
“พอทรัมป์ชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้นอย่างนี้ และเขามุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้งด้วยวิธีการที่ดุเดือดและตรงไปตรงมา ทุกคนต่างก็หนาวกันหมด…”
ไทยเราหนาวแล้วจะแสวงหาโอกาสให้วิกฤตได้อย่างไร นั่นคือความท้าทายที่อาจจะหนักหนาที่สุดหลังการสิ้นสุดของสงครามเย็นก็ได้!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022