ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 พฤศจิกายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | คุยกับทูต |
เผยแพร่ |
คุยกับทูต | แคเทอริน หว่อง เสี่ยว ผิง
สิงคโปร์ ประเทศอัจฉริยะระดับโลก (1)
หลังการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างสิงคโปร์และไทยเมื่อวันที่ 20 กันยายน 1965 สถานเอกอัครราชทูตสิงคโปร์ประจำประเทศไทยจึงได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1966
จากจุดเริ่มต้นของการทำงานที่แสนเรียบง่ายภายในสำนักงานของเอกอัครราชทูตคนแรกคือ นายตัน เซียก คิว (Mr Tan Siak Kew) ณ ธนาคารโฟร์ ซีส์ คอมมิวนิเคชั่นส์ (Four Seas Communications Bank) ก่อนย้ายไปเช่าบ้านเลขที่ 90 ริมถนนสาทรเหนือ
ต่อมา ในปี 1974 สถานเอกอัครราชทูตสิงคโปร์มีที่ทำการถาวร ณ เลขที่ 129 ถนนสาทรใต้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของย่านธุรกิจ
อนึ่ง เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2011 สถานเอกอัครราชทูตสิงคโปร์ได้รับเสด็จ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสเสด็จเยือนสถานเอกอัครราชทูตเป็นครั้งแรก
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ นางสาวแคเทอริน หว่อง เสี่ยว ผิง (Ms. Catherine Wong Siow Ping) เดินทางมาถึงกรุงเทพมหานคร และเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายอักษรสาส์นตราตั้งเป็นเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจำประเทศไทยในวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา
นับเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนจากสิงคโปร์ลำดับที่ 12 ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ประจำประเทศไทย

บทบาทผู้แทนในเวทีระหว่างประเทศ
เอกอัครราชทูตแคเทอริน เล่าว่า
“จากที่มีความสนใจงานด้านการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาโดยตลอด ทันทีที่เรียนจบมหาวิทยาลัย ดิฉันจึงเข้าร่วมงานกระทรวงต่างประเทศ เนื่องจากรู้สึกสนใจที่จะไปประจำต่างประเทศเพราะมองว่าเป็นโอกาสที่จะได้เห็นโลกกว้าง ได้เปิดโลกทัศน์ ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ
แม้จะทำงานมาถึง 29 ปีแล้ว ความหลงใหลในงานด้านการทูตของดิฉันยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม การได้วิเคราะห์ทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างรอบด้าน การที่สามารถมีส่วนสนับสนุนในการสร้างนโยบายต่างประเทศ และการได้อยู่แถวหน้าของการทูตเป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉันอยู่ในอาชีพนี้
นอกจากนี้ กระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ยังจัดให้มีการหมุนเวียนกันไปทำงานในหน้าที่ต่างๆ เป็นประจำ ทำให้การทำงานด้านนี้ไม่น่าเบื่อเลย เพราะมีสิ่งใหม่ๆ ให้เรียนรู้และได้รับประสบการณ์อยู่เสมอ”

ความร่วมมือทวิภาคี
“ประเทศไทยเป็นหนึ่งในมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของสิงคโปร์ การสถาปนาความสัมพันธ์เริ่มขึ้นไม่นานหลังจากสิงคโปร์ได้รับเอกราชในปี 1965 เป็นความสัมพันธ์ที่อบอุ่นและลึกซึ้งบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน เรามีความเชื่อมโยงทางการเมืองและสถาบันเป็นอย่างดี มีการแลกเปลี่ยนกันอย่างสม่ำเสมอ ความร่วมมือที่สำคัญมีมาอย่างยาวนานครอบคลุมหลายแง่มุม
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนกำลังเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างมาก สะท้อนถึงวิถีของความสัมพันธ์ทวิภาคีโดยรวมของเรา
ดังตัวอย่าง สิงคโปร์และไทยเป็นหุ้นส่วนการค้า 10 อันดับแรกของกันและกันเสมอมา และสิงคโปร์ยังเป็นหนึ่งในนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของไทยมาโดยตลอด
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันจะเติบโตเต็มที่แล้ว แต่ทั้งสองประเทศยังคงมีศักยภาพอีกมากที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน
นั่นคือเหตุผลที่สิงคโปร์มองหาความร่วมมือในพื้นที่แห่งใหม่และสร้างความต่อเนื่องกับไทยอย่างแข็งขัน ซึ่งรวมถึงเศรษฐกิจดิจิทัล, คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit), ความยั่งยืน และพลังงานสะอาด”

นำระบบการโอนเงินข้ามพรมแดนแบบทันที
“PromptPay – PayNow” มาใช้เป็นคู่แรกของโลก
“ความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นล่าสุดคือด้านการเงิน ในปี 2021 สิงคโปร์และไทยได้จัดตั้งการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินแบบเรียลไทม์แห่งแรกของโลกระหว่าง PayNow ของสิงคโปร์ และ PromptPay ของไทย ความร่วมมือนี้ช่วยให้ลูกค้าของธนาคารที่ร่วมโครงการในสิงคโปร์และไทยสามารถโอนเงินข้ามประเทศได้โดยใช้เพียงหมายเลขโทรศัพท์มือถือ
ความร่วมมือนี้ช่วยวางรากฐานให้สิงคโปร์และไทยสามารถดำเนินการชำระเงินข้ามพรมแดนได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายกับประเทศในกลุ่มอาเซียนและในประเทศอื่นๆ
หลังการเชื่อมโยงการชำระเงินสิงคโปร์-ไทยแล้ว สิงคโปร์ได้ดำเนินการเชื่อมโยงการชำระเงินกับอีก 4 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
ในขณะที่โลกยังคงพัฒนาและมีความท้าทายใหม่ๆ เกิดขึ้น จึงเป็นความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่สิงคโปร์และไทยจะต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อค้นหาวิธีแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์”

นโยบายต่างประเทศ
ภายใต้การนำของลอว์เรนซ์ หว่อง
(Lawrence Wong) นายกฯ ใหม่สิงคโปร์
“นโยบายต่างประเทศของสิงคโปร์ยึดโยงอยู่กับการประเมินสถานการณ์ที่เป็นจริงและผลประโยชน์ของชาติของเรามาโดยตลอด จากการมองการณ์ไกลและนโยบายที่มีความต่อเนื่อง
สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กไม่มีพื้นที่ชนบทและไม่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ความเป็นจริงทางภูมิศาสตร์เหล่านี้ยังคงดำรงอยู่ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม ดังที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของเรา ดร.วิเวียน บาลากริชนัน (Dr. Vivian Balakrishnan) กำหนดนโยบายต่างประเทศของเราไว้เมื่อต้นปีนี้ โดยปฏิบัติตามหลักการ 3 ประการ
ประการแรก เพื่อปกป้องเอกราช อำนาจอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของสิงคโปร์ จากภัยคุกคามภายนอก
ประการที่สอง เพื่อให้แน่ใจว่าเราสามารถเข้าถึงสิ่งที่จำเป็น และการอำนวยความสะดวกด้านเส้นทางการสื่อสารทั้งทางอากาศและทางทะเลที่เปิดกว้าง
ประการที่สาม เพื่อขยายโอกาสในความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและรักษาลำดับความสำคัญของสิงคโปร์ต่อโลก
ในการนำนโยบายนี้ไปใช้ เราสนับสนุนการจัดระเบียบตามกฎเกณฑ์และการเคารพกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเต็มที่และสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ เรายังพยายามรักษาจุดมุ่งหมายร่วมกับพันธมิตรให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
หลักการพื้นฐานของนโยบายต่างประเทศของสิงคโปร์ดังกล่าวนี้ มีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น เนื่องจากอุปสรรคทางภูมิรัฐศาสตร์มากมายที่เราต้องเผชิญในปัจจุบัน รวมถึงความตึงเครียดและความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจสำคัญในยุโรปและตะวันออกกลาง
ในระดับส่วนตัว นายกฯ หว่องจะนำรูปแบบการทูตและการดำเนินการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในแบบฉบับของเขาเองมาใช้ โดยจะเยือนประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทุกประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
ในระหว่างการเยือนมาเลเซียเมื่อไม่นานนี้ นายกฯ หว่อง เน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาคือการเสริมสร้างความเชื่อมั่นระหว่างเขากับคู่หูชาวมาเลเซีย ประเด็นสำคัญคือ ประเทศต่างๆ สามารถดำเนินการได้หลายอย่างหากมีความไว้เนื้อเชื่อใจในระหว่างผู้นำของตน ดิฉันคาดว่า การพิจารณาในเรื่องนี้จะเป็นปัจจัยหลักในการเยือนครั้งต่อไปของเขา
และเราหวังว่า นายกฯหว่อง จะมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการเร็วๆนี้ ทั้งนี้ ในปี 2025 จะตรงกับวาระครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสิงคโปร์กับไทย” •

รายงานพิเศษ | ชนัดดา ชินะโยธิน
Chanadda Jinayodhin
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022