ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 พฤศจิกายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | เรื่องสั้น |
เผยแพร่ |
เรื่องสั้น | นรเศรษฐ์ ทับทิมทอง
บางสิ่งที่สูญหาย
…ความสัมพันธ์แบบไหนกันนะ ที่ทำให้เรารู้สึกถึงความเบาบาง รอคอย และไม่มั่นคง ใครบางคนเดินเข้ามาเพียงเพื่อเป็นเศษซากความทรงจำ ทั้งไร้รสชาติ กลิ่น เสียง สัมผัส สิ่งเดียวที่เราได้รับรู้ คือสิ่งที่เธออยากให้เราได้รู้ หรือเอาเข้าจริง คำว่าเราในทีนี้ยังดูเป็นความล้นเกิน
ทั้งหมดอาจเป็นผมฝ่ายเดียวที่ตระหนักถึงมัน…
สรรค์พจี
ราว 3 ปีก่อน ผมได้รู้จักหญิงสาวชื่อนี้ผ่านทางเฟซบุ๊ก สะดุดกับชื่อ และรูปโปรไฟล์แนวอาร์ตๆ ที่เห็นหน้าเธอไม่ชัดเจน ดูคลุมเครือ จนต้องย่องเข้าไปในโลกส่วนตัว โชคดีระบบตั้งค่าเป็นสาธารณะ
สาเหตุเพราะมันเป็นชื่อตัวละครหนึ่งในหนังสือนวนิยายของพี่นักเขียน* ซึ่งผมชื่นชอบเป็นพิเศษ ทั้งยังอ่านมันซ้ำอยู่ออกบ่อย แม้สรรค์พจีในเนื้อเรื่อง จะเป็นกวีหนุ่ม แต่คำนี้สามารถใช้ได้ทั้งชาย และหญิง ความหมายของชื่อตามพจนานุกรม เป็นคำผสม สรรค์ แปลว่าสร้าง ส่วนพจี นั้นแปลว่าถ้อยคำ เมื่อมารวมกันทั้งความหมาย ภาพพจน์ และการออกเสียง เกิดมีเสน่ห์ขึ้นอย่างที่ทำให้ผมตกหลุมรัก ผมพบว่าโลกของเธอ เป็นโลกของแวดวงศิลปะ วรรณกรรม และดนตรีร็อก ในจำนวนเพื่อนๆ ทางโลกเสมือน เรามีเพื่อนร่วมกันเกือบครึ่งร้อย นั่นแสดงถึงความสนใจ หรือไลฟ์สไตล์ที่ใกล้เคียง มันเริ่มต้นอย่างง่ายดายในวันธรรมดาวันหนึ่ง หลังผมนั่งเลื่อนจอสมาร์ตโฟนจนได้พบกับสรรค์พจี จึงส่งคำขอเป็นเพื่อน ผ่านไปราวสองหรือสามสัปดาห์กว่าเธอจะกดรับ แปลกที่การขอเป็นเพื่อนผู้คนในโลกออนไลน์หนนี้ ผมรู้สึกกระวนกระวาย และรอคอย
โดยปกติ นักเขียนโนเนมอย่างผม ใช้เฟซบุ๊กเป็นพื้นที่ซ้อมมืออยู่ประจำสม่ำเสมอ คอยโพสต์บทความสั้นๆ ความคิดเห็นประเด็นสังคม บทกวี หรือแม้แต่ความรื่นรมย์จากเรื่องส่วนตัว พี่ น้อง และเพื่อนๆ ในแวดวงนักเขียนหลายคนก็ไม่ต่าง ในเมื่อยุคสมัยของหนังสือกระดาษถึงทางตัน บางครั้งพวกเราก็ต้องการพื้นที่สาธารณะช่องทางใหม่เพื่อเผยแพร่ผลงาน ในโลกเสมือนมีเรื่องราวให้ทอดท่องอย่างไม่รู้จักพอ ทั้งเรื่องสร้างสรรค์ และไร้สาระ นั่นอยู่ที่จะเลือกเสพเอาสิ่งไหน ผมยังนึกขำตัวเองที่เคยดูแคลนเด็กๆ ก็วันทั้งวันพวกเขาเอาแต่ก้มหน้ากับโทรศัพท์ แต่เมื่อหันมาพิจารณาตัวเองก็ไม่แตกต่าง ถึงวัยนี้ผมไม่แบกมาดแอ็กอาร์ตอย่างคนต่อต้านโลกสมัยใหม่ หรือเข้าใจชีวิตอะไรทำนองนั้นเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
ผ่านไปไม่กี่วันหลังจากเรา หมายถึงผมกับสรรค์พจีเป็นเพื่อนกันในเฟซฯ เหมือนอย่างเคย ผมโพสต์บทกวีสั้นๆ ทิ้งไว้ ก่อนวางมือไปจัดการงานบ้าน กลับเข้าดูอีกครั้ง ในจำนวนไลก์ ผมเห็นชื่อเธอปรากฏ รู้สึกหัวใจพองฟูกว่าครั้งไหนๆ และนับจากวันนั้นเป็นต้นมา คล้ายว่าเธอจะตามผมไปทุกหนทุกแห่ง หรือทั้งหมด เป็นเพียงผมที่คอยติดตามยอดไลก์จากเธอ
ในระหว่างวันเดือนปีของกาลเวลา นั่นราวกับสายน้ำไหล ทุกสิ่งเริ่มขึ้น และไม่เคยย้อนคืน นอกจากสรรค์พจีจะเข้ามากดไลก์ เธอเริ่มทักทายเป็นบทสนทนาสั้นๆ เชิงออกความคิดเห็น หรือเพียงการหยอกล้อในช่องคอมเมนต์ จากนั้น เราค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้กันมากขึ้นภายใต้ช่องว่างบางชนิดที่ผมมองเห็นแต่แกล้งลืมมัน
ทั้งหมดผมไม่รู้หรอกว่าสรรค์พจี ได้อ่าน หรือให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆ ที่ผมโพสต์มากน้อยเพียงใด เธออาจเพียงแสดงความรู้สึกในฐานะมิตรภาพหลวมๆ แต่เธอก็ยังเข้ามาเคลื่อนไหวในทุกๆ ครั้ง ซึ่งมันมากพอให้หน้าฟีดของผมไม่แห้งแล้งนัก นอกจากนั้น ผมยังเฝ้าติดตามสเตตัสของเธอ แม้ระยะห่างการโพสต์จะไม่แน่นอน บางครั้งห่างกันราวหนึ่งหรือสองสัปดาห์ บางหนเพียงวันหรือสองวัน จากข้อสังเกต ผมพบว่าโลกของเธอเป็นโทนสีมืดดำ แม้ในบางแง่มุม จะมีดอกไม้งอกงามออกมาก็ตาม แต่โดยภาพรวม มันก็เป็นดอกไม้ที่ผุดโผล่มาจากความมืดดำอยู่ดี นั่นยิ่งทำให้ผมเห็นเธอเป็นวิญญาณดวงหนึ่ง ล่องลอย น่าค้นหา พร้อมๆ กันกับน่าหวาดหวั่น หรือด้วยเหตุนี้ เธอจึงเลือกใช้ชื่อ สรรค์พจี
ก็อย่างในนวนิยายนั่นไง วิญญาณของกวีหนุ่มที่ชื่อ สรรค์พจี ทั้งล่องลอย น่าค้นหา และน่าหวาดหวั่น บางทีเธออาจเป็นแฟนคลับพี่นักเขียนคนนั้นเหมือนอย่างผม
บางส่วนที่เข้ามา
มันก่อรูปอย่างไม่ทันรู้ตัว ผมเริ่มรู้สึกมีพละกำลังในเชิงสร้างสรรค์ งานเขียนชิ้นแล้วชิ้นเล่าผุดโผล่มาจากกลีบดอกไม้ของความมืดดำในตัวสรรค์พจี ทั้งส่งกลิ่นหอม และสีสันฉูดฉาด บทกวีหลายบทเกิดบันดาลใจขึ้น ผ่านนิ้วมือสู่หน้าสเตตัส มีแต่ผมคนเดียวที่รู้ว่าเพราะอยากให้เธอได้อ่าน ยิ่งผมโพสต์ เธอยิ่งกดไลก์ ยิ่งเธอกดไลก์ ผมยิ่งเติมเต็ม ในระหว่างระยะเวลาทอดยาวออกไป เหมือนเราจะรู้จักกันมากขึ้น (แม้ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันจริงๆ และเราสนทนากันแค่ในช่องคอมเมนต์) ทุกกิจกรรมเคลื่อนไหวของเธอเข้ามาอยู่ในกระแสการรับรู้ของผมเช่นกัน ทั้งงานศิลปะ หนังสือที่อ่าน ความขัดแย้งทางความคิดต่อประเด็นสังคม กินดื่ม สถานที่ท่องเที่ยว ราตรีเงียบเหงาร้าวลึก ความขัดแย้งกับตัวตน บาดแผลของความรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า การกดดันทำร้ายตัวเอง คอนเสิร์ตร็อกแอนด์โรล และที่สร้างกระแสปั่นป่วนให้จิตใจอย่างหนักหน่วง คงเป็นความป่วยไข้ทางกายที่เธอกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งเธอมักแสดงความเข้มแข็งผ่านหน้าสเตตัสส่วนตัวอยู่เสมอๆ แต่ผมกลับเห็นแววหวาดหวั่นในน้ำเสียงนั้น
หรือเหตุทั้งหมดเพราะก้อนหัวใจในแบบที่มนุษย์อย่างพวกเราเป็น อ่อนไหวและเปราะบาง เร่งเร้าทว่าเอื่อยไหล งดงามขึ้นจากเศษเสี้ยวบิ่นหัก ซึ่งพร้อมจะปะทะกับทุกแรงที่เข้ามากระทบ ผมไม่อยากโอ่ค่าว่าก้อนหัวใจชนิดนี้ พวกเราเรียกมันว่า พวกศิลปิน แต่จะหานิยามใดดีกว่านี้เล่า
ตั้งแต่เริ่มต้น ผ่านไปนานเกือบสามปีอย่างไม่รู้ตัว คล้ายผมเสพติดการกดไลก์จากสรรค์พจี วันไหนที่โพสต์ และเธอไม่กด ผมจะรู้สึกโหยหาจนพาลให้ก่อเกิดความกระวนกระวายใจ จ้องแต่จะเข้าไปเช็กดูสเตตัสต้นทางของตน และสอดส่องเข้าไปในโลกของเธอ ว่าออฟหรือออนไลน์อยู่ เกิดคำถามมากมายว่าเธอเป็นตายร้ายดีอย่างไร ว่าขณะนี้เธอกำลังคิดหรือทำสิ่งใด แต่ลักษณาการณ์เป็นเช่นนี้อยู่ได้ไม่นาน เพราะระยะห่างแค่เพียงไม่กี่โพสต์ เธอก็กลับมาเหมือนเช่นเคย นั่นไม่ใช่ว่าผมติดหลงอยู่ในโลกเสมือน แต่ความรู้สึกมันบอกว่า ถูกตรึงไว้เฉพาะกับความอึมครึม และพร่าเลือน ของหญิงสาวชื่อสรรค์พจี
ระยะเวลาสามปีจนถึงตอนนี้ นานกว่าสามเดือนแล้วที่เธอหายไปจากการรับรู้ แม้มันจะรบกวนจิตใจผมอยู่บ้าง แต่บางครั้งต้องยอมรับว่าชีวิตยังต้องมีเรื่องราวอื่นๆ นอกเหนือจากความเป็นไปของเธอ โลกสมัยใหม่กับเทคโนโลยีข่าวสารหมุนวิ่งจนเราฉวยคว้าสิ่งใดได้ไม่ถึงแก่นสารสาระพอ จะว่าการหายไปของเธอไม่ส่งอิทธิพลต่อผมก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ไม่ใช่ความบังเอิญแน่ ที่ผมหยิบนวนิยายของพี่นักเขียนเล่มนั้นขึ้นอ่านอีกครั้ง ลึกๆ เพียงเพื่อต้องการซับรู้ หรืออย่างน้อยๆ ยังพออุปโลกน์เอาได้บ้างว่า สรรค์พจี กวีหนุ่มในนวนิยายคือจุดเชื่อมโยงถึงสรรค์พจี หญิงสาวในโลกเสมือน
ผมไม่รู้โลกนี้จะมีคนชื่อสรรค์พจีอยู่กี่คน และผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ชื่อสรรค์พจีที่เธอใช้แทนนามในเฟซบุ๊ก จะเป็นชื่อจริงหรือแค่หยิบยืมมาจากแรงบันดาลใจในนวนิยาย (ก็เรายังไม่เคยพูดคุยกันอย่างถึงแก่นสารสาระสักครั้งยังไงเล่า) แต่บางทีความจริงก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นนักในยุคสมัยนี้
(ผี)สรรค์พจี
กวีหนุ่มผู้โกนผมสั้นเกรียนติดหนังศีรษะ ห่มครองชุดผ้าพื้นเมืองสีดำเก่าคร่ำ สมบัติเพียงสมุดบันทึก หนังสือกวีนิพนธ์ และขวดเหล้าแบ่ง บรรจุในย่ามโกโรโกโส เขาเงียบงำชีวิตไว้ท่ามกลางความลิงโลดแห่งท้องทุ่ง สายน้ำ ฝูงปลา นกกา เหล่าบรรดาหมาแมว และเด็กๆ เคี่ยวกรำความสันโดษอย่างครึกโครมอยู่ภายใต้ความสงบรำงับของตัวตน ผู้คนมักมองเขาเป็นดั่งผีบ้าในสังคมชนบท ที่กำลังขับเคี่ยวอยู่กับสิ่งเรียกว่าความเจริญ
ในอีกมุมมองหนึ่ง เขาเป็นดวงวิญญาณ หรือเป็นมโนสำนึก ซึ่งแฝงฝังอยู่ในชีวิตของชายหนุ่มชื่อปราณ ชายหนุ่มผู้คลั่งไคล้ในบทกวีของสรรค์พจี จนต้องปลีกวิเวกตัวเองออกจากเมืองหลวง เพื่อมุ่งหน้าตามเส้นทางของ กวีสรรค์พจี (ซึ่งได้ลับสูญเป็นดวงวิญญาณไปก่อนหน้า)
เนื้อหาของนวนิยาย ค่อยๆ ดำเนินไปอย่างที่ทำให้ผมก้าวล่วงเข้าสู่ตัวละครหลักทั้งสอง ความคิดคอยเอาเถิดเจ้าล่อระหว่างความจริง และความฝันของปราณ พวกเขาสนทนากัน ร่วมขับขานบทกวีท่ามกลางสุรารสร้อนแรงร่วมกัน ถกปรัชญาเรียบง่ายที่ชื่อว่าชีวิตร่วมกัน พวกเขาตามต้อยกันคล้ายตัวตน และหลืบเงาที่มิอาจแยกขาด ระเห็จระเหเร่ร่อนไปตามวัดวาอาราม หมู่บ้านชนบท ท้องทุ่งนา และแม่น้ำ เพื่อค้นหาคำตอบบางชนิด
ผมพยายามตีความนัยสำคัญ ที่พี่นักเขียนต้องการสื่อสาร หรือแท้จริงแล้ว ผีสรรค์พจี กับชายหนุ่มชื่อปราณ ล้วนคือชีวิต และจิตวิญญาณเดียวกัน
เมื่อหน้าสุดท้ายของนวนิยายจบ ความหวนไห้ถึงหญิงสาวชื่อสรรค์พจี มิได้ลดน้อยถอยลง กลับเพิ่มน้ำหนักความใคร่ครวญให้ทบทวียิ่งขึ้น (หรือเป็นผมที่หล่นจมลงไปในหนังสือจนยากจะแยกจริงลวง)
บางเสี้ยวที่หายไป
เอาเข้าจริง ผมเองอาจเป็นผลผลิต และส่วนหนึ่งของยุคสมัยว่างโหวง ความเข้มแข็ง หรือความลำพองทางสภาวะจิตใจที่ตกค้างมาจากครั้งยุคอะนาล็อกเริ่มสึกกร่อนลง เทคโนโลยีในยุคดิจิทัล มีสิ่งเร้ามากมายพาให้คนวัยใกล้ห้าสิบอย่างผมกระโดดลงไปมีส่วนร่วม ความเหงา ความเพ้อฝัน ความต้องการการมีตัวตน ความตื่นกระหาย ความสะดวกสบาย และฯลฯ นานาล้วนเป็นปัจจัยชั้นดี ทำให้หัวใจหลายดวงทั้งตื่นขึ้น และล้มฟุบ ผมกับหญิงสาวชื่อสรรค์พจี เราอาจเป็นหนึ่งในจำนวนผู้คนหมื่น แสน ล้าน ที่บังเอิญได้มาพบกันในโลกเสมือนใบนี้ มันทั้งแคบ และกว้างใหญ่ไพศาล ทั้งหลอกลวง และจริงแท้ ระหว่างผมกับเธอ อาจเป็นเรื่องโรแมนติกเล็กๆ ในโลกระนาบเดียว
แล้วเดือนที่สามก็ผ่านพ้น สรรพค์พจียังหายไปจากโลกของผม ให้ถูกต้องพูดว่าเธอหายไปจากโลกที่เธอต้องการให้ใครต่อใครรับรู้เช่นกัน บังเอิญช่วงนี้ผมยุ่งอยู่กับต้นฉบับรวมเรื่องสั้นเล่มใหม่มาสักระยะจนไม่มีเวลาเข้าดูเฟซฯ อย่างจริงจัง ทว่าจู่ๆ ความคิดถึงเธอก็ผุดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
…เพียงสามสิบห้าฤดูกาล ที่ฉันย่ำเดินอยู่บนความฝันอันทั้งหอมหวาน และปวดร้าว
มีดอกไม้ดอกหนึ่งได้ผลิบานขึ้นอย่างเงียบงันภายใต้ความจริงอันหละหลวม
แม้มันจะเป็นเป็นดอกไม้ดอกเดียวกันกับเมื่อสามสิบห้าฤดูกาลที่ผ่านมา
ถึงวันนี้ ฉันเริ่มไม่มั่นใจ ว่าดอกไม้ดอกนี้ จะยังยืนหยัดทนทานไปได้อีกกี่ฤดู…
บทกวีสั้นๆ ชิ้นนี้ คือโพสต์สุดท้ายที่สรรค์พจีเขียน ผมดูวันเวลา มันปรากฏเมื่อราวสามเดือนกับอีกยี่สิบห้าวันที่ผ่านมา เธอหายไปนานกว่าครั้งไหนๆ ผมเอะใจกับความหมายแฝงในบทกวีชิ้นนี้ เธอต้องการสื่อถึงสิ่งใด (แน่นอนคำถามของผมไม่เคยได้รับคำตอบ) ผมเริ่มตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหาย ความผูกพันกันกว่าสามปีระหว่างเราเหมือนไม่มีค่าใด
ผมคิด ความสัมพันธ์แบบไหนกันนะ ที่ทำให้เรารู้สึกถึงความเบาบาง รอคอย และไม่มั่นคง ใครบางคนเดินเข้ามาเพียงเพื่อเป็นเศษซากความทรงจำ ทั้งไร้รสชาติ กลิ่น เสียง สัมผัส สิ่งเดียวที่เราได้รับรู้ คือสิ่งที่เธออยากให้เราได้รู้ หรือเอาเข้าจริง คำว่าเราในทีนี้ยังดูเป็นความล้นเกิน ทั้งหมดอาจเป็นผมฝ่ายเดียวที่ตระหนักถึงมัน
วันเวลาผ่าน จากสามวัน สองสัปดาห์ เป็นหนึ่งเดือน ในระหว่างนี้ คล้ายผมแบกความคลางแคลงไว้ภายในใจ คอยแต่จะสอดส่องเข้าไปในโลกส่วนตัวของสรรค์พจีอยู่มิวาย โพสต์สุดท้ายของเธอยังคงค้างไว้ที่บทกวีชิ้นเดิม กระทั่งบ่ายวันหนึ่งที่มรสุมเข้าครอบครองท้องฟ้าของเมือง ขณะผมมีเวลาว่างพอจะจัดเรียงชั้นหนังสือใหม่นั่นแหละ ไม่รู้ความบังเอิญ หรือลางบอกเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง หนังสือนวนิยายเล่มนั้นก็ผล็อยร่วงหล่นลงจากชั้น หนังสือนวนิยายที่มีวิญญาณของกวีหนุ่มชื่อสรรค์พจีเป็นตัวเอก ผมหยิบมันขึ้นพลิกไปมา กลิ่นกระดาษเก่าหอมโชยเข้าเตะจมูก พร้อมๆ กับความระรึกถึงหญิงสาวชื่อสรรค์พจี ได้ท่วมท้นขึ้นอย่างสุดรำงับ ผมรีบคว้าสมาร์ตโฟน เปิดเข้าค้นหาในเฟซฯ ส่วนตัวของเธอ
แล้วโลกเสมือนใบนั้น ก็ทำให้โลกจริงของผมหยุดหมุน เมื่อพบว่าบัญชีรายชื่อของ สรรค์พจี ได้ถูกปิดลงอย่างถาวร พลันบทกวีบรรทัดสุดท้ายของเธอก็แล่นเข้ามาในห้วงคำนึง
ถึงวันนี้ ฉันเริ่มไม่มั่นใจ ว่าดอกไม้ดอกนี้ จะยังยืนหยัดทนทานไปได้อีกกี่ฤดู… •
*สรรค์พจี ชื่อตัวละครหนึ่ง ในนวนิยายเรื่อง นักเข้าฝัน ของ เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022