เรื่องสั้น : หน้ากาก

ขจรฤทธิ์รีบขับรถยนต์จากตัวเมืองมุ่งสู่อำเภอเชียงดาว เพื่อเข้าประชุมใหญ่ประจำปี อากาศตอนเช้าเย็นสบาย เขาจึงเปิดกระจกด้านคนขับลงเกือบทั้งบาน ถนนโล่งปลอดโปร่ง นานๆ จะมีรถวิ่งไปมาสักคัน เขาทำงานต่างอำเภอมาหลายปีจึงชินเส้นทาง ถนนเริ่มขึ้นดอยแม้จะคดเคี้ยว แต่ความชำนาญเส้นทางช่วยเขาทำความเร็วได้ดีพอสมควร บางตอนเป็นถนนตัดผ่านตีนดอย ด้านฝั่งตะวันออกถนนเป็นเหวลึกพอประมาณ เห็นน้ำปิงไหลช้าๆ เบื้องล่าง ที่แห่งนี้ถูกกำหนดเป็นเขตอนุรักษ์ต้นน้ำปิง

พอรถวิ่งเข้าเขตอำเภอ ขจรฤทธิ์รู้สึกอากาศเย็นกว่าเดิม ชำเลืองมองเห็นดอยสูงด้านฝั่งตะวันตก ต้นไม้ยืนต้นมากมายเหยียดตัวสูง เป็นเขตต่อระหว่างอากาศร้อนกับอากาศเย็น

พอพ้นดอย ถนนลดความคดเคี้ยวเป็นทางตรงมากขึ้น รถกำลังวิ่งเข้าหมู่บ้านแก่งปันเต้า พลันข้างหลังปรากฏกระบะวิ่งเร็ว เสียงรถวิ่งผ่านด้านข้างดังจนขจรฤทธิ์ตระหนก เป็นกระบะสีเทาใหม่วิ่งปาดซ้ายปาดขวา จากเลนซ้ายไปเลนขวา กลับมาซ้ายอีกทีเกือบตกขอบถนน ขจรฤทธิ์กลืนน้ำลายที่เริ่มเหนียว ที่โค้งหน้าเห็นรถหกล้อห้อสู่ทางตรง รถกระบะเทาเอียงเข้าไปหาเหมือนแม่เหล็กดูดต่อหน้าต่อตา ทำให้เขาต้องกลั้นหายใจ ไม่อยากมองก็ต้องมอง รถสองคันวิ่งเฉียดกันน่าหวาดเสียว หูได้ยินเสียงอะไรกระทบกัน เสียงเสียดสีบาดหูบาดใจ ประสาทแทบขาดผึง เสียงรถเบรกเอี๊ยดยางครูดถนน รถกระบะวิ่งไปแฉลบวูบเข้าข้างทางซ้าย แล้วเอียงไปขวาเบียดเข้าข้างทาง วิ่งเฉี่ยวชนต้นไม้ขนาดเล็ก มันยังดันทุรังใช้ยางบดดินครืนๆ ข้างทางต่อ เสียงโครมดังขึ้นเมื่อล้อรถวิ่งตกร่องข้างทาง ไถลพลิกคว่ำ 1 รอบ แล้วกลับมาจอดนิ่ง

ขจรฤทธิ์หายใจลึกยาว กัดฟันข่มความเครียดเกร็ง ชะลอรถเข้าจอดข้างทาง รีบวิ่งไปจุดรถประสบอุบัติเหตุ เห็นผู้ชายหน้าซบพวงมาลัยแน่นิ่ง เขากวาดตารวดเร็วดูในรถ มีเพียงชายคนขับเท่านั้น

“คุณๆ เป็นไงบ้าง”

เขาเรียกหลายครั้งคนเจ็บจึงขยับตัว เห็นเลือดไหลผ่านขมับขวา ปากบวม หน้าตาบอกวัย 50 ปีเศษ

“เจ็บที่ไหนบ้างครับ”

คนขับขยับจะเปิดประตูแต่สูดปากเปิดไม่ได้ ขจรฤทธิ์ช่วยดึงเปิดประตูบุบผิดรูป คนขับแสดงอาการเจ็บอก ขาซ้ายคงหัก ขจรฤทธิ์ประคองคนเจ็บ ให้ใช้แขนโอบคอขจรฤทธิ์ ค่อยประคองพามานั่งพักพิงต้นไม้ข้างทาง มือซ้ายคนเจ็บกุมอะไรบางอย่างที่หน้าอก ปากก็พึมพำ

“ถ้าไม่มีหลวงปู่ ลูกช้างตายแน่”

“นั่งพักที่นี่ก่อนนะครับ ผมจะโทร.แจ้งรถมูลนิธิ และตำรวจมาช่วยด่วน แข็งใจไว้นะครับ” ขจรฤทธิ์นั่งลงมองขมับคนเจ็บที่เลือดไหล จับขาซ้ายเบาๆ

“เจ็บที่หัว ขาซ้าย ที่อื่นเจ็บไหม”

คนเจ็บยกฝ่ามือทาบอกขวากดลงไปเบาๆ ทำหน้าย่นเล็กน้อย

“ที่หน้าอก แต่เจ็บไม่มากนัก”

“ไม่เกิน 3 นาทีจะมีคนมาช่วย คงไม่เป็นไรมาก ผมต้องรีบไปก่อน เพราะมีประชุมใหญ่ที่อำเภอ”

คนเจ็บไม่พูดอะไรต่อ ยังมีอาการมึนๆ ซึมๆ ขจรฤทธิ์ออกรถรวดเร็ว รถวิ่งผ่านแผงขายส้มโอปลูกเป็นแนวยาวริมถนนทิศตะวันออก อึดใจเดียวรถเขาวิ่งสวนรถ 2 คัน คันหลังเป็นรถตำรวจสีเลือดหมู ในเวลาเดียวกันได้มีรถตู้คันหนึ่งจอดอยู่ข้างถนน ข้างรถเขียนว่า บริษัทสินประกันชีวิต คนขับสวมเสื้อแจ๊กเก็ตสีเทา ที่หน้าอกซ้ายมีแถบผ้าโลโก้บริษัท เขาก้าวเท้าเร็วๆ ไปยังคนเจ็บเพื่อช่วยเหลือ

ในเวลาต่อมา รถมูลนิธิและรถตำรวจได้วิ่งมาอย่างรวดเร็วและจอดกึกฉับพลันหน้ารถตู้ เจ้าหน้าที่มูลนิธิรีบวิ่งไปยังคนเจ็บ พร้อมอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นาย เดินอาดๆ ไปจุดเดียวกัน คนขับรถตู้เล่าเรื่องราวแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ

“ผมขับรถมาถึงจุดเกิดเหตุ ได้รีบจอดรถลงไปช่วยคนเจ็บออกจากรถ พามานั่งพักใต้ต้นไม้ คนเจ็บเป็นกำนัน บาดเจ็บมากที่หัวและขาครับผม”

เจ้าหน้าที่มูลนิธิประคองคนเจ็บนอนบนเปลอย่างเร่งรีบและระมัดระวัง บึ่งรถนำคนเจ็บส่งโรงพยาบางอำเภออย่างรีบร้อน

คนขับรถตู้ขอตัวขับรถเข้าตัวเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจนัดหมายเรียกสอบปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง คนเจ็บถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลอำเภอไม่กี่ชั่วโมง ต้องรีบส่งตัวคนเจ็บไปโรงพยาบาลจังหวัด บุรุษพยาบาลพาคนเจ็บนอนบนเตียงล้อเข็นเข้าห้องฉุกเฉิน ไม่สามารถให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้

หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวตัวใหญ่หน้า 1 ครึกโครม

กำนันดังเมืองเหนือรถคว่ำ

เมื่อเวลา 06.32 น. วันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ร.ต.อ.ธีระศักดิ์ เรืองฤทธิ์ รอง สว.สภ.เชียงดาว รับแจ้งเหตุ รถกระบะโตโยต้าสีบรอนซ์ ทะเบียน กม 5657 เชียงราย ชนต้นไม้ข้างทางพลิกคว่ำกิโลเมตรที่ 65 สภาพรถเสียหายยับเยิน สอบถามผู้เข้ามาช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุเล่าว่า ขณะขับรถตู้ของบริษัทสินประกันชีวิต จากอำเภอไชยปราการ มุ่งเข้าสู่ตัวเมือง เห็นรถพลิกคว่ำข้างทาง จึงจอดรถลงไปช่วยเหลือคนเจ็บออกจากรถ คนขับบาดเจ็บที่ศีรษะ ขาซ้ายเจ็บ ต้องประคองมาพักใต้ต้นไม้ริมทาง คนเจ็บไอเป็นพักๆ มือกุมพระที่หน้าอกตลอดเวลา ท่าทางตกใจมาก ได้สอบถามทราบเพียงว่า เป็นกำนันอยู่อำเภอเหนือสุด พอดีรถมูลนิธิและรถตำรวจมาถึง ตนจึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง จากนั้นได้ขอตัวขับรถเข้าตัวเมืองเพื่อทำงานต่อไป

โลกโซเชียลได้เสนอข่าวแพร่หลาย ส่วนใหญ่ยกย่องชายคนขับรถบริษัทสินประกันชีวิตซึ่งลงไปช่วยเหลือคนเจ็บ ชื่นชมน้ำใจ ยกให้เป็นวีรบุรุษ

หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้ทำสกู๊ปข่าวเจาะในเรื่องนี้ โดยผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ สอบถามชาวบ้านใกล้สถานที่เกิดเหตุ สอบถามแม่ค้าส้มโอ ได้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า ผู้เข้าไปช่วยเหลือคนเจ็บออกจากรถนั้น คนแรกไม่ใช่คนขับรถตู้บริษัทสินประกันชีวิต แต่เป็นชายหนุ่มเสื้อขาวผูกไท้ เกิดการสับสนโต้แย้งทางโลกออนไลน์ ต่างอ้างเหตุผลชวนน่าเชื่อถือ

กำนันคนดังออกจากห้องฉุกเฉินมานอนห้องผู้ป่วยพักฟื้น เขาพ้นขีดอันตราย เจ้าหน้าที่ตำรวจรุดเข้าสอบปากคำถึงข้างเตียงโรงพยาบาล

“ในที่เกิดเหตุมีรอยเบรก ล้อรถครูดเป็นทางยาว คงขับรถเร็วมาก”

“ก็ไม่เร็วเท่าไร แค่ 80, 90 กิโลเมตร”

“แน่ใจนะ”

“ครับ” ตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง

“ทำไมขับรถส่ายไปมา ปาดซ้ายปาดขวาด้วย”

“ผมเบรกไม่อยู่ เหมือนเบรกมันจม กดลงไปมันเบาเท้า ตกใจจึงขับรถส่ายไปมานะครับ”

“ผมจะตรวจดูหลักฐานพยานบุคคลอีกครั้ง เพื่อดูว่าเข้าข่ายขับรถผิดกฎจราจรข้อไหน ขับรถขณะดื่มสุรา ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด เข้าข่ายประมาท” นายตำรวจกล่าวเสียงราบเรียบแต่จริงจัง

ผู้หญิงสองวัยหน้าตาดียืนข้างเตียง สีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด หญิงกลางคนท่าทางจริงจัง จ้องตาดูกำนันสามีด้วยแววตาขุ่นเคือง

“บอกแล้วให้ไอ้เรืองขับรถให้ก็ไม่ฟัง อายุมากแล้วมันเพลีย มันง่วงได้” ผู้หญิงกลางคนยกมือขึ้นกอดอก กำนันนั่งก้มหน้าข้างเตียงอย่างอับจนคำพูด

“เออ อีกนิดที่เข้าใจกันไปคนละทาง ใครคนแรกเข้าไปช่วยกำนันออกจากรถ” นายตำรวจยิงคำถามสำคัญคาใจ

“เป็นคนผิวขาวหน้าตาดี สวมเสื้อขาวผูกไท้ แกถามอาการผมแล้วประคองให้มานั่งพักโคนต้นไม้ บอกจะโทร.แจ้งคนมาช่วย”

“เดี๋ยวๆ ไม่ใช่คนสวมแจ๊กเก็ตสีเทาเหรอ”

“ไม่ใช่ๆ คนสวมเสื้อแจ๊กเก็ตเป็นคนที่สอง ที่เดินเข้ามาช่วยเหลือที่โคนต้นไม้”

“ฮือ ผมเข้าใจแล้ว อะไรจริง อะไรเสริมแต่ง”

“คนสวมเสื้อแจ๊กเก็ตสีเทาเลยกลายเป็นฮีโร่ไปเลย” ดาบตำรวจข้างนายตำรวจ ผงกศีรษะให้ผู้บังคับบัญชาเล็กน้อยเชิงขออภัยที่สอดแทรก

“ว่าแต่กำนันรู้จักชายที่ช่วยออกมาจากรถไหม” นายตำรวจหยุดบันทึกเงยหน้าถามต่อ

“ผมไม่รู้จักชื่อนะ แต่หน้าคุ้นๆ เหมือนคนเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง ราว 2-3 ครั้ง เห็นแวบๆ นะครับ ไม่ได้คุยด้วย ผมพยายามนึก นึกยังไงก็ไม่ออก…แต่ผมจะพยายามสืบหาจนพบ ยังไม่ได้ขอบคุณอะไรเลย”

ทางบริษัทสินประกันชีวิต ไม่ทราบผลการสอบปากคำกำนันคนดังของตำรวจ ใครช่วยชีวิตกำนันคนดังเป็นคนแรก จึงได้กำหนดจะจัดงานมอบรางวัลแก่คนขับรถผู้มีจิตสาธารณะ ควรเป็นตัวอย่าง ได้ช่วยสร้างชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่ดีเยี่ยมแก่บริษัท กำหนดจัดงานตอนเย็นวันศุกร์ หลังหนังสือพิมพ์ลงข่าวได้ 2 วัน

ก่อนวันจัดงานเชิดชูเกียรติวีรบุรุษของบริษัทสินประกันชีวิต 1 วัน หนังสือพิมพ์ได้ลงข่าวกำนันคนดังรถคว่ำเพิ่มเติม สาระสำคัญว่า ผู้ชายหนุ่มหน้าตาดี สวมเสื้อขาวผูกไท้ ได้เข้ามาช่วยเหลือนำกำนันออกจากรถแล้วโทร.แจ้งคนมาช่วย ส่วนคนขับรถบริษัทสินประกันชีวิตเป็นคนที่สองที่เข้ามาช่วยเหลือ

กำนันคนดังได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว พร้อมนำเรื่องราวชายนิรนามติดตัวไปด้วย เขาเป็นคนหนุ่ม กำนันทบทวนในสมอง ลงไปช่วยชีวิตเราจากรถคว่ำ หน้าตาคุ้นๆ เขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน แม้ชื่อยังไม่รู้จัก ต้องตามให้พบ คนอย่างกำนันไม่เคยลืมคุณคน

หลังบริษัทสินประกันชีวิตทราบข้อมูลใหม่ว่า วีรบุรุษตัวจริงที่ช่วยชีวิตกำนัน เป็นหนุ่มหน้าตาดี สวมเสื้อขาว ไม่ใช่สวมเสื้อแจ๊กเก็ตสีเทาซึ่งเป็นคนขับรถของบรัษัท ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของบุคลากรในบริษัท ถึงความเหมาะสมถูกต้องในการจัดงาน แต่ผู้จัดการมีคำสั่งให้จัดงานที่โรงแรมต่อไป

หนังสือพิมพ์ฉบับทำสกู๊ปข่าวมาก่อน ได้ส่งผู้สื่อข่าวลงพื้นที่หาข้อมูลจนรู้ความจริง ใครคือวีรบุรุษตัวจริง หวังเพิ่มยอดจำหน่ายการเสนอข่าวได้ลึกและรวดเร็วกว่าฉบับอื่น ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปสัมภาษณ์

“ทำไมคุณไม่บอกว่าเป็นคนลงไปช่วยเหลือกำนันดังเป็นคนแรก ไม่บอกชื่อ ไม่บอกสถานที่ทำงาน รวมทั้งเรื่องราวของตน”

“…เอาเป็นว่า ผมไม่อยากดังอยากเด่น เป็นจุดสนใจ อะไรถูกต้องดีงามก็ทำไป ไม่ต้องการประกาศชื่อ รับโล่รางวัลหรือออกสื่อ ก็เท่านั้นแหละครับ”

“ปิดทองหลังพระ เป็นวีรบุรุษนิรนาม อย่างนั้นหรือครับ”

เสียงผู้สื่อข่าวคล้ายเสียดสีเล็กน้อย วีรบุรุษตัวจริงยังคงอารมณ์เย็น ไม่ตอบคำถาม ขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งพูดต่อ

“เปล่า เปล่าเลย ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ขอพูดถึงรายการโทรทัศน์ช่องหนึ่งที่มีคนดูทั่วประเทศมากที่สุด คุณอาจเคยดู เขาเชิญคนเด่นดังหลายอาชีพมาสวมหน้ากาก ร้องเพลงให้คณะกรรมการและคนดูในห้องส่งฟัง ฟังเสียงอย่างเดียวโดยไม่เห็นหน้าตาว่าเป็นใคร มีอาชีพการงานอะไร ตัดสินผลงานด้วยเสียงอย่างเดียว ใครร้องดีประทับใจ คนดูก็ปรบมือให้กระหึ่มห้องส่ง…

ผมขอเป็นนักร้องที่สวมหน้ากากอย่างพวกเขา…แค่นั้นครับ”