หงส์เหินลม (6)

ญาดา อารัมภีร
ภาพประกอบ : "มหาเวสสันดรชาดก" กัณฑ์ที่ 11 กัณฑ์มหาราช

อากัปกิริยาของหงส์ไม่ว่าจะเยื้องกราย เหาะเหิน หรือบินร่อนลงเล่นน้ำในสระล้วนตรึงตาตรึงใจผู้พบเห็น วรรณคดีเปรียบการเดินที่งามสง่ากับลีลาของหงส์ โดยเฉพาะเปรียบท่าทางเดินของคนกับลีลาการเหินของหงส์

ดังจะเห็นได้จาก “เพลงยาวความเก่า” จาก หนังสือวชิรญาณ

“โฉมหอมหอมเหินเวหาหวน

แต่โหยหามิได้เว้นทิวาครวญ ควรสงวนเนตรทัศนานาง

งามเสงี่ยมเอี่ยมอิ่มชอ้อนพักตร์ เจริญรักมิได้เอื้อนอางขนาง

งามศักดิ์งามสรรพสรรพางค์ ดำเนินนางอย่างเหมราชบิน” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

ตัวอย่างข้างต้นเปรียบอาการเดินของนางผู้เป็นที่รักว่าสง่างามดุจหงส์ทองเหินบิน

น่าสังเกตว่ากวีนิยมนำการเหินการร่อนของพระยาหงส์มาพรรณนาอิริยาบถการเดินของตัวละครที่เป็นกษัตริย์ทั้งชายและหญิง ดังที่บทละครในเรื่อง “รามเกียรติ์” พระราชนิพนธ์รัชกาลที่1 เล่าถึงพระราม พระลักษมณ์ทรงอาบน้ำและแต่งองค์เตรียมไปเฝ้าท้าวมาลีวราช โดยประทับพาหนะที่พระอินทร์ส่งมารับ กวีเปรียบลีลาการเดินที่สง่างามของสองพี่น้องกับการเหาะเหินของหงส์ ดังนี้

“สองกษัตริย์ชำระสระสนาน สุคนธาธารทิพย์บุปผา

สนับเพลาเครือหงส์อลงการ์ ภูษาต่างสีท้องพัน

ต่างทรงชายไหวชายแครง ฉลององค์ลายแย่งสังเวียนคั่น

ตาบทิศทับทรวงสังวาลวัลย์ พาหุรัดกุดั่นทองกร

สอดใส่ธำมรงค์เรือนเก็จ มงกุฎเพชรจำรัสประภัสสร

ห้อยพวงมาลัยกรรเจียกจร ดอกไม้ทัดอรชรด้วยโกมิน

พระเชษฐานั้นทรงพรหมาสตร์ พระลักษมณ์จับพลายวาตธนูศิลป์

สององค์กรายกรดั่งหงส์บิน มาขึ้นรถอมรินทร์อลงการ” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

พระรามทูลท้าวมาลีวราชว่าพระยายักษ์ทศกัณฐ์ใช้อุบายลับ ลวง พราง ลักพานางสีดามเหสีของพระองค์ไปไว้ที่กรุงลงกา

พระรามได้ส่งองคตถือสารไปแจ้งให้ส่งนางคืน ทศกัณฐ์หายินยอมไม่ ตรงกันข้าม กลับบิดเบือนความจริงกลับดำเป็นขาว โดยทูลท้าวมาลีวราชว่าไปเที่ยวป่าพบนางสีดาอยู่ตามลำพัง ‘ไร้ทั้งบิตุเรศมารดร คู่ครองบังอรหามีไม่ ตัวข้าเมตตารับมาไว้ ให้อยู่ในสวนอุทยาน’

เมื่อคำให้การทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกัน ท้าวมาลีวราชจึงให้พระวิษณุกรรมไปเชิญ ‘คนกลาง’ คือนางสีดา มาซักถามความจริง

ในเวลาเดียวกัน ทศกัณฐ์ให้ยักษ์มโหทรนำบุษบกแก้วงามวิจิตรไปรับนางจากสวนกรุงลงกา

บุษบกทำหน้าที่อย่างฉับไว ‘ลอยลิ่วปลิวไปดั่งลมพัด’ เมื่อบุษบกแก้วร่อนลง กวีพรรณนาว่าสง่างามราวกับพระยาหงส์ร่อนจากฟ้ามาสู่ดิน

“ครั้นถึงลงจากอากาศ งามเพียงดั่งราชหงส์ร่อน

สถิตยังหน้ารถอลงกรณ์ ภูธรอัยกาธิบดี”

จากตัวอย่างที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่านอกจากกวีจะนำลีลาพระยาหงส์ยามร่อนสู่เบื้องล่างมาเทียบกับอาการเดินของตัวละครแล้ว ยังนำมาเทียบกับการร่อนลงของพาหนะวิเศษอีกด้วย

 

การเปรียบอากัปกิริยาการเดินของตัวละครว่างามสง่าราวพระยาหงส์ มิใช่มีเพียงเรื่อง “รามเกียรติ์” เท่านั้น บทละครรำเรื่อง “อิเหนา” พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 2 ก็มีอยู่หลายตอน ดังจะเห็นได้จากตอนที่ช่างเขียนของจรกามาแอบวาดรูปนางบุษบาเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกวาดไม่สำเร็จเนื่องจากเจ้าตัวมัวแต่ตะลึงมองรูปลักษณ์งามล้ำของนางบุษบาที่มี ‘พักตราเศร้าสร้อยแสนทวี’

มาครั้งนี้แม้นางบุษบาจะงดงามสุดพรรณนาในเครื่องทรงเต็มยศสมศักดิ์พระราชบุตรี แต่ช่างเขียนตั้งสติทัน การวาดจึงผ่านพ้นไปด้วยดี

“บัดนั้น นายช่างชำนาญการเลขา

เห็นเทวีทรงเครื่องเรืองรจนา โสภาผุดผ่องละอององค์

ตั้งตาพินิจพิศดูนาง เยื้องย่างยุรยาตรดังราชหงส์

จึงคลี่กระดาษวาดรูปโฉมยง เหมือนทั่วทั้งองค์อินทรีย์”

สียะตรา น้องชายนางบุษบาก็มีกิริยาอาการเดินงามสง่าราวพระยาหงส์เช่นเดียวกับพี่สาว ดังจะเห็นได้จากตอนที่สียะตราเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวป่า เมื่อแต่งองค์เสร็จแล้ว ภาพของสียะตราก็เป็นดังที่กวีบรรยายว่า

“ถือเช็ดหน้าเหน็บกริชฤทธิรอน กรายกรยุรยาตรดังราชหงส์

มาทรงสินธพชาติอาจอง ให้เดินพลจตุรงค์ธงเทียว”

 

นอกจากนี้ นิทานคำกลอนเรื่อง “สิงหไตรภพ” ตอนที่ท้าวจัตุพักตร์ พระยายักษ์ตาย พระสิงหไตรภพและพราหมณ์เทพจินดาเตรียมตัวไปเมืองมารัน เพื่อนำพระศพท้าวจัตุพักตร์ไปให้พระมเหสีสร้อยสุดาจัดการถวายพระเพลิงตามประเพณี สุนทรภู่เปรียบกิริยาอาการเดินของคนทั้งสองว่างามสง่าดังพระยาหงส์

“ป่างพระองค์ทรงโฉมประโลมสวาท กับอุปราชอ่าองค์สรงสนาน

ประดับเครื่องเรืองจรัสชัชวาล แก้วประพาฬเพชรพรายกระจายวง

ครั้นเสร็จสรรพจับพระขรรค์กัลเม็ด สองเสด็จยุรยาตรดังราชหงส์” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

ลีลาของหงส์กับความงามสง่าเป็นของคู่กัน โดยเฉพาะการเหาะเหินและการร่อนลงนั้นต้องอาศัยปีกเป็นหลัก ถ้าขาดปีก หรือปีกไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ย่อมบินไม่ได้

สำนวน ‘หงส์ปีกหัก’ ใช้กับบุคคลสูงศักดิ์ที่ ชะตาชีวิตพลิกผัน ต้องมาตกต่ำตกอับไม่ต่างอะไรกับหงส์ปีกหักที่สูญสิ้นความสง่างาม

 

เสภาเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” ใช้สำนวนนี้ตอนนางวันทองประณามตนเองว่าไม่ควรทะเลาะวิวาทตัดขาดขุนแผนเพราะความหึงหวง จนทำให้ขุนแผนเข้าใจผิดคิดว่านางรักขุนช้างผัวใหม่ แล้วมาพาลด่าขุนแผนและนางลาวทองอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้ขุนแผนตัดขาดนางวันทองทั้งๆ ที่นางอุตส่าห์ครองตนรอขุนแผน แม้ถูกแม่บังคับให้แต่งงานกับขุนช้างแล้ว นางก็ยังไม่ยอมเข้าหอให้มีราคีติดตัว

“สงวนตัวท่าผัวไว้เท่าไร พอได้พบผัวก็เกิดความ

จะโทษผัวว่าชั่วกระไรได้ สาแก่ใจวาจาเราหยาบหยาม

ทีนี้และหน้าเป็นทาคราม ผัวห้ามยังฮึกไม่เห็นภัย

สารพัดตัดเด็ดสำเร็จขาด ประมาทนักหักป่นไม่ทนได้

ดังไม้สูงสุดเพื่อนไม่พึ่งใคร ลมประลัยพานพัดก็พังลง

โอ้แต่นี้อกวันทองเอ๋ย ไม่ควรเลยที่จะแหลกเป็นผุยผง

จะครองตัวไว้ไยให้คืนคง เสมือนหงส์ปีกหักลงปลักตม

สุดสิ้นสีทองที่ผ่องแผ้ว จะกลายเป็นกาแล้วเพราะขื่นขม

เชื้อหงส์พงศ์เผ่าจะพาจม เพราะคารมจึงได้ร้อนรำคาญใจ”

นางวันทองเปรียบสภาพตนเองยามนี้กับหงส์ปีกหัก บินไม่ได้ ทั้งยังตกลงในแอ่งโคลนสกปรก จากที่เคยเป็นหงส์ทองขนสุกปลั่งดังทองคำ จะต้องกลายเป็นกาดำใช้ชีวิตร่วมกับคนอัปลักษณ์เช่นขุนช้าง ตกที่นั่งหญิงสองผัวสิ้นความสง่างามเยี่ยงหงส์ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลจากคำพูดของนางแท้ๆ

 

ยิ่งไปกว่านั้น “มหาเวสสันดรชาดก” ทานกัณฑ์ พระนางผุสดีทูลทัดทานพระเจ้ากรุงสญชัยพระสวามี ว่าควรไตร่ตรองให้ดี อย่าหลงเชื่อคำของพูดของเสนาข้าราชบริพารและชาวเมืองสีพีที่บีบบังคับให้เนรเทศขับพระเวสสันดรพระโอรสออกจากเมืองเนื่องจากมอบช้างปัจจัยนาค ช้างคู่เมืองให้พราหมณ์ชาวกลิงคราษฎร์ โดยให้เหตุผลว่าหากทรงทำเช่นนั้นพระองค์จะมีสภาพดังพระยาหงส์ปีกหักตกแอ่งหนอง ถูกเสนาข้าราชบริพารที่เปรียบเสมือนฝูงกาเข้ามารุมเล่นงาน

“อนึ่งเล่าพระพุทธเจ้าข้า เสนาน้อยใหญ่ยากที่จะครองใจที่ตรงจริง มีบุญเขาก็จะวิ่งเข้ามาเป็นข้า พึ่งพระเดชเดชาให้ใช้สอย เฝ้าป้อยอสอพลอพลอยทุกเช้าค่ำ ยามเมื่อเพลี่ยงพล้ำเขาก็จะช่วยกันกระหน่ำซ้ำซ้อมซัก หํโส นิกฺขีณปตฺโตว ดั่งราชหงส์ปีกหักตกปลักหนอง กาแกก็จะแซ่ซ้องเข้าสาวไส้ พระองค์จงทรงพระวินิจฉัยอย่าเชื่อคำชาวเมืองมันย้อมยำยุยง”

คุยเรื่อง ‘หงส์’ แค่หอมปากหอมคอ จะคุยอะไรต่อ ติดตามฉบับหน้า •

 

จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร