ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 พฤศจิกายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | จ๋าจ๊ะ วรรณคดี |
ผู้เขียน | ญาดา อารัมภีร |
เผยแพร่ |
อากัปกิริยาของหงส์ไม่ว่าจะเยื้องกราย เหาะเหิน หรือบินร่อนลงเล่นน้ำในสระล้วนตรึงตาตรึงใจผู้พบเห็น วรรณคดีเปรียบการเดินที่งามสง่ากับลีลาของหงส์ โดยเฉพาะเปรียบท่าทางเดินของคนกับลีลาการเหินของหงส์
ดังจะเห็นได้จาก “เพลงยาวความเก่า” จาก หนังสือวชิรญาณ
“โฉมหอมหอมเหินเวหาหวน
แต่โหยหามิได้เว้นทิวาครวญ ควรสงวนเนตรทัศนานาง
งามเสงี่ยมเอี่ยมอิ่มชอ้อนพักตร์ เจริญรักมิได้เอื้อนอางขนาง
งามศักดิ์งามสรรพสรรพางค์ ดำเนินนางอย่างเหมราชบิน” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
ตัวอย่างข้างต้นเปรียบอาการเดินของนางผู้เป็นที่รักว่าสง่างามดุจหงส์ทองเหินบิน
น่าสังเกตว่ากวีนิยมนำการเหินการร่อนของพระยาหงส์มาพรรณนาอิริยาบถการเดินของตัวละครที่เป็นกษัตริย์ทั้งชายและหญิง ดังที่บทละครในเรื่อง “รามเกียรติ์” พระราชนิพนธ์รัชกาลที่1 เล่าถึงพระราม พระลักษมณ์ทรงอาบน้ำและแต่งองค์เตรียมไปเฝ้าท้าวมาลีวราช โดยประทับพาหนะที่พระอินทร์ส่งมารับ กวีเปรียบลีลาการเดินที่สง่างามของสองพี่น้องกับการเหาะเหินของหงส์ ดังนี้
“สองกษัตริย์ชำระสระสนาน สุคนธาธารทิพย์บุปผา
สนับเพลาเครือหงส์อลงการ์ ภูษาต่างสีท้องพัน
ต่างทรงชายไหวชายแครง ฉลององค์ลายแย่งสังเวียนคั่น
ตาบทิศทับทรวงสังวาลวัลย์ พาหุรัดกุดั่นทองกร
สอดใส่ธำมรงค์เรือนเก็จ มงกุฎเพชรจำรัสประภัสสร
ห้อยพวงมาลัยกรรเจียกจร ดอกไม้ทัดอรชรด้วยโกมิน
พระเชษฐานั้นทรงพรหมาสตร์ พระลักษมณ์จับพลายวาตธนูศิลป์
สององค์กรายกรดั่งหงส์บิน มาขึ้นรถอมรินทร์อลงการ” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
พระรามทูลท้าวมาลีวราชว่าพระยายักษ์ทศกัณฐ์ใช้อุบายลับ ลวง พราง ลักพานางสีดามเหสีของพระองค์ไปไว้ที่กรุงลงกา
พระรามได้ส่งองคตถือสารไปแจ้งให้ส่งนางคืน ทศกัณฐ์หายินยอมไม่ ตรงกันข้าม กลับบิดเบือนความจริงกลับดำเป็นขาว โดยทูลท้าวมาลีวราชว่าไปเที่ยวป่าพบนางสีดาอยู่ตามลำพัง ‘ไร้ทั้งบิตุเรศมารดร คู่ครองบังอรหามีไม่ ตัวข้าเมตตารับมาไว้ ให้อยู่ในสวนอุทยาน’
เมื่อคำให้การทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกัน ท้าวมาลีวราชจึงให้พระวิษณุกรรมไปเชิญ ‘คนกลาง’ คือนางสีดา มาซักถามความจริง
ในเวลาเดียวกัน ทศกัณฐ์ให้ยักษ์มโหทรนำบุษบกแก้วงามวิจิตรไปรับนางจากสวนกรุงลงกา
บุษบกทำหน้าที่อย่างฉับไว ‘ลอยลิ่วปลิวไปดั่งลมพัด’ เมื่อบุษบกแก้วร่อนลง กวีพรรณนาว่าสง่างามราวกับพระยาหงส์ร่อนจากฟ้ามาสู่ดิน
“ครั้นถึงลงจากอากาศ งามเพียงดั่งราชหงส์ร่อน
สถิตยังหน้ารถอลงกรณ์ ภูธรอัยกาธิบดี”
จากตัวอย่างที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่านอกจากกวีจะนำลีลาพระยาหงส์ยามร่อนสู่เบื้องล่างมาเทียบกับอาการเดินของตัวละครแล้ว ยังนำมาเทียบกับการร่อนลงของพาหนะวิเศษอีกด้วย
การเปรียบอากัปกิริยาการเดินของตัวละครว่างามสง่าราวพระยาหงส์ มิใช่มีเพียงเรื่อง “รามเกียรติ์” เท่านั้น บทละครรำเรื่อง “อิเหนา” พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 2 ก็มีอยู่หลายตอน ดังจะเห็นได้จากตอนที่ช่างเขียนของจรกามาแอบวาดรูปนางบุษบาเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกวาดไม่สำเร็จเนื่องจากเจ้าตัวมัวแต่ตะลึงมองรูปลักษณ์งามล้ำของนางบุษบาที่มี ‘พักตราเศร้าสร้อยแสนทวี’
มาครั้งนี้แม้นางบุษบาจะงดงามสุดพรรณนาในเครื่องทรงเต็มยศสมศักดิ์พระราชบุตรี แต่ช่างเขียนตั้งสติทัน การวาดจึงผ่านพ้นไปด้วยดี
“บัดนั้น นายช่างชำนาญการเลขา
เห็นเทวีทรงเครื่องเรืองรจนา โสภาผุดผ่องละอององค์
ตั้งตาพินิจพิศดูนาง เยื้องย่างยุรยาตรดังราชหงส์
จึงคลี่กระดาษวาดรูปโฉมยง เหมือนทั่วทั้งองค์อินทรีย์”
สียะตรา น้องชายนางบุษบาก็มีกิริยาอาการเดินงามสง่าราวพระยาหงส์เช่นเดียวกับพี่สาว ดังจะเห็นได้จากตอนที่สียะตราเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวป่า เมื่อแต่งองค์เสร็จแล้ว ภาพของสียะตราก็เป็นดังที่กวีบรรยายว่า
“ถือเช็ดหน้าเหน็บกริชฤทธิรอน กรายกรยุรยาตรดังราชหงส์
มาทรงสินธพชาติอาจอง ให้เดินพลจตุรงค์ธงเทียว”
นอกจากนี้ นิทานคำกลอนเรื่อง “สิงหไตรภพ” ตอนที่ท้าวจัตุพักตร์ พระยายักษ์ตาย พระสิงหไตรภพและพราหมณ์เทพจินดาเตรียมตัวไปเมืองมารัน เพื่อนำพระศพท้าวจัตุพักตร์ไปให้พระมเหสีสร้อยสุดาจัดการถวายพระเพลิงตามประเพณี สุนทรภู่เปรียบกิริยาอาการเดินของคนทั้งสองว่างามสง่าดังพระยาหงส์
“ป่างพระองค์ทรงโฉมประโลมสวาท กับอุปราชอ่าองค์สรงสนาน
ประดับเครื่องเรืองจรัสชัชวาล แก้วประพาฬเพชรพรายกระจายวง
ครั้นเสร็จสรรพจับพระขรรค์กัลเม็ด สองเสด็จยุรยาตรดังราชหงส์” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
ลีลาของหงส์กับความงามสง่าเป็นของคู่กัน โดยเฉพาะการเหาะเหินและการร่อนลงนั้นต้องอาศัยปีกเป็นหลัก ถ้าขาดปีก หรือปีกไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ย่อมบินไม่ได้
สำนวน ‘หงส์ปีกหัก’ ใช้กับบุคคลสูงศักดิ์ที่ ชะตาชีวิตพลิกผัน ต้องมาตกต่ำตกอับไม่ต่างอะไรกับหงส์ปีกหักที่สูญสิ้นความสง่างาม
เสภาเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” ใช้สำนวนนี้ตอนนางวันทองประณามตนเองว่าไม่ควรทะเลาะวิวาทตัดขาดขุนแผนเพราะความหึงหวง จนทำให้ขุนแผนเข้าใจผิดคิดว่านางรักขุนช้างผัวใหม่ แล้วมาพาลด่าขุนแผนและนางลาวทองอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้ขุนแผนตัดขาดนางวันทองทั้งๆ ที่นางอุตส่าห์ครองตนรอขุนแผน แม้ถูกแม่บังคับให้แต่งงานกับขุนช้างแล้ว นางก็ยังไม่ยอมเข้าหอให้มีราคีติดตัว
“สงวนตัวท่าผัวไว้เท่าไร พอได้พบผัวก็เกิดความ
จะโทษผัวว่าชั่วกระไรได้ สาแก่ใจวาจาเราหยาบหยาม
ทีนี้และหน้าเป็นทาคราม ผัวห้ามยังฮึกไม่เห็นภัย
สารพัดตัดเด็ดสำเร็จขาด ประมาทนักหักป่นไม่ทนได้
ดังไม้สูงสุดเพื่อนไม่พึ่งใคร ลมประลัยพานพัดก็พังลง
โอ้แต่นี้อกวันทองเอ๋ย ไม่ควรเลยที่จะแหลกเป็นผุยผง
จะครองตัวไว้ไยให้คืนคง เสมือนหงส์ปีกหักลงปลักตม
สุดสิ้นสีทองที่ผ่องแผ้ว จะกลายเป็นกาแล้วเพราะขื่นขม
เชื้อหงส์พงศ์เผ่าจะพาจม เพราะคารมจึงได้ร้อนรำคาญใจ”
นางวันทองเปรียบสภาพตนเองยามนี้กับหงส์ปีกหัก บินไม่ได้ ทั้งยังตกลงในแอ่งโคลนสกปรก จากที่เคยเป็นหงส์ทองขนสุกปลั่งดังทองคำ จะต้องกลายเป็นกาดำใช้ชีวิตร่วมกับคนอัปลักษณ์เช่นขุนช้าง ตกที่นั่งหญิงสองผัวสิ้นความสง่างามเยี่ยงหงส์ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลจากคำพูดของนางแท้ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น “มหาเวสสันดรชาดก” ทานกัณฑ์ พระนางผุสดีทูลทัดทานพระเจ้ากรุงสญชัยพระสวามี ว่าควรไตร่ตรองให้ดี อย่าหลงเชื่อคำของพูดของเสนาข้าราชบริพารและชาวเมืองสีพีที่บีบบังคับให้เนรเทศขับพระเวสสันดรพระโอรสออกจากเมืองเนื่องจากมอบช้างปัจจัยนาค ช้างคู่เมืองให้พราหมณ์ชาวกลิงคราษฎร์ โดยให้เหตุผลว่าหากทรงทำเช่นนั้นพระองค์จะมีสภาพดังพระยาหงส์ปีกหักตกแอ่งหนอง ถูกเสนาข้าราชบริพารที่เปรียบเสมือนฝูงกาเข้ามารุมเล่นงาน
“อนึ่งเล่าพระพุทธเจ้าข้า เสนาน้อยใหญ่ยากที่จะครองใจที่ตรงจริง มีบุญเขาก็จะวิ่งเข้ามาเป็นข้า พึ่งพระเดชเดชาให้ใช้สอย เฝ้าป้อยอสอพลอพลอยทุกเช้าค่ำ ยามเมื่อเพลี่ยงพล้ำเขาก็จะช่วยกันกระหน่ำซ้ำซ้อมซัก หํโส นิกฺขีณปตฺโตว ดั่งราชหงส์ปีกหักตกปลักหนอง กาแกก็จะแซ่ซ้องเข้าสาวไส้ พระองค์จงทรงพระวินิจฉัยอย่าเชื่อคำชาวเมืองมันย้อมยำยุยง”
คุยเรื่อง ‘หงส์’ แค่หอมปากหอมคอ จะคุยอะไรต่อ ติดตามฉบับหน้า •
จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022