ยุทธการ 22 สิงหา : เปิดฉาก ลอบสังหาร องคมนตรี เส้นทางวิบาก ‘เนวิน+อภิสิทธิ์’

(Photo by THAI GOVERNMENT HOUSE / THAI GOVERNMENT HOUSE / AFP)

ที่น่าสนใจมิได้อยู่กับการชุมนุม “แดงทั้งแผ่นดิน” ในวันที่ 8 เมษายน อย่างที่รับรู้กันหากแต่เป็นการเคลื่อนไหวก่อนวันที่ 8 เมษายน

เริ่มตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมมือปืน 3 คนที่ต้องสงสัยว่ารับงานสังหาร นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรีซึ่งเป็นอดีตประธานศาลฎีกา และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระ ทรวงยุติธรรมในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์

หนังสือ “บันทึกประเทศไทย ปี 2552” ของ “มติชน” ระบุว่า

โดยคนร้ายเตรียมก่อเหตุบริเวณหน้าบ้านพักของ นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ย่านถนนสุขสวัสดิ์ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ

คนร้าย 2 คนแรก คือ นายศักดิ์ชาย แซ่ลิ้ม มือปืน นายภาณุพงษ์ รัตนาไพฑูรย์ คนขับขี่รถจักรยานยนต์ และต่อมาได้จับกุม นายคมิก สุขกาญนภาศ หรือ “จ่าเหน่ง” คนชี้เป้าและติดต่อมือปืน

ผู้ต้องหาทุกคนยอมรับสารภาพว่ามีคนจ้างวานให้มายิง นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ในราคา 500,000 บาท โดยที่กลุ่มมือปืนไม่ทราบว่าเป้าหมายเป็นถึงองคมนตรี

วันที่ 7 เมษายน ตำรวจเข้าควบคุมตัว พ.ต.เทียนชัย เมืองจันทึก 1 ในผู้จ้างวานฆ่า

 

ขณะเดียวกัน เมื่อเวลา 13.30 น. ของวันที่ 7 เมษายน นายเนวิน ชิดชอบ ได้แถลงข่าวเปิดใจที่ห้องรัตนโกสินทร์ โรงแรมสยามซิตี้

มูลเชื้ออันทำให้จำเป็นต้องแถลงข่าวในลักษณะเปิดใจมาจาก “แดงทั้งแผ่นดิน”

นายเนวิน ชิดชอบ ระบุว่า ที่จำเป็นต้องแถลงข่าวเปิดใจมาจากกรณีที่ถูกคนเสื้อแดงพาดพิงบนเวที “แดงทั้งแผ่นดิน” อย่างหนักเมื่อคืนวันที่ 5 เมษายน

หนังสือ “บันทึกประเทศไทย ปี 2552” ของ “มติชน” มิได้นำเสนอรายละเอียดจากคำแถลงของ นายเนวิน ชิดชอบ หากพาดหัวเพียงว่า “เนวิน” ร่ำไห้แถลง เพียงแต่บรรยายภายใต้ภาพว่า นายเนวิน ชิดชอบ กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หักหลัง นายสมัคร สุนทรเวช เมื่อครั้งโหวตจะเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการแถลงข่าว นายเนวิน ชิดชอบ กลั้นอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ไม่อยู่จนต้องหลั่งน้ำตาออกมา

ยิ่งกว่านั้น เนื้อหาสำคัญหนึ่งในการแถลงของ นายเนวิน ชิดชอบ ก็คือ การเตือนประชาชนที่จะเข้าร่วมการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 8 เมษายน ว่า อาจเกิดเหตุรุนแรงขึ้น

เป้าหมายก็คือ ต้องการสกัดมิให้การนัดหมายชุมนุมใหญ่ของ “แดงทั้งแผ่นดิน” ในวันที่ 8 เมษายน มิให้ดำเนินไปและบรรลุโดยราบรื่น

 

ขณะเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เผชิญกับอีกสถานการณ์หนึ่ง

หากย้อนไปอ่านจากหนังสือ “ความจริงไม่มีสี” เปืดเผยวิกฤตปี 2552-2553 แบบ “อินไซด์” ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บันทึกจากใจไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ก็ยิ่งเพิ่มความร้อนแรง

7 เมษายน 2552 ผมเดินทางไปประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท พัทยา จังหวัดชลบุรี ถือเป็นการทดสอบความพร้อมก่อนใช้สถานที่จัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน

จำได้ว่า ทางขึ้นโรงแรมรอยัล คลิฟฯ ขึ้นไปได้สองทาง ขาไปทุกอย่างเรียบร้อย แต่มีปัญหาขากลับ

ผมพูดเล่นเสมอว่า ที่เขาว่าไม่ให้ไปไหนไม่ต้องกลัว แต่ควรกลัวว่าเขาจะไม่ให้กลับ ตอนขึ้นเขาไปที่โรงแรมทุกอย่างปกติดีไม่มีอะไรรุนแรงแม้จะเห็นคนเสื้อแดงรวมกลุ่มดักอยู่ตีนเขาบ้าง ตามรายทางบ้าง ก็คิดว่าคงจะมายื่นหนังสือร้องเรียนปกติ

เสร็จภารกิจ ตอนบ่ายมีกำหนดการบรรยายในการประชุมที่รัฐสภา ผมนั่งรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (บีเอ็มดับเบิลยู สีดำ เลขทะเบียน ษท 9201) ออกจากโรงแรมรอยัล คลิฟฯ ลงมาตามทางลาดลงเขา

แต่ไม่ได้ลงทางเดิมกับตอนที่ขึ้น ผมสงสัยก็ถาม “เอ๊ะ ไม่ลงทางเดิมเหรอ เห็นทางเดิมขึ้นมาไม่มีอะไร”

เจ้าหน้าที่บอกว่า ประสานแล้วให้ลงทางนี้

อืมม เจ้าหน้าที่เขาคงตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็ไม่ติดใจ แต่แล้วก็ต้องเอะใจเลี้ยวมาทางนั้นปั๊บ ไม่นานก็พบรถขนคนเสื้อแดงจอดรถอยู่ตามข้างทางหลายคัน

พอรถที่ผมนั่งวิ่งผ่านเขาออกรถตามมาทันที ตามมาเรื่อยๆ

ผมอยู่ในรถก็ไม่คิดอะไรมาก คิดถึงงานที่จะเข้าไปบรรยายมากกว่า ทำตัวปกติ คือ ฟังเพลงไปพลาง นั่งอ่านแฟ้มไปพลาง คิดเตรียมประเด็นที่จะพูดอยู่เบาะหลังคนเดียว

พอรถวิ่งมาถึงสี่แยก ปรากฏว่ารถติดไฟแดง ตอนแรกก็ไม่แปลกเพราะปกติ

ไปไหนมาไหนผมไม่ได้ใช้วิธีว่าต้องเดินทางแบบไม่ติดไฟแดงอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น ติดไฟแดงก็ไม่ผิดปกติสำหรับผม แต่เริ่มผิดปกติเมื่อตำรวจติดตามเขานั่งอยู่เบาะหน้าข้างคนขับพูดคุยทางวิทยุสื่อสาร

ก่อนจะหันมาบอกว่า “ต้องเปลี่ยนรถ”

ผมมองผ่านกระจกหน้าไปเห็นมีกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ข้างหลังก็รู้ว่าเขาตามมาหลายคันรถ

“จะให้ไปคันไหน”

ผมถามเสร็จเขาก็ชี้ไปที่รถโตโยต้า พราโด้ (เลขทะเบียน ศท 9210) ของตำรวจที่ขับนำหน้ารถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นครั้งแรกที่ต้องย้ายระหว่างเดินทางปฏิบัติภารกิจในฐานะนายกรัฐมนตรี

แต่ผมก็เอ้า ย้ายก็ย้าย

ตอนนั้นเปิดประตูลงเดินบนถนนเพื่อจะเปลี่ยนรถผมยังคงก้มหน้าตาอ่านแฟ้มเพราะไม่คิดว่าจะมีอะไรร้ายแรงจริงๆ

ภายหลังมีคนมาบอกว่า ผมชะล่าใจเกินไป

ยังเดินอ่านแฟ้ม หากใครวิ่งเข้ามาเร็วกว่านี้ก็อาจจะถึงตัวทันที

แต่หลังจากขึ้นรถอีกคัน ออกรถไปไม่นานก็ติดไฟแดงอีก ตอนนี้รู้สึกว่าไม่ปกติแล้ว

มองไปข้างนอก เริ่มมีการระดมคนเข้ามามาขึ้น

คนขับพยายามจะออกรถ พยายามจะฝ่าออกไป แต่ปรากฏว่ามีคนเอามอเตอร์ไซค์เข้ามาขวางทางรถไว้

จงใจเพื่อให้ชน แล้วก็โวยวายว่ารถไปชนมอเตอร์ไซค์

สถานการณ์เริ่มชุลมุน รถยักแย่ยักยันอยู่ตรงนั้น มีการเข้ามาข้างรถ ขว้างสิ่งของ

แล้วก็มีการทุบกระจกข้างหลังแตก

ผมอยู่ในรถ นั่งเบาะหลัง มีเสียงวิทยุสื่อสารของเจ้าหน้าที่ดังอยู่ตลอดเวลา เหมือนตัวเองเป็นเป้าอยู่ในกล่องกระจก

ลุ้นระทึกกับสถานการณ์รอบตัว

แต่ในที่สุด รถก็หลุดออกมาได้อย่างหวุดหวิด ฉิวเฉียดเต็มที พอหนีออกมาได้เขาก็ขับรถพาไปเรื่อยๆ ก่อนจะไปจอดรอเปลี่ยนรถอยู่แถวมอเตอร์เวย์

เพราะคันนี้กระจกหลังมันถูกทุบแตกไปแล้ว

ผมนึกสงสัย ถ้าวันนั้นเกิดติดไฟแดงอยู่ตรงนั้นแล้วคนรุมเข้ามามากๆ ไม่รู้จะรุนแรงแค่ไหน คงจะมีคนเจ็บหรือตาย

ผมอาจจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทยที่ตายกลางถนน

 

วันที่ 7 เมษายน 2552 จึงเป็นวันอันทรงความหมายเป็นอย่างสูงหากมองจากทางด้านของรัฐบาล

ไม่เพียงแต่เพิ่งผ่าน “ข่าว” การพยายามลอบสังหาร “องคมนตรี”

ไม่เพียงแต่ นายเนวิน ชิดชอบ เพิ่งประสบกับการกระหน่ำอย่างรุนแรงจากบนเวทีปราศรัย “แดงทั้งแผ่นดิน” บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล

หาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ใจหายใจคว่ำ

เป็นความใจหายใจคว่ำภายใต้วงล้อมอันแข็งแกร่งแน่นหนาของ “คนเสื้อแดง” ซึ่งเปี่ยมด้วยความโกรธแค้น

นี่คือสถานการณ์ก่อนถึงวันที่ 8 เมษายน 2552