พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ | มองภาพใหญ่ : รีวิวฉบับกระเป๋า ปี 2567 ปีแห่งการเลือกตั้งโลก

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

ผมทราบดีว่า ท่านผู้เขียนทุกคน ทุกสื่อมวลชน นักวิชาการคงกำลังพูดถึงผลการเลือกตั้งในสหรัฐ และผลกระทบต่อไทย เจาะลึกทุกแง่มุมแบบ zoom in กันจนแทบจะวิเคราะห์กันซ้ำแล้วซ้ำอีก และท่านผู้อ่านก็คงจะเริ่มเบื่อถ้าเปิดมติชนสุดสัปดาห์มา ทุกคนเขียนแต่เรื่องนี้

ประจวบเหมาะกับตอนนี้ถึงเดือนพฤศจิกายน จะครบปีแล้ว ผมจึงขอเปลี่ยนมุมมองเป็นแบบ zoom out ดูภาพใหญ่แทน เพราะเหลือเวลาอีกแค่หนึ่งเดือนก่อนจะสิ้นปีแล้ว นี่จึงเป็นเวลาที่ดีในการทบทวนภาพรวมของปีที่กำลังจะผ่านไป

เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาพิเศษของ “ปีแห่งการเลือกตั้งครั้งใหญ่” หรือ super-cycle ที่มีประชากรกว่า 4 พันล้านคนทั่วโลกเข้าร่วมเลือกตั้งใน 70 ประเทศ ทั้งประเทศขนาดใหญ่อย่างสหรัฐ อินเดีย อินโดนีเซีย จนถึง ลิทัวเนีย มอลโดวา ศรีลังกา ต่างก็ตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะส่งผลกระทบในระดับโลก

จริงๆ ก็ยังไม่จบ ยังมีการเลือกตั้งในเยอรมนีใกล้จะมาถึง สิ่งที่ชัดเจนคือ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงส่งผลต่อภูมิรัฐศาสตร์ระดับสูง แต่จะยังส่งผลถึงชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วไป ตั้งแต่เกษตรกร เจ้าของร้านค้า แรงงาน และนักเรียน การตัดสินใจที่เกิดขึ้นในปีนี้จะมีส่วนกำหนดอนาคตในรูปแบบที่เราอาจยังมองไม่เห็นในขณะนี้

ดังนั้น ขอให้ผมเล่าในสไตล์ “ยังไง ไหนเล่า” ถึงเหตุการณ์สำคัญสามเรื่องในสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ช่วยให้ผมได้ทบทวนมุมมองภาพใหญ่เหล่านี้

เริ่มต้นที่งานเสวนาที่ Harvard ซึ่งผมได้ร่วมอภิปรายกับผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน ได้แก่ ฟาตีมา ซูมาร์ ผู้อำนวยการ Harvard CID, ไฮ เหงียน จากโครงการศึกษาสงครามเวียดนาม และแมทเทียส ฟิบบิเกอร์ ศาสตราจารย์จาก Harvard Business School เราได้สำรวจประเด็นใหญ่ในด้านการค้าและความมั่นคง จากนั้น ผมได้มีโอกาสสนทนาเจาะลึกกับศาสตราจารย์จอห์น ดี. สเปงเลอร์ ผู้บุกเบิกงานด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อม ผู้ซึ่งวิจัยเรื่องคุณภาพอากาศและการเผชิญกับความร้อน ชี้ให้เห็นถึงความเร่งด่วนในการดำเนินการด้านภูมิอากาศ

สุดท้าย ผมเดินทางไป Georgetown University พูดคุยกับศาสตราจารย์ยูกิ ทาจิมะ ผู้อำนวยการโครงการศึกษาภูมิภาคเอเชีย เกี่ยวกับบทบาทที่เพิ่มขึ้นของอินโดนีเซียและการเปลี่ยนแปลงภายใน ASEAN

การสนทนาครั้งนี้ทำให้ผมได้มุมมองด้านการค้า ความมั่นคง ภูมิอากาศ และการเมืองที่เปลี่ยนแปลง-มุมมองที่ประเทศไทยและ ASEAN จำเป็นต้องพิจารณาในขณะที่เราก้าวผ่านความเป็นจริงใหม่ในระดับโลกนี้ ดังนั้น เรามาดูภาพรวมของประเด็นใหญ่ๆ เหล่านี้กันดีกว่า ว่าจะมีความเชื่อมโยงกับชีวิตของผู้คนอย่างไรบ้าง

เชิงเศรษฐกิจ
: Trade, Tariff, and Trump

การค้าเป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจไทย โดยการส่งออกคิดเป็นเกือบ 60% ของ GDP ในปีที่แล้ว มูลค่าการค้าของไทยอยู่ที่ประมาณ 570 พันล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงลึกซึ้งกับตลาดโลก

แต่การเชื่อมโยงนี้เป็นดาบสองคม โดยเฉพาะเมื่อแนวโน้มการกีดกันทางการค้าเริ่มเพิ่มขึ้นและสิ่งแวดล้อมการค้ายังคงไม่แน่นอน

เพื่อจัดการกับสถานการณ์นี้ ไทยสามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างการค้า “20-40-40” ซึ่งปัจจุบัน 20% ของการค้าอยู่ใน ASEAN, 40% อยู่ในเอเชียที่กว้างขึ้น และ 40% กับโลกกว้าง รวมถึงสหรัฐ ยุโรป และออสเตรเลีย โครงสร้างนี้จำเป็นต้องปรับให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การขยายการค้าใน ASEAN จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งในภูมิภาคและลดความผันผวนจากตลาดขนาดใหญ่

การค้าที่มาจากเอเชีย (inter-Asia) โดยเฉพาะกับจีน ญี่ปุ่น และอินเดีย คิดเป็น 40% ของการค้าทั้งหมด แต่เราควรกระจายการค้าในภูมิภาคนี้โดยไม่พึ่งพาตลาดใดมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับเกาหลีใต้หรือขยายพันธมิตรในเอเชียใต้

ส่วน 40% สุดท้ายของการค้า-ที่มาจากตลาดโลกโดยรวม-ก็ต้องการการกระจายตัวเช่นกัน ด้วยการที่ทรัมป์อาจกลับเข้าสู่เวทีการเมือง นโยบายการค้าของสหรัฐอาจนำไปสู่ความไม่แน่นอนมากขึ้น ไทยอยู่ในอันดับที่ 12 ในการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่าบิดเบือนค่าเงิน และอาจกลายเป็นประตูหลังสำหรับสินค้าจีนในการหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐ

การสร้างความสัมพันธ์การค้าใหม่กับภูมิภาคที่ยังไม่ค่อยมีการค้า เช่น แอฟริกาและอเมริกาใต้ อาจช่วยไทยลดความเสี่ยงนี้ได้

เชิงความมั่นคง
: Pay for Protection Security

ความมั่นคงเป็นประเด็นสำคัญสำหรับ ASEAN โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้ ซึ่งกว่า 90% ของพลังงานนำเข้าของจีนต้องผ่านพื้นที่นี้

ASEAN มักจะยึดมั่นในจุดยืนที่เป็นกลาง แต่การเปลี่ยนแปลงในระดับโลกทำให้สถานการณ์ความมั่นคงเปลี่ยนแปลง กลุ่ม Quad (สหรัฐ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย) กำลังมีบทบาทมากขึ้น ซึ่งอาจเปลี่ยนโฉมหน้าความมั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดนีเซียภายใต้ประธานาธิบดีโจโกวี กำลังแสดงบทบาทสำคัญทั้งใน ASEAN และในฐานะผู้นำที่เสริมสร้างเสถียรภาพในภูมิภาค

โมเดล “Pay for Protection” ที่ประเทศต่างๆ ต้องเจรจาต่อรองเพื่อความมั่นคงโดยตรง แทนที่จะพึ่งพากรอบความร่วมมือระดับพหุภาคี กำลังมีความสำคัญมากขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศอย่างอินโดนีเซียเริ่มเจรจาข้อตกลงเฉพาะตัวเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง สำหรับไทยแล้ว การรักษาความสัมพันธ์ในระดับสมดุลกับประเทศต่างๆ ในขณะที่ยังสนับสนุนเอกภาพของ ASEAN ถือเป็นความท้าทายสำคัญ

ASEAN มีจุดแข็งที่การร่วมมือกัน แต่การทำงานในสภาพแวดล้อมปัจจุบันต้องการความยืดหยุ่น ไทยมีโอกาสที่จะมีบทบาทในการสร้างเสถียรภาพให้ภูมิภาคนี้ ขณะที่สร้างพันธมิตรที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชาติ

เชิงสิ่งแวดล้อม
: Climate Before COP

ไทยอยู่ในอันดับที่ 9 ของโลกในดัชนีความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ ซึ่งบ่งบอกถึงความเปราะบางต่อเหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง ด้วย COP ที่จะจัดขึ้นในอาเซอร์ไบจานในเร็วๆ นี้ ไทยจำเป็นต้องสนับสนุนมาตรการความทนทานด้านภูมิอากาศในระดับ ASEAN ศาสตราจารย์สเปงเลอร์เน้นย้ำถึงความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถปกป้องประชากรที่มีความเปราะบางมากที่สุด

สำหรับไทย นี่หมายถึงการบูรณาการความทนทานด้านภูมิอากาศเข้ากับกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของเราเพื่อสร้างรากฐานที่สามารถรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

ภาวะภูมิอากาศเป็นประเด็นที่รุนแรงขึ้นในไทย และผลกระทบจากอุณหภูมิสูงสุดโต่งกำลังเริ่มชัดเจนมากขึ้น เมื่อปีที่ผ่านมา เป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ และคลื่นความร้อน (extreme heat) สุดขั้วเกิดขึ้นถี่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ศาสตราจารย์สเปงเลอร์วิจัยถึงผลกระทบของความร้อนสูงสุดที่ส่งผลร้ายแรง โดยเฉพาะกับประชากรที่มีรายได้น้อยซึ่งขาดแคลนเครื่องปรับอากาศ

สำหรับแรงงานไทย เกษตรกร และประชาชนทั่วไปที่ขาดเครื่องปรับอากาศ ผมจำได้ว่าเคยฟังข่าวว่าบางครั้งต้องรอถึงตี 3 อุณหภูมิในห้องถึงจะลดลงจนสามารถนอนได้ และตื่นไปทำงานตี 5

คลื่นความร้อนไม่เพียงแค่สร้างความไม่สบาย แต่มันยังเป็นอันตรายถึงชีวิต ข้อมูลล่าสุดแสดงว่าความร้อนสุดขั้วเป็นสาเหตุการตายที่สูงที่สุดในสหรัฐ เหนือกว่าภัยพิบัติอื่นๆ เช่น พายุเฮอร์ริเคนและน้ำท่วม

ในประเทศไทย เราต้องเผชิญกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 ขาดแคลนน้ำ และน้ำท่วมตามฤดูกาล ภาวะความร้อนสูงสุดนี้ยังส่งผลต่อผลิตภาพทางเศรษฐกิจอีกด้วย แรงงานที่ทำงานกลางแจ้งและเกษตรกรจะได้รับผลกระทบโดยตรง ลดผลผลิตและเพิ่มความเสี่ยงทางสุขภาพ สถานการณ์นี้ยังคงถูกมองข้ามโดยชนชั้นกลางที่อาจไม่เข้าใจถึงผลกระทบที่รุนแรงนี้

เชิงการเมือง
: What the Left got wrong?

การเลือกตั้งครั้งล่าสุดในสหรัฐ ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า ทำไมฝ่ายซ้ายยังคงพลาดเป้าอยู่บ่อยครั้ง

ในสหรัฐ ทรัมป์ได้รับการสนับสนุนที่ไม่คาดคิดจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 18-29 ปี ซึ่งเกือบ 28% ของพวกเขาเลือกสนับสนุนทรัมป์ แสดงให้เห็นถึงความห่างไกลระหว่างแพลตฟอร์มของฝ่ายก้าวหน้ากับประเด็นที่โดนใจกลุ่มวัยรุ่น

นี่เป็นบทเรียนสำหรับการเมืองไทยที่ฝ่ายก้าวหน้ามุ่งมั่นจะสร้างฐานเสียงจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดวิพากษ์ ไม่สามารถเห็นประชาชนเป็นของตายได้เด็ดขาด ต้องทำงานอย่างหนัก วันนี้ ผู้เลือกตั้งรุ่นใหม่ต้องการความจริงใจและวิธีแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม ฝ่ายก้าวหน้ามักจะพูดถึงอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ผู้เลือกตั้งรุ่นใหม่ต้องการนโยบายที่จับต้องได้ ซึ่งเน้นไปที่ความมั่นคงในการทำงาน การเข้าถึงที่อยู่อาศัย และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม

นักการเมืองฝ่ายก้าวหน้าในไทยควรนำแนวคิดนี้มาใช้ สร้างนโยบายที่ทั้งสร้างแรงบันดาลใจและปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวันของผู้คน

 

สุดท้าย

พอแล้วกับเรื่องหนักๆ ทั้งหมดนี้ สำหรับตัวผมเองแล้วก็ชอบอ่านนิตยสารรายสัปดาห์อยู่เหมือนกัน (มติชนสุดสัปดาห์ สำหรับภาษาไทย และ The New Yorker สำหรับภาษาอังกฤษ) สัปดาห์หน้า ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวในบรรยากาศที่สบายๆ กับ “พิธาพาเที่ยว : ศิลปะ, ธรรมชาติ และของกิน” – คู่มือเที่ยวส่วนตัวของผมที่จะพาคุณไปสัมผัสศิลปะ ธรรมชาติ และอาหารรสชาติอร่อยในเมืองบอสตัน เผื่อท่านผู้อ่านท่านใดได้มาผจญภัยครับ

พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้าครับ