นงนุช สิงหเดชะ/ออกหน้ามาก ระวัง! ได้ผลตรงข้าม

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

ออกหน้ามาก
ระวัง! ได้ผลตรงข้าม

ได้โอกาสก็โผล่หน้าเรียงกันมา สำหรับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ที่ตอนนี้กำลังฉวยโอกาสเกาะสถานการณ์กรณีนาฬิกาหรู 25 เรือนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หวังจะขย่ม คสช. ให้พังไวๆ
อันที่จริงปมนาฬิกาหรูนี้ ฝ่ายที่เรียกร้องให้ พล.อ.ประวิตร ลาออกแสดงความรับผิดชอบนั้น มีหลายกลุ่ม
กลุ่มหนึ่งเรียกร้องด้วยความหวังดี เพื่อให้รัฐบาลปลอดจุดถ่วงและทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นไปจนกว่าจะถึงเวลาเลือกตั้งตามโรดแม็ป
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งนั้น เป็นพวกหวังผลทางการเมืองล้วนๆ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง คืออาศัยเรื่องนาฬิกามาเป็นประเด็นบีบให้ คสช. จัดเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด
แม้จะอ้างเป้าหมายว่าเพื่อประชาชน แต่วาระหลักก็น่าจะเพื่อให้พรรคตัวเองชนะเลือกตั้ง เข้ามากุมอำนาจแล้วก็จะได้รับอานิสงส์ทางคดี
โดยเฉพาะพวกที่มีคดีและหลบหนีไปอยู่ต่างแดน น่าจะร้อนใจอยากเลือกตั้งเป็นพิเศษ เพราะอยากกลับเมืองไทย อยากได้พาสปอร์ตคืน อยากเป่าคดีให้หายไป ที่โดนยึด-อายัดทรัพย์อยู่ ก็คงหาทางเอาคืนได้ง่ายถ้าพรรคตัวเองได้กุมอำนาจ

ดังนั้น อย่าได้แปลกใจหากระยะนี้ฝ่ายตรงข้าม คสช. จะโผล่หน้าออกมาชุกและถี่
แม้แต่บางคนที่เงียบหายไปนานก็ยังรีบเกาะกระแสด้วยคิดว่าอยากตีเหล็กตอนที่กำลังร้อน
เช่น จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นเลขาธิการองค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย และหลบหนีในต่างประเทศหลังจากถูกออกหมายจับข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ฉวยโอกาสปลุกระดมเสื้อแดงผ่านสื่อออนไลน์ ให้ออกมาโค่นล้มรัฐบาลในวันที่ 10 กุมภาพันธ์
นายจารุพงศ์ อ้างว่าตอนนี้รัฐบาลประยุทธ์อยู่ในช่วงขาลง “การรัฐประหารง่ายแต่การรักษาอำนาจมันยาก รัฐบาลประยุทธ์ตื๊อมาเกือบ 4 ปี หมดเวลาฮันนีมูน คนเบื่อเต็มที” พร้อมกันนี้ยังขู่ว่าการดำเนินคดีกับคนรุ่นใหม่ อย่างจ่านิว โรม ทนายอานนท์ เท่ากับแหย่รังแตน จะทำให้คนออกมาไล่ พล.อ.ประยุทธ์มากกว่านี้
และเรื่องที่คนอย่างนายจารุพงศ์ อดจะพูดติดปลายนวมไม่ได้ก็คือ การขู่ผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่ตัดสินคดีจำนำข้าวของคุณยิ่งลักษณ์ว่าระวังจะถูกชำระบัญชี ถ้ารัฐบาลปัจจุบันหมดอำนาจ
ฟังจารุพงศ์แล้ว ทำให้คนจำนวนไม่น้อยมีความรู้สึกว่าไม่อยากให้พรรคของจารุพงศ์ได้กลับมามีอำนาจเลย เพราะน่ากลัวมากๆ และมีแนวโน้มจะก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองอีกเพราะไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล
ความน่าขำของนายจารุพงศ์อยู่ตรงที่ช่างกล้ามาสั่งสอนคนอื่นว่า “การรัฐประหารนั้นทำได้ง่ายแต่การรักษาอำนาจนั้นยาก อยู่มา 4 ปี หมดเวลาฮันนีมูนแล้ว คนเบื่อเต็มที”
ที่ว่าน่าขำก็เพราะหากย้อนกลับไป สภาพของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่มีนายจารุพงศ์ร่วมอยู่ด้วยนั้นก็อีหรอบเดียวกันคือ “การชนะเลือกตั้งนั้นง่าย แต่การรักษาอำนาจนั้นยาก”
เวลาฮันนีมูนของยิ่งลักษณ์ก็ไม่ได้ยาวไปกว่ารัฐบาล คสช. เพราะแค่ 2 ปีเศษ ก็มีคนนับล้านออกมาไล่ เนื่องจากทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำเพื่อประโยชน์ของพรรคพวกตัวเอง จะดันกฎหมายนิรโทษกรรมแบบสุดซอย จึงต้องเจอทางตัน
ถ้าจารุพงศ์สอนรัฐบาลยิ่งลักษณ์และตัวเองในขณะนั้น แบบเดียวกับที่สอนรัฐบาลอื่นตอนนี้ รัฐบาลที่จารุพงศ์ร่วมอยู่ด้วยคงไม่มาถึงจุดจบ

กล่าวสำหรับนายจารุพงศ์นั้น ควรบันทึกไว้ด้วยว่า สมัยเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยนั้น ได้ไปร่วมเวทีชุมนุมคนเสื้อแดงที่สนามกีฬาราชมังคลาฯ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2556 ในช่วงที่ถูกฝ่ายม็อบนกหวีดออกมาขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งเวทีในวันนั้นได้เชิญตั้ง อาชีวะ ขึ้นกล่าวบนเวทีจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างหยาบคายและรุนแรง กระทั่งถูกออกหมายจับต้องหนีไปต่างประเทศ
นอกจากนั้น จารุพงศ์ซึ่งเคยเป็นถึงรัฐมนตรีมหาดไทย ไปเปิดเวทีปราศรัยที่โคราชเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ปลุกระดมให้ฐานเสียงพรรคเพื่อไทยนำปืน 10 ล้านกระบอกออกมาต่อสู้ขั้นแตกหักกับฝ่ายตรงข้าม
นั่นคือเศษเสี้ยวหนึ่งของพฤติกรรมจารุพงศ์ที่ชอบอ้างเรื่องประชาธิปไตย ชอบพูดเรื่องสิทธิเสรีภาพและการไม่ใช้ความรุนแรง
สำหรับการปลุกระดมครั้งนี้ ยิ่งจารุพงศ์เอ่ยถึงจ่านิว โรม ทนายอานนท์ มาก สังคมจะยิ่งกลัวและไม่อยากร่วม เพราะคนเหล่านี้ถูกประทับตราให้เป็นฝ่ายเสื้อแดงไปแล้ว ยิ่งถูกหัวโจกแดงออกมาสรรเสริญ ทั้งดันทั้งยุให้ออกหน้าสู้กับ คสช. บ่อยๆ สีของจ่านิว โรม ทนายอานนท์ จะยิ่งเข้มขึ้น ความเป็นกลางน้อยลง
และที่ผ่านมานับจากรัฐประหาร คนเหล่านี้ก็ไม่เคยปลุกกระแสคนให้มาร่วมได้มาก เพราะถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนหน้าเดิมๆ “ร้อยชื่อแต่หน้าเดียว” และเอียงไปทางขั้วหนึ่งอย่างเด่นชัด

ท่ามกลางประเด็นร้อนเรื่องนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตรในขณะนี้ แม้คนจำนวนไม่น้อยจะรู้สึกขุ่นเคืองรัฐบาลที่ไม่เอาจริงเอาจังกับคนของตัวเองเรื่องความโปร่งใส
แต่ก็ใช่ว่าคนเหล่านี้จะคล้อยตามหรือย้ายพวกไปเข้าข้างหรือผสมโรงกับฝ่ายที่อยากโค่นล้มรัฐบาล โดยเฉพาะกับพรรคที่ถูกยึดอำนาจ
เพราะทันทีที่มีการประสานงานของอดีตคนพรรคเพื่อไทย มวลชนของพรรคเพื่อไทย และสมาชิกพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน ในการขย่มหวังล้มรัฐบาล ก็กลับไปสะกิดแผลเก่าที่น่าหวาดผวาก่อนเดือนพฤษภาคม 2557
ภาพเผาบ้านเผาเมือง ภาพการยิงระเบิดเอ็ม 79 รายวันใส่ฝ่ายตรงข้าม ภาพการใช้ความรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้ามที่เห็นต่าง เริ่มวนกลับมาให้เห็น
แม้เลือกตั้งไปแล้วก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่าบ้านเมืองจะเดินหน้าไปได้ เศรษฐกิจจะดี ดูโดยรวมแล้วไม่ได้ดีไปกว่ารัฐบาลทหาร
หลังเลือกตั้ง ใช่ว่าบ้านเมืองจะสงบสุข เพราะคนเหล่านี้ที่ชนะเลือกตั้งก็อาจสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก พาบ้านเมืองวนกลับไปสู่จุดเดิม จะมีเลือกตั้งหรือมีรัฐบาลรัฐประหารก็ไม่ได้ต่างกัน

กล่าวสำหรับรัฐบาล คสช. ขณะนี้ ปัญหานาฬิกาของ พล.อ.ประวิตรอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่เมื่อเทียบกับเรื่องใหญ่ที่ผุดขึ้นมาใหม่และอาจเขย่ารัฐบาลได้รุนแรงหากไม่มีการจัดการให้เด็ดขาด
นั่นก็คือกรณีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารอิตาเลียนไทย บริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของไทย เข้าไปลักลอบล่าสัตว์สงวนในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
เพราะในเบื้องต้นส่อท่าทีว่าจะมีการใช้พลังเส้นสายบางอย่างให้หลุดพ้นคดี ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ลอยตัว ไม่ออกมากำชับด้วยตัวเอง ปล่อยให้คนรวยลอยนวล คราวนี้สังคมเคืองหนักแน่
ไหนจะปล่อยยิ่งลักษณ์ ไหนจะปล่อยลูกชายกระทิงแดงที่ขับรถชนคนตาย ฯลฯ แค่นี้คนก็เคืองมากแล้ว