ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ไม่ใช่ผู้ประดิษฐ์ประเพณีลอยกระทง แต่เป็นตำแหน่งหนึ่งในพระสนมเอก 4 ท้าว

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
ภาพจากซีรีส์ "แม่หยัว" ช่อง one 31

เป็นความเชื่อต่อๆ กันในหมู่คนบ้านนี้ เมืองนี้มานานแสนนานแล้วว่า “นางนพมาศ” เป็นผู้ประดิษฐ์นวัตกรรมที่ใช้สำหรับลอยทุกข์โศก และโรคภัยให้ไปกับน้ำ ควบไปกับการขอขมาลาโทษพระแม่คงคา ที่ทำให้แม่น้ำสกปรก (ด้วยการเพิ่มขยะลงไปในน้ำมันเสียอย่างนั้น) ที่เรียกว่า “กระทง”

และก็คงจะเป็นผลบุญมาจากการที่ประดิษฐ์นวัตกรรมชิ้นนี้ขึ้นมานี่แหละ ที่ส่งเสริมให้ “พระร่วงเจ้า” ผู้เป็นกษัตริย์แห่งเมืองสุโขทัยในขณะนั้น ยกฐานะนางขึ้นมาเป็น “ท้าวศรีจุฬาลักษณ์” ซึ่งก็คือตำแหน่งสนมเอกของพระร่วง

เรื่องราวข้างต้น มีรายละเอียดอยู่ในหนังสือเก่าฉบับหนึ่งที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์” หรือบางทีก็เรียกว่า “เรื่องนางนพมาศ”

 

ฉากหลังของหนังสือเก่าแก่เล่มนี้ เดินเรื่องอยู่ในเมืองสุโขทัย เมื่อครั้งที่เป็นราชธานี (ถึงแม้ว่าอันที่จริงแล้ว เมืองสุโขทัยจะไม่เคยเป็นราชธานี หรือเมืองหลวงของคนไทยเลยก็เถอะ) โดยมี “พระร่วง” พระองค์เดียวกันกับที่ยกนางนพมาศขึ้นเป็นสนมเอก เป็นกษัตริย์ปกครองอยู่

แต่ “พระร่วง” ในที่นี้จะหมายถึงกษัตริย์ของสุโขทัยพระองค์ไหน? หนังสือตำหรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ไม่ได้ระบุเอาไว้ชัดนะครับ

เพราะคำว่า “พระร่วง” เองก็เป็นชื่อเรียกกษัตริย์ผู้มีบุญ ตามธรรมเนียมของสุโขทัย ไม่ได้หมายถึงกษัตริย์พระองค์ใดเป็นการเฉพาะเจาะจง ดังนั้น จึงจะหมายถึงใครก็ได้

และถ้าจะว่ากันให้ถึงที่สุดแล้ว ก็อาจจะเป็นตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ฉบับนี้ ก็อาจจะ “นิทาน” มันทั้งดุ้น เหมือนอย่างตำนานเรื่องพระร่วงอีกหลายๆ เรื่อง และหลายๆ สำนวน

ดังนั้น จึงน่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน ที่ใครต่อใครหลายคนต่างพากันยกให้ “พระร่วง” ในหนังสือเก่าเก็บเล่มที่ว่า เป็นพระร่วงเดียวกันกับ “พ่อขุนรามคำแหง” แบบไม่มีที่มา และที่ไปอะไรเลยสักนิดมันเสียอย่างนั้น

แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ มีความเชื่อที่ว่า การประดิษฐ์กระทง (และมักจะเลยเถิดไปถึงกำเนิดของประเพณีลอยกระทง) เกิดขึ้นในสมัยพ่อนรามคำแหง เมื่อ 700 กว่าปีก่อนอย่างที่ผมบอกเอาไว้ตั้งแต่ย่อหน้าแรกของข้อเขียนชิ้นนี้นั่นแหละ

 

อันที่จริงแล้ว “นพมาศ” ก็เป็นนางในจินตนาการ ไม่ได้มีตัวตนจริงอยู่ในประวัติศาสตร์ ดังนั้น ความจริงแล้วกุลสตรีไทยนางนี้จึงไม่เคยลอยกระทงในตระพังที่สุโขทัยเลยสักหน

บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยอย่าง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ อธิบายว่า “ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์” หรือเรื่องของนางนพมาศ นั้นเป็นงานที่เขียนขึ้นในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 3 นี้เอง

ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สมเด็จฯ ท่านเชื่อว่า งานชิ้นนี้อาจจะเป็นพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 3 เองด้วยซ้ำไป เพราะทรงมีลายพระหัตถ์ ส่งตรงจาก Cinnamon Hall ที่ประทับของพระองค์ขณะลี้ภัยการเมือง อยู่ที่เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย ถึงนักปราชญ์คนสำคัญอีกท่านหนึ่งอย่าง พระยาอนุมานราชธน ที่อยู่ในสยามประเทศ ณ ขณะนั้น ลงวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2479 ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งระบุไว้ชัดเจนว่า

“หนังสือเรื่องนางนพมาศซึ่งฉันเข้าใจว่าสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์”

และถ้าหากว่าจะเชื่อตามที่พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ และโบราณคดีไทย อย่างกรมพระยาดำรงฯ ทรงสันนิษฐานไว้แล้ว เรื่องที่อ้างอยู่ในหนังสือเก่าเล่มดังกล่าวว่า “นางนพมาศ” เป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์ “กระทง” ขึ้นในกรุงสุโขทัยนั้น ที่จริงก็เป็นเพียงนิยายเรื่องหนึ่ง ที่อาจจะแต่งขึ้นเพื่ออธิบายเหตุ (หรือจะเป็นเหตุผลอื่นก็ไม่ทราบ?) ไม่ต่างไปจากนิยายอีกหลายๆ เรื่องในประวัติศาสตร์ชาติของเราเท่านั้นนั่นแหละครับ

 

พยานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า ถ้าเมืองสุโขทัยของนางนพมาศอยู่ในยุคสมัยเดียวกับพ่อขุนรามคำแหง เมื่อ 700 ปีก่อนจริง อย่างที่เล่าลือกันนี่ก็คงจะเป็นเรื่องที่แปลกเอาการเลยทีเดียวก็คือ ข้อความตอนหนึ่งในหนังสือคือ ตอนที่ว่าด้วย “ชาติ และภาษาต่างๆ” ในกรุงสุโขทัยขณะนั้น ซึ่งอ้างถึง “ฝรั่งมะริกันภาษา” มันเสียอย่างนั้น

“ฝรั่งมะริกัน” นั้นก็คือ “อเมริกันชน” นั่นแหละ

ส่วนคำว่า “ภาษา” คือหน่วยและมาตรวัดในการจำแนกผู้คนออกเป็นกลุ่มต่างๆ แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อ ยอร์ช วอชิงตัน ประกาศเอกราชจากชาติเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษ เมื่อช่วงก่อนสถาปนากรุงเทพฯ แค่ไม่ถึง 10 ปี

และเมื่อข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้แล้ว “นางนพมาศ” ที่มีชีวิตอยู่ในสมัยของพ่อขุนรามคำแหง เมื่อ 700 กว่าปีก่อน จะมารู้จักประเทศ “สหรัฐอเมริกา” ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ และมีอายุยังไม่ครบ 300 ปีเลยด้วยซ้ำได้อย่างไรกัน?

 

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือตำแหน่ง “ศรีจุฬาลักษณ์” ที่พระร่วงเจ้ามอบให้กับนางนพมาศ ก็ “ศรีจุฬาลักษณ์” เดียวกันกับที่ในสมเด็จพระไชยราชามอบให้กับพระสนมเอกที่มาจากสุโขทัย ในซีรีส์ “แม่หยัว” นั่นแหละครับ

ในซีรีส์เรื่องดังกล่าวอ้างว่า “ศรีจุฬาลักษณ์” เป็นชื่อตำแหน่งหนึ่งใน “พระสนม 4 ทิศ” อันประกอบไปด้วย อินทรสุเรนทร์, ศรีสุดาจันทร์, อินทรเทวี และศรีจุฬาลักษณ์ โดยสนมเอกแต่ละตำแหน่งนั้นจะเชื่อมโยงอยู่กับเชื้อสายจากเมืองสำคัญต่างๆ ได้แก่ สุพรรณบุรี, ละโว้, นครศรีธรรมราช และสุโขทัย ตามลำดับ

แนวคิดข้างต้นของซีรีส์แม่หยัว มีพื้นฐานมาจาก ตำแหน่ง “พระสนมเอก 4 ท้าว” ที่ปรากฏอยู่ในกฎหมายเก่าแก่ฉบับหนึ่งคือ “พระไอยการนาพลเรือน” ซึ่งตราขึ้นเมื่อ พ.ศ.1998 ดังข้อความที่ว่า

“แม่เจ้า แม่นาง แลนางท้าวพระสนมเอกทั้ง 4 คือ อินทรสุเรนทร 1 ศรีสุดาจัน 1 อินทรเทวี 1 ศรีจุลาลักษ 1 นาคละ 1000”

(อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

 

จะเห็นได้ว่า ข้อความในเอกสารต้นฉบับที่ปรากฏชื่อของพระสนมเอกเหล่านี้ ไม่ได้ให้รายละเอียดเอาไว้เลยว่า แต่ละตำแหน่งนั้นเกี่ยวข้องอยู่กับสายเชื้อวงศ์ของเมืองสำคัญอื่นๆ ของอยุธยา

แต่เป็นนักประวัติศาสตร์ในรุ่นหลังหลากหลายท่านต่างหาก ที่ได้ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจว่า เมื่อพิจารณาชื่อตำแหน่งต่างๆ เหล่านี้ร่วมกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นอื่นๆ แล้ว ชื่อตำแหน่งใน “พระสนมเอก 4 ท้าว” นี้ สัมพันธ์อยู่กับเมืองสำคัญที่เป็นเครือข่ายอำนาจของกรุงศรีอยุธยาอย่าง นครศรีธรรมราช ลพบุรี, สุพรรณบุรี และสุโขทัย

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ในยุคปัจจุบันนี้ ผู้คนมักจะรู้จัก พระสนมเอก 4 ท้าว ในชื่อ “พระสนม 4 ทิศ” อย่างที่ใช้เรียกอยู่ในซีรีส์แม่หยัวมากกว่านั่นแหละครับ

อย่างไรก็ตาม ชื่อตำแหน่งเหล่านี้ จะสัมพันธ์อยู่กับเมืองอะไร ยังเป็นที่ถกเถียง ไม่เป็นที่ยุติชัดเจน ตัวอย่างเช่น ตำแหน่ง อินทรเทวี ที่มักจะอธิบายกันว่า สัมพันธ์อยู่กับสายวงศ์ศรีธรรมาโศกราช จนในซีรีส์แม่หยัวนำไปผูกโยงว่า มาจากเมืองนครศรีธรรมราชนั้น

นักประวัติศาสตร์-โบราณคดี นอกเครื่องแบบอย่าง คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ ระบุว่า ควรจะสัมพันธ์กับเมืองเพชรบุรี อันเป็นหัวเมืองใหญ่ที่คุมเส้นทางลงแหลมมลายู ให้กับกรุงศรีอยุธยามากกว่า เป็นต้น

 

เฉพาะในส่วนของตำแหน่ง “ท้าวศรีจุฬาลักษณ์” นั้น มีชื่อปรากฏอยู่ในศิลาจารึกของสุโขทัยบางหลักคือ จารึกหลักที่ 93 วัดอโสการาม จะประกฏชื่อ “สมเด็จพระราชเทพีศรีจุฬาลักษณ์อัครราชมเหสีเทพยธรณีดิลกรัตน์”

เช่นเดียวกับจารึกหลักที่ 286 วัดบูรพาราม ที่เรียกชื่อพระมเหสีของพระมหาธรรมราชาองค์นี้เอาไว้ว่า “สมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์อัครมหิศิเทพยธรณีดิลกรัตนบพิตรเป็นเจ้า”

เกี่ยวกับชื่อ “ศรีจุฬาลักษณ์” ในจารึกทั้งสองหลักข้างต้นนี้ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโบราณคดี (โบราณคดีและพิพิธภัณฑ์) ของกรมศิลปากร อย่าง อ.พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ได้เคยอธิบายเอาไว้อย่างแยบคายในบทความชื่อ “เจ้าแม่ศรีจุฬาลักษณ์ (มิใช่ชาวสุโขทัย)” ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับประจำเดือน กรกฎาคม พ.ศ.2544 เอาไว้โดยนำไปผูกโยงกับจารึกอีกหลักหนึ่งคือ จารึกหลักที่ 130 จารึกฐานพระพุทธรูปสมัยอู่ทอง ซึ่งได้จากกรุวัดมหาธาตุ สุโขทัย อันมีข้อความระบุอยู่ในจารึกว่า

“ตนนี้ก่อพระแม่เจ้าเอินไว้ในบูรพารามนี้”

อ.พิเศษระบุว่า “บูรพาราม” ที่พระแม่เจ้าสร้างพระพุทธรูป (ตนนี้) ถวาย (เอิน) เอาไว้คือ วัดบูรพาราม ที่จารึกวัดบูรพารามระบุว่า “สมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์” เป็นผู้สร้าง โดยพระพุทธรูปองค์ที่มีจารึกอยู่ที่ฐานนั้นไม่ใช่ฝีมือช่างแบบสุโขทัย แต่เป็นแบบอู่ทอง ดังนั้น อ.พิเศษจึงเสนอว่า ชื่อ “ศรีจุฬาลักษณ์” ในจารึกสุโขทัยทั้งสองหลักนี้ เป็นชื่อเจ้าเชื้อสายของวงศ์สุพรรณภูมิ คือสุพรรณบุรี ที่มาเสกสมรสกับพระมหาธรรมราชาธิราช กษัตริย์สุโขทัย แล้วนำนายช่างใหญ่จากสุพรรณบุรี ผู้ปั้นพระพุทธรูปอู่ทององค์นี้ขึ้นมาด้วย

ระหว่างบรรทัดที่ อ.พิเศษไม่ได้บอกออกมาตรงๆ ก็คือ ชื่อ “ศรีจุฬาลักษณ์” นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าหญิงเชื้อสายสุโขทัยก็ได้ และในโลกยุคอยุธยาตอนต้นก็อาจจะเป็นสายสุพรรณภูมิต่างหาก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงยุคต้นกรุงเทพฯ ที่มีการแต่งหนังสือ “ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์” ขึ้นมานั้น ในความเข้าใจของผู้คนยุคนี้ ชื่อ “ศรีจุฬาลักษณ์” เกี่ยวข้องกับวงศ์สุโขทัย ดังนั้น จึงระบุให้พระร่วงเจ้าแต่งตั้งนางนพมาศขึ้นเป็นท้าวศรีจุฬาลักษณ์

พูดง่ายๆ ว่า ตำแหน่ง “พระสนมเอก 4 ท้าว” ที่นิยมเรียกกันว่า “พระสนมเอก 4 ทิศ” นั้น ควรจะเกี่ยวข้องกับเชื้อวงศ์ของเมืองสำคัญต่างๆ ในยุคต้นกรุงศรีอยุธยาจริงๆ นั่นแหละครับ เพียงแต่จะเป็นเมืองใดบ้าง และตำแหน่งไหนจะสัมพันธ์กับเมืองใด ยังเป็นเรื่องที่ยังต้องถกเถียงกันอยู่ •

 

 

แม่หยัวศรีสุดาจันทร์ : ‘แม่หยัวเมือง’ ผู้ก้าวมาจากพระสนมเอก 4 ท้าว

แม่หยัวท้าวศรีสุดาจันทร์ สัญลักษณ์แห่งรัฐพันลึกของกรุงศรีอยุธยา