หน้า 8 : เสือ 2 ตัว

ถ้าถามถึงผลงานของรัฐบาลชุดนี้ที่ประชาชนส่วนใหญ่ชื่นชอบ

เชื่อหรือไม่ว่าคำตอบที่ออกมาจะเป็นเรื่องที่ “ทหาร” จัดเจน

ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อย ไม่มี “ม็อบ” ชน “ม็อบ” เหมือนในอดีต

หรือการจัดการการบุกรุกพื้นที่สาธารณะทั้งพื้นที่ป่าและทะเล

ไม่ว่าจะเป็นภูทับเบิก เขาใหญ่ หัวหิน ฯลฯ

รวมถึงการจัดการแรงงานประมงผิดกฎหมายที่ค้างคามานาน

ปัญหาไหนที่ต้องใช้ “กำลัง” และ “อำนาจ”

ขอให้บอก

รัฐบาลชุดนี้จัดให้

แต่ความเชี่ยวชาญเรื่องการใช้ “อำนาจ” และ “กำลัง” ก็มีข้อจำกัด

เพราะสามารถใช้ได้กับบางเรื่องเท่านั้น

ไม่สามารถใช้กับเรื่องที่ซับซ้อนและผูกพันกับโครงสร้างระดับโลก

อย่างเช่น เรื่องเศรษฐกิจ

รัฐบาลชุดนี้ไม่สามารถใช้ “อำนาจ” และ “กำลัง” ออกคำสั่งให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้

หรือจะสั่งให้รถไฟฟ้าความเร็วสูงเซ็นสัญญาภายในเดือนกันยายน

ก็ทำไม่ได้

เพราะเรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องซับซ้อน

ยิ่งรัฐบาลชุดนี้ถูกต่อต้านจากประเทศตะวันตกเพราะมาจากการรัฐประหาร การขับเคลื่อนเศรษฐกิจจึงยิ่งยากลำบากกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ทีมเศรษฐกิจจึงต้องเป็นเอกภาพ

แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ แสดงถึงรอยปริแยกของทีมเศรษฐกิจอย่างชัดเจน

“สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” คุมได้แต่กระทรวงการคลัง พาณิชย์ อุตสาหกรรม และไอซีที เท่านั้น

แต่รัฐมนตรีที่มาจาก “ทหาร” และ “สายตรง” พล.อ.ประยุทธ์

บารมีของ “สมคิด” ไปไม่ถึง

ที่เห็นชัดที่สุด คือ กรณีของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

พล.อ.ฉัตรชัย นั้นนอกจากเป็น “เพื่อนร่วมรุ่น” ของ “บิ๊กตู่” แล้ว

เขายังเคยเป็นผู้อำนวยการสถานี ททบ.5 ในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก

ในแวดวงสีเขียวรู้ดีว่าคนที่ได้ดูแล “ขุมทรัพย์ช่อง 5”

ถ้า ผบ.ทบ. ไม่เชื่อใจจริงๆ ไม่มีทาง

ในวันแรกที่ “สมคิด” รับตำแหน่ง “ขุนพลเศรษฐกิจ” แทน “หม่อมอุ๋ย”

วันนั้น เขาได้รับความเชื่อถือจาก “ท่านผู้นำ” สูงมาก

สูงระดับที่สามารถเบียด พล.อ.ฉัตรชัย พ้นจากเก้าอี้ รมต.พาณิชย์ ไปเป็น รมต.เกษตรฯ

แต่วันนี้ไม่เหมือนวันก่อน

เพราะเศรษฐกิจไม่ได้ดีขึ้นเหมือนที่เคยพูดไว้

เสียงที่เคยดัง และ “ท่านผู้นำ” ต้องรับฟังเริ่มเปลี่ยนไป

จับตาความเปลี่ยนแปลงในทีมเศรษฐกิจให้ดี