ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 พฤศจิกายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | จ๋าจ๊ะ วรรณคดี |
ผู้เขียน | ญาดา อารัมภีร |
เผยแพร่ |
ใช่จะมีเพียงบทละครรำเรื่อง “อิเหนา” เท่านั้นที่ใช้สำนวน ‘กากับหงส์’ หรือ ‘หงส์กับกา’ เปรียบเทียบความไม่เหมาะสมในการครองคู่
สำนวนนี้มีใช้อย่างแพร่หลายในวรรณคดี ดังจะเห็นได้จากเรื่อง “กากีกลอนสุภาพ” ทันทีที่พระยาครุฑรู้ความจริงสุดอัปยศจากปากนาฏกุเวรคนธรรพ์ว่าเคยไปเริงรักกับนางกากีถึงวิมานฉิมพลีที่พำนักของตน ก็รีบบินกลับไปซักถามเอาความจริง นางกากีพยายามเอาตัวรอดแก้ตัวเป็นพัลวัน เปรียบตัวเองเป็นหงส์สูงศักดิ์ไม่มีวันจะลดตัวลงไปรักกาต่ำศักดิ์หรือคนธรรพ์
“หนึ่งคนธรรพ์ก็เป็นทาสบาทมูล ต่ำตระกูลดั่งกามาแกมหงส์
ถึงข้าพลัดภัสดามาเอองค์ ก็รักวงศ์เหมราชไม่แกมกา”
นางกากียืนยันว่าแม้นางจะพลัดพรากจากท้าวพรหมทัตพระสวามีมาอยู่ลำพังตัวคนเดียว แต่ก็รักที่จะร่วมวงศ์ราชหงส์ทองเช่นพระยาครุฑ ไม่ขอระคนปนกาหรือคนธรรพ์เป็นอันขาด
ทํานองเดียวกับบทละครพูดคำฉันท์เรื่อง “มัทนะพาธา” เมื่อนางมัทนาออกตัวว่าเป็นสาวชาวป่า ไม่อาจเทียบสาวชาววังของท้าวชัยเสนได้
“สนมนางกำนัลใน สถิตแทบ ณ เวียงวัง,
ฉวีนวลสะกาวปลั่ง ประดับแก้ววราภา,
และรู้จักบำเรอครบ ประจบองค์พระราชา,
กระหม่อมฉันสิชาวป่า จะสู้เขาบได้แท้.”
ท้าวชัยเสนได้ตรัสค้านว่าพระองค์เห็นตรงกันข้าม
“คณานางสนมเปรียบ ประหนึ่งกาและถ่อยที,
วธูยอดฤดีพี่ ประหนึ่งหงส์สุพรรณ์พรรณ :
ก็พี่นี้สิเคยชม วิหคหงสะเลอสรร
จะกลับชมอิกานั้น บได้แล้วนะแก้วตา!” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
ท้าวชัยเสนเปรียบนางสนมในวังกับกา เปรียบนางมัทนากับหงส์ ทั้งยังมิใช่หงส์ธรรมดาๆ แต่เป็นหงส์ทองที่สูงส่งกว่าหงส์ทั่วไป
‘หงส์’ และ ‘กา’ ในวรรณคดีมีความหมายเปรียบเทียบถึงรูปลักษณ์ ชาติกำเนิด และความประพฤติ ผู้ที่มีชาติตระกูลสูง รูปลักษณ์งดงาม ความประพฤติดี รักเกียรติรักศักดิ์ศรี เปรียบได้กับ ‘หงส์’ ส่วนผู้ที่มีชาติตระกูลต่ำ รูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ การกระทำต่ำทราม เปรียบได้กับกา
บ่อยครั้งที่รูปร่างหน้าตาชวนให้เข้าใจว่าเป็นหงส์ เนื่องจากงามต้องตามีสง่าราศี แต่ความประพฤติหรือการกระทำกลับเป็นตัวชี้ชัดว่าเป็นหงส์หรือกา ดังที่ “เพลงยาวสำนวนที่ 9” ของกรมหมื่นสถิตธำรงสวัสดิ์ จากประชุมเพลงยาวภาคที่ 4 สะท้อนความคิดข้างต้นว่า
“ก็มารยาทชาติหงส์นี้เห็นง่าย อันการ้ายปลอมหงส์คงวิถาร
ถึงดูรูปจะไม่แจ้งไม่แกล้งประจาน แต่สันดานมิได้สูญตระกูลกา” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
ธรรมชาติของหงส์ชอบลงเล่นน้ำในสระน้ำใสสะอาด ปราศจากโคลนตม มีแต่กาที่ยินดีกับสิ่งสกปรกเช่นนั้น ดังที่พระยาครุฑผิดหวังการกระทำของนางกากีที่เป็นชู้กับนาฏกุเวรคนธรรพ์ ถึงกับรำพันไว้ใน “กากีกลอนสุภาพ” ว่า
“เพราะมีชู้ไม่รู้ให้รอบเชิง หลงระเริงว่าเจ้ารักสมัครสมาน
คิดว่าหงส์จะลงแต่ชลธาร กลับบันดาลกลั้วเกลือกด้วยเปือกตม”
พระยาครุฑหลงคิดว่านางกากีเป็นหงส์ แต่กลับมีพฤติกรรมเยี่ยงกาที่พอใจสิ่งโสมม
นอกจากนี้ กวีนิยมเปรียบ ‘กา’ กับคนเลวพฤติกรรมต่ำช้า ถ้า ‘หงส์’ หรือคนดีไปเกี่ยวข้องย่อมจะถูกความชั่วทำให้แปดเปื้อนไปด้วย สมดังที่ “เพลงยาวความเก่า สำนวนที่ 3” จากประชุมเพลงยาวภาคที่ 6 บรรยายว่า
“ประหนึ่งหงส์หลงเล่นชลาสินธุ์ มุจลินท์สระสนานไม่ดาลเฉลียว
เที่ยวซอกซนจนกาเข้ากลมเกลียว ทั้งหนามเหนี่ยวเกี่ยวขนหล่นหลุดยับ
ก็ยังแต่จะระบัดผลัดขนใหม่ จะงามวิไลคมขำดำขลับ
ถ้าใครโยนเหยื่อตรงก็คงรับ จึงจะนับแล้วว่าหงส์นี้วงศ์กา”
การที่คนเรามองเห็นกงจักรเป็นดอกบัว มองคนชั่วหรือการกระทำชั่วไปในทางตรงกันข้ามเป็นเพราะความหลงผิดไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน กลับนำเอา ‘ตม’ หรือดินเปียกที่เหนียวกว่าเลนมาแต้มใบหน้า เพราะคิดว่าจะทำให้นวลงาม ทั้งยังมองเนื้อปลาที่เขาเอามาวางไว้ตรงหน้าว่าเป็นแก้วมณีค่าควรเมือง แม้จะเห็นแค่เงาขนหางที่กลางหัวของกา ก็เข้าใจว่าเป็นเงาของหงอนหรือขนที่อยู่บนหัวของหงส์ ถึงจะมีหญ้าคาแห้งกรอบที่ตัวกา ยังอุตส่าห์มองว่าเป็นเครื่องประดับของหงส์
ดังที่ “เพลงยาวความเก่า สำนวนที่ 3” จากประชุมเพลงยาวภาคที่ 5 มีข้อความว่า
“ดังฤๅหงส์วงศ์สกุโณเรศ มาละเพศทิ้งพรรณภาษา
ไปร่วมชาติกาจแกมสกุลกา กลับเอาตมแต้มหน้าว่านวลงาม
ถึงจะคาบมัจฉมางส์มาวางให้ ก็เข้าใจว่ามณีศรีสยาม
แต่โดยดำก็จะร่ำพิไรงาม จะจัดความเชิดชี้อาวรณ์ชร
ถึงจะเห็นเงาหางที่กลางเศียร ก็จะเวียนถวิลเดาว่าเงาหงอน
ถึงจะใส่เกราะคาให้กาจร ก็จะว่าอาภรณ์ที่หงส์ทรง”
เมื่อใดที่ ‘หงส์’ หรือ ‘คนดี’ เข้าไปเกี่ยวข้องกับ ‘กา’ หรือ ‘คนชั่ว’ ไม่เพียงแต่ทำให้ตัวเองชั่วช้าเลวทรามเท่านั้น ยังขยายผลลามไปถึงญาติพี่น้องวงศ์วานว่านเครือต้องพลอยตกต่ำตามไปด้วย สมดังเพลงยาวสำนวนเดียวกันบรรยายว่า
“แต่กาเข้าระคนปนหงส์ จะพาพงศ์ให้เสียศักดิ์ศรี
เสื่อมเดชเพราะหน้ากากลี ที่ความดีนั้นก็วางไว้ต่างกัน”
(กลี หรือ กาลี = ชั่วร้ายไม่เป็นมงคล)
สอดคล้องกับคติสอนใจใน “โคลงโลกนิติ” ที่ว่า
“คบกากาโหดให้ เสียพงศ์
พาตระกูลเหมหงส์ แหลกด้วย
คบคนชั่วจักปลง ความชอบ เสียนา
ตราบลูกหลานเหลนม้วย ไม่ม้วยนินทา ฯ”
ตัวอย่างข้างต้นนี้สะท้อนความจริงว่า การคบคนชั่วเป็นมิตร ไม่ต่างกับการคบคนพาลพาลพาไปหาผิด ย่อมทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสีย ยิ่งถ้าเป็น ‘ตระกูลเหมหงส์’ หรือ ‘ตระกูลหงส์ทอง’ ซึ่งหมายถึง ชาติตระกูลสูงส่ง มากด้วยชื่อเสียงเกียรติยศ และฐานะมั่งคั่งด้วยแล้วละก็ จะเป็นที่ตำหนิติเตียนตลอดกาล แม้ลูกหลานเหลนจะลาโลกนี้ไปแล้ว คำนินทาว่าร้ายนั้นก็ยังคงอยู่
วรรณคดีเรื่องเดียวกันนี้ยังชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ไม่ควรเคียงคู่กัน เพราะบั่นทอนความดีงามของอีกฝ่ายจนย่อยยับ มีอยู่ 4 อย่าง นั่นคือ
“ฝูงหงส์หลงเข้าสู่ ฝูงกา
สีหราชเคียงโคนา คลาดเคล้า
ม้าต้นระคนลา เลวชาติ
นักปราชญ์พาลพาเต้า สี่นี้ไฉนงาม ฯ”
ฝูงหงส์กับฝูงกา ราชสีห์กับโค ม้าต้นกับลา นักปราชญ์กับคนพาล สิ่งเหล่านี้ไปกันไม่ได้ กาทำให้หงส์สิ้นศักดิ์ศรี โคสำหรับไถนาทำให้ราชสีห์สิ้นราศีความเป็นเจ้าป่า ลูกที่เกิดจากลากับม้าต้นทำให้สายพันธุ์ที่ดีมีมลทินมัวหมอง ทั้งนี้ เพราะม้าต้น คือม้าทรงของพระเจ้าแผ่นดิน เป็นม้าพระที่นั่งโดยเฉพาะ เช่นเดียวกับคนพาลสันดานชั่วย่อมทำให้นักปราชญ์เสื่อมเกียรติสูญเสียศรัทธา ไม่ได้รับความเคารพนับถือและความเชื่อมั่นจากคนทั้งหลายอีกต่อไป
‘หงส์’ มีส่วนสัมพันธ์กับ ‘การเดิน’ ติดตามฉบับหน้า •
จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022