ปรีดี แปลก อดุล : คุณธรรมน้ำมิตร (40)

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

“หลวงสินธุ์แกหลบ”

นายปรีดี พนมยงค์ บันทึกไว้ใน “การลี้ภัยหลังรัฐประหาร 2490” มีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า

“คืนวันเดียวกับที่เกิดรัฐประหาร ข้าพเจ้าได้หลบหนีทหารที่ล้อมรอบบ้านพักออกไปได้อย่างหวุดหวิด และข้าพเจ้าได้ไปพักอยู่กับเพื่อนทหารเรือที่ฐานทัพเรือสัตหีบอยู่ระยะเวลาหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการสู้รบระหว่างคนไทยด้วยกันเอง ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองไทย เพื่อลี้ภัยไปอยู่ในสิงคโปร์ก่อน โดยรอคอยเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนอย่างสันติ”

พล.ร.ต.บุรินท์ พงศ์สุพัฒน์ เล่าเหตุการณ์ “ปรีดีหนี 2490” ไว้ในหนังสืออนุสรณ์งานศพ พล.ร.อ.จริง จุลละสุขุม ว่า

“ผมมีส่วนในการควบคุมเรือโบ๊ตติดเครื่องยนต์ประจำเรือรบหลวงโพธิ์สามต้น เดินทางพา พล.ร.ต.หลวงสังวรยุทธกิจ และ พล.ร.ต.ทหาร ขำหิรัญ จากบางนาเข้าไปส่งท่านทั้งสองที่พระราชวังเดิม ในตอนเย็นของวันที่ 9 พฤศจิกายน เพื่อพบปะกับหลวงสินธุสงครามชัย และนายทหารชั้นผู้ใหญ่หารือกันในสถานการณ์ที่เกิดการรัฐประหารขึ้น

ต่อมาวันที่ 10 พฤศจิกายน ตอนสาย พล.ร.ต.ชลิต กุลกำม์ธร (รองผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ-แต่ก่อนมีชื่อเรียกว่า กองเรือรบ) ได้สั่งการให้ผมใช้เรือยนต์ ร.ล.โพธิ์สามต้นเป็นพาหนะ พานายปรีดี หลวงสังวรฯ และ พล.ร.ต.ทหาร เดินทางจากพระราชวังเดิมไปหลบอยู่ในสวนละแวกสำโรง เวลากลางคืนก็มาพักแรมอยู่ในกรมสรรพาวุธทหารเรือบางนา ต่อมาในวันที่ 11 พฤศจิกายน ในตอนสาย ผมจึงได้รับคำสั่งให้พานายปรีดี หลวงสังวรฯ จากบางนาไปส่งที่บริเวณเหนือพระสมุทรเจดีย์ สมุทรปราการ เพื่อเดินทางไปลี้ภัยที่ฐานทัพเรือสัตหีบต่อไป

ในการนี้ ร.อ. (ยศในขณะนั้น) จริง จุลละสุขุม เป็นผู้นำเรือ ทร. เรือลำเลียงขนาดย่อม เดินทะเลได้ ออกเดินทางจากกองเรือยุทธการในกรุงเทพฯ ตามคำสั่งของผู้ใหญ่ไปรับช่วง รับเอานายปรีดี หลวงสังวรฯ พร้อมด้วยคณะติดตามเดินทางไปลี้ภัยในกรมนาวิกโยธินสัตหีบต่อไป หลังจากนั้นอีกประมาณ 7 หรือ 10 วัน นายปรีดีจึงได้ลี้ภัยจากสัตหีบต่อไปอีกยังประเทศสิงคโปร์”

เรือเอกวัชรชัย ชัยสิทธิเวช คนสนิทของนายปรีดี พนมยงค์ ยังเล่าด้วยว่า “หลวงสินธุ์แกหลบ ลุงเข้าใจว่าหลวงสินธุ์แกคงแอบตกลงกับฝ่ายรัฐประหารแล้ว แกไม่เล่นกับอาจารย์แล้ว หลวงสินธุ์ไม่ยอมมาพบ”

หลวงสินธุสงครามชัย
กับการรัฐประหาร

“พลิกแผ่นดิน” ของ ประจวบ อัมพะเศวต บันทึกเหตุการณ์สำคัญในช่วงนี้ว่าก่อนหน้าที่นายปรีดี พนมยงค์ จะเดินทางมาถึงที่กองบัญชาการกองทัพเรือที่สัตหีบนั้น รัฐมนตรีบางส่วนในคณะรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ซึ่งยังถือว่าตนยังมีสถานะตามกฎหมายได้ประชุมกันที่กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม

นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราวเพื่อที่จะได้ใช้อำนาจสั่งการต่อสู้กับคณะรัฐประหาร ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ภายหลังว่าที่ประชุมมีความเห็นแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายที่เห็นว่าไม่ควรต่อต้านมีเสียงข้างมากจึงระงับความคิดในการต่อสู้ไป แต่ความคิดที่จะต่อต้านคณะรัฐประหารยังมีอยู่

นายไสว สุทธิพิทักษ์ บันทึกต่อไปว่า เช้ามืดวันที่ 9 พฤศจิกายน นายปรีดี พนมยงค์ และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ส่งตนไปเป็นตัวแทนพบกับหลวงอดุลเดชจรัส ผู้บัญชาการทหารบก เพื่อต่อต้านคณะรัฐประหาร แต่หลวงอดุลเดชจรัสปฏิเสธ เพื่อเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และขอให้นายปรีดี พนมยงค์ และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์หลบหนีไปก่อน

นายกนต์ธีร์ ศุภมงคล ก็บันทึกไว้ว่า หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เคยทาบทามหลวงสินธุสงครามชัยให้ต่อต้านคณะรัฐประหาร แต่ได้รับคำตอบว่าไม่ได้คิดและไม่สนใจทำการต่อต้าน นายกนต์ธีร์ ศุภมงคล เข้าใจว่าทั้งผู้บัญชาการทางทหารบกและผู้บัญชาการทหารเรือแม้จะไม่พอใจคณะรัฐประหาร แต่ก็ไม่สนับสนุนรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์

แต่มีบันทึกของนายทวี บุณยเกตุ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลวงสินธุสงครามชัยอาจมีความพยายามที่จะต่อต้านคณะรัฐประหารโดยสนับสนุนนายทวี บุณยเกตุ ซึ่งไม่ได้ร่วมคณะรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ให้เป็นหัวหน้า ว่า ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ผู้บัญชาการทหารเรือมาพบนายทวี บุณยเกตุ ที่บ้านและถามว่าจะร่วมมือเป็นหัวหน้าทำการต่อต้านคณะรัฐประหารหรือไม่

แต่นายทวี บุณยเกตุ ไม่ตอบตกลง โดยมีเหตุผลว่าไม่อยากทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นไปอีก จากการที่มีกลุ่มการเมืองถึง 3 กลุ่ม คือ กลุ่มหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ซึ่งเป็นกลุ่มถูกกฎหมาย กลุ่มคณะรัฐประหาร และกลุ่มนายทวี บุณยเกตุ

 

ประจวบ อัมพะเศวต เชื่อว่าอาจมีการเคลื่อนไหวจากหลวงสินธุสงครามชัยจริง เพราะกลุ่มทหารเรือนั้นมีแนวคิดพื้นฐานนอกจากจะต่อต้านและไม่ต้องการให้กองทัพบกหวนกลับมามีบทบาททางการเมืองอีกแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการสนับสนุนรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ด้วย สอดคล้องกับท่าทีของหลวงสังวรยุทธกิจผู้นำคนสำคัญของอดีตเสรีไทยที่ไม่ต้องการต่อต้านคณะรัฐประหาร เนื่องจากไม่พอใจรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เช่นเดียวกัน

เรือเอกแก้ววิเชียร แววสูงเนิน บันทึกไว้ใน “ทหารเรือขบถ?” ว่า ในชั้นต้น ผู้บัญชาการทหารเรือได้สั่งการไปยังทหารเรือหน่วยต่างๆ ให้อยู่ในความสงบเนื่องจาก “ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริง ในขณะที่คณะรัฐประหารเตรียมการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ รัฐบาลเก่าที่เขาถือว่ามีอำนาจอันชอบธรรมเพราะเป็นรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนจะปล่อยวางหรือไม่ หรือจะคิดปราบปรามคณะรัฐประหารต่อไป ทหารเรือจะยังถือว่ารัฐบาลเก่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องไปก่อนจนกว่าจะเห็นได้แน่ชัดว่าผู้ยึดอำนาจสามารถปกครองบ้านเมืองได้เรียบร้อย ฉะนั้น ทหารเรือจะต้องเตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์ของประเทศอันอาจจะเกิดขึ้น จะต้องไม่ให้ฝ่ายใดมาดึงเอาทหารเรือไปใช้ประโยชน์”

เรือเอกแก้ววิเชียร แววสูงเนิน บันทึกต่อไปว่า บุคคลสำคัญในคณะรัฐบาลเก่าได้พากันหนีไปรวมกันอยู่ที่สัตหีบ เพื่อเตรียมต่อต้านรัฐประหารโดยหวังเอากำลังทหารเรือร่วมกับพลพรรคเสรีไทยเข้าทำการยึดอำนาจคืนมา ทั้งนี้ ก็คงจะด้วยความคิดที่ว่าทหารเรือมีความผูกพันกับเสรีไทยอยู่มาก

“นายปรีดี พนมยงค์ หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ หลวงสังวรยุทธกิจ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายเตียง ศิริขันธ์ ได้ไปรวมอยู่สัตหีบทั้งนั้น”

 

ร.ต.อ.เฉียบ อัมพุนันท์ เล่าว่า นายเตียง ศิริขันธ์ ซึ่งร่วมประชุมอยู่ที่สัตหีบด้วยนั้นได้แจ้งว่าจะกลับไปอีสานเตรียมตัวรบ จะไม่ยอมขึ้นกับรัฐบาลคณะรัฐประหารนี้เพราะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจะประกาศอีสานเป็นอิสระจนกว่าจะได้รัฐบาลของประชาชนอย่างแท้จริง แต่ความคิดนี้ถูกคัดค้านจาก พล.ร.ท.ผัน นาวาวิจิตร ผู้บัญชาการกองเรือรบ และ พล.ร.ท.สังวร สุวรรณชีพ อธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งไม่ต้องการจะนำทหารเรือเข้าต่อสู้กับคณะรัฐประหาร แต่นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ และนายเตียง ศิริขันธ์ ยังคงยืนกรานความคิดของตน

ความเห็นที่ไม่ตรงกันและยังหาทางออกไม่ได้นี้คลี่คลายลงเมื่อนายปรีดี พนมยงค์ ตัดสินใจเดินทางไปลี้ภัยที่สิงคโปร์ และได้กล่าวปราศรัยผ่านสถานีวิทยุแห่งหนึ่งว่า “องค์การเสรีไทยได้สร้างขึ้นเพื่อต่อต้านญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ไม่ใช่เพื่อประหัตประหารคนไทยด้วยกันเอง องค์การนี้ได้เลิกล้มไปเมื่อสงครามสิ้นสุดลง คงมีแต่มิตรภาพเก่าๆ เท่านั้นที่เป็นเกลียวสัมพันธ์กันอยู่ แต่ในทำนองเดียวกัน ข้าพเจ้าใคร่ขอร้องต่อผู้ที่ครองอำนาจไม่ให้กระทำการใดๆ อันเป็นการท้าทายเพื่อนฝูงของข้าพเจ้า”

นายสวัสดิ์ ตราชู อดีตเสรีไทยซึ่งใกล้ชิดกับนายเตียง ศิริขันธ์ เล่าเสริมว่า ต่อมา นายเตียง ศิริขันธ์ ได้เดินทางกลับจังหวัดสกลนครและนำอาวุธที่เก็บรวบรวมไว้ในระหว่างสงครามแจกจ่ายแก่กลุ่มชาวบ้าน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครูประชาบาล และข้าราชการบางส่วนที่เคยร่วมฝึกอบรมอาวุธหรือเป็นเสรีไทย จากนั้นได้รวบรวมอาสาสมัครทั้งในจังหวัดสกลนครและใกล้เคียงขึ้นไปตั้งค่ายบนเทือกเขาภูพานเป็นศูนย์บัญชาการต่อต้านคณะรัฐประหาร ฝ่ายรัฐบาลได้จัดทหารจากจังหวัดนครราชสีมาถึง 5 กองร้อยขึ้นตามล่าแต่ไม่ประสบความสำเร็จ

การไม่เข้าแทรกแซงการรัฐประหารของกองทัพเรือครั้งนี้ แม้จะไม่นำไปสู่การนองเลือดจากที่มีกำลังพลและอาวุธก้ำกึ่งกัน

แต่ก็เป็นการเปิดโอกาสให้กองทัพบกได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญในการเมืองไทยแบบไร้คู่แข่งจนส่งผลต่อเนื่องยาวนานมาจนบัดนี้