สึนามิ ‘บาเลนเซีย’

ทวีศักดิ์ บุตรตัน
AP Photo/Emilio Morenatti

 

ดูคลิปน้ำท่วมที่ “บาเลนเซีย” (Valencia) ประเทศสเปนแล้วหวนนึกถึงภาพน้ำท่วม อ.แม่สาย จ.เชียงราย ระยะทางบินของ 2 เมืองห่างกันเกือบ 1 หมื่นกิโลเมตร แต่กลับมีความเหมือนๆ กันไม่น้อยทีเดียว ก่อนเกิดเหตุฝนตกหนักยังกับฟ้าถล่ม ตามด้วยมวลกระแสน้ำเปื้อนด้วยโคลนแดงข้นคลั่กปนด้วยเศษไม้ขยะไหลบ่าทะลักท่วมทำลายเมืองพินาศย่อยยับ ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็วฉับพลันจนไม่มีฝ่ายไหนตั้งรับได้

จะมีความต่างเพียงความเป็นเมือง เนื่องจาก “บาเลนเซีย” เป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของสเปน มีประชากรหนาแน่นเกือบ 9 แสนคน มากกว่าประชากรแม่สายเกือบ 8 เท่าตัว เหตุน้ำท่วมครั้งนี้ชาวบาเลนเซียเสียชีวิตไม่น้อยกว่า 213 คน เพราะผังเมืองเก่าบ้านเรือนสร้างมานาน อยู่อาศัยติดประชิดกัน

ขณะที่เกิดมวลน้ำทะลักในเวลาทุ่มเศษของวันที่ 29 ตุลาคม ผู้คนเพิ่งเลิกงาน คลิปที่เผยแพร่ในโลกโชเชียล แสดงให้เห็นว่า เวลา 19.30 น. การจราจรภายในเมืองบาเลนเซียติดหนัก

อีก 10 นาทีต่อมา กระแสลมพัดแรง แรงจัดกระแสน้ำทะลักเข้ามาในเมืองท่วมถนน รถยิ่งติดหนักเพราะผู้คนรู้ข่าวว่ามีมวลน้ำมหาศาลพยายามหาทางออก จากนั้นเพียงไม่กี่วินาที กระแสน้ำเพิ่มสูงขึ้นท่วมจนมิดตัวรถ

ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ระหว่างเดินทางด้วยรถยนต์ มวลน้ำไหลบ่าท่วมและกระชากตัวรถลอยเคว้งไปอัดในอุโมงค์ลอดใต้ถนน หรือไม่ก็ตกไหล่ทางที่มีน้ำท่วมสูง ส่วนผู้เสียชีวิตที่อยู่ในบ้านพักหรืออพาร์ตเมนต์ เป็นผู้สูงวัย ผู้พิการ และเด็กๆ

 

“กิลเยอร์โม เซอราโน เปเรซ” หนุ่มวัย 21 ปี บอกกับสื่อบีบีซีของอังกฤษว่า น้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มันมาเป็นระลอกคลื่น เหมือนคลื่นสึนามิ

“เปเรซ” เห็นคลื่นเหมือนสึนามิระหว่างขับรถยนต์บนมอเตอร์เวย์รีบพาพ่อแม่ออกจากรถหนีขึ้นไปบนสะพาน เป็นนาทีชีวิตอันระทึกที่สุดเพราะตัดสินใจช้าอีกอึดใจเดียว คงจะโดนมวลน้ำกระชากลอยไปพร้อมกับรถ

เช่นเดียวกับไดอานา วิตเวลล์ ชาวอังกฤษวัย 60 ปี พาครอบครัวมาพักผ่อนในวิลลาบนเนินเขาห่างจากเมืองบาเลนเซีย 22 กิโลเมตร เล่าให้บีบีซีฟังว่า พายุฝนถล่มนานกว่า 8 ชั่วโมง แล้วเห็นมวลน้ำเหมือนคลื่นสึนามิทะลักจากภูเขาลงสู่เบื้องล่างที่เป็นตัวเมือง

ก่อนเกิด “คลื่นสึนามิ” สำนักงานอุตุนิยมวิทยาสเปน ออกคำเตือนขั้นสูงสุดผ่านโชเชียลมีเดียในเวลา 7 โมงเช้าของวันอังคารที่ 29 ตุลาคม ตามเวลาท้องถิ่นว่าจะมีฝนตกหนักมาก ห้ามเดินทาง เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเท่านั้น

แต่ทางฝ่ายผู้บริหารเมืองบาเลนเซียกลับโพสต์ข้อความผ่านโชเชียลมีเดียว่า ฝนที่ตกหนัก คาดว่าจะซาลงและหยุดตกในเวลาประมาณ 6 โมงเย็น

ผ่านไป 9 ชั่วโมง ศูนย์ป้องกันภัยฉุกเฉินของเมืองบาเลนเซีย แจ้งว่าเกิดเหตุน้ำท่วมหนักในพื้นที่หลายแห่ง มวลน้ำพุ่งสูงกว่า 2 เมตร ทะลักถล่มเมือง กระชากสรรพสิ่งที่กีดขวางทั้งของใช้ในบ้านเรือน รถยนต์ เสาไฟ หรือแม้กระทั่งเก้าอี้นั่งเล่นข้างถนนไปกองรวมกัน

ตกกลางคืน เมืองทั้งเมืองมืดมิด ไฟฟ้าดับหมด ไม่มีน้ำใช้ ระบบสื่อสารล่ม โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ ถนนพังเป็นหลุมบ่อ การเดินทางหยุดชะงัก

ห้วงเวลาที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วชนิดหน้ามือเป็นหลังมือจากความเป็นปกติเป็นความไม่ปกติ และเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของเมืองนี้

บรรดาผู้รอดชีวิตพากันรุมประณามผู้บริหารเมืองบาเลนเซียว่าทำไมไม่แจ้งเตือนให้เร็วกว่านี้ และหลังเกิดเหตุแล้วรู้สึกเหมือนประชาชนถูกทอดทิ้ง

 

บาเลนเซียเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของสเปน มีประวัติศาสตร์ความเป็นมากว่า 2,100 ปี เคยเป็นอาณานิคมโรมันและรุ่งเรืองมากในศตวรรษที่ 18 เพราะเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมผ้าไหม เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าที่จอแจหนาแน่นที่สุดอันดับสองในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

ปัจจุบัน บาเลนเซียเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างสูง มีจุดท่องเที่ยวให้ชมมากมาย อาทิ ศูนย์ศิลปะและวิทยาศาสตร์, ลาลอนฆา (La Lonja) ศูนย์แลกเปลี่ยนผ้าไหมที่มีสถาปัตยกรรมโกธิกซึ่งได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลก มีพิพิธภัณฑ์ให้เลือกชมตามรสนิยมมากถึง 34 แห่ง

สวนสาธารณะตูเรีย (Turia Park) ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของสเปน มีพื้นที่ให้เดินชมสวนต้นไม้นานาพันธุ์ ระยะทาง 9 กิโลเมตร เป็นที่นิยมของนักปั่นจักรยาน นักจ๊อกกิ้ง และเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง

นักท่องเที่ยวเดินทอดน่องไปชมพิพิธภัณฑ์ใต้ทะเล โรงโอเปร่า สะพานประวัติศาสตร์ “เซอร์ราโนส” ศตวรรษที่ 16 สะพานตรินิแดด ศตวรรษที่ 15 เพราะอยู่ในละแวกเดียวกัน

เช้าตรู่หลังเหตุการณ์น้ำท่วมผ่านไป สภาพความเป็นเมืองบาเลนเซียเละตุ้มเป๊ะ ร้านรวง บ้านเรือน ศูนย์ศิลปะ พิพิธภัณฑ์ มีแต่โคลนตมเปื้อนเปรอะ ของใช้ เฟอร์นิเจอร์ เศษขยะเกลื่อนกลาด

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งสเปน จัดทำแผนที่แสดงปริมาณน้ำฝนในพื้นที่เมืองบาเลนเซีย เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 พื้นที่สีแดงและสีส้มมีค่าเฉลี่ยมวลน้ำ 125-300 ลิตรต่อตารางเมตร

เมื่อชาวบาเลนเซียหายจากอาการช็อก นัดกันไปรวมพลังที่ศูนย์ศิลปะและพิพิธภัณฑ์ เป็นที่ตั้งหน่วยฟื้นฟูเมืองซึ่งมีอาสาสมัครนับกว่าหมื่นคนเข้าคิวรอรับถังน้ำ ไม้กวาด อาหารและน้ำ ช่วยเก็บกวาดโคลนตม สิ่งสกปรก หวังฟื้นเมืองให้กลับมาเป็นสวรรค์ของชาวบาเลนเซียอีกครั้ง

บางครอบครัวหอบลูกจูงหลานไปเป็นอาสาสมัครล้างเมืองบาเลนเซีย ถือเป็นการรวมใจครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง

รัฐบาลสเปนส่งกองกำลังทหาร หน่วยกู้ภัยและอาสมัครกว่า 4 หมื่นคนเข้าไปช่วยเหลือชาวบาเลนเซีย พร้อมกับยอมรับว่าต้องปรับปรุงระบบการเตือนภัยและการกู้ภัยให้ทันการณ์มากขึ้น

วันที่ 31 ตุลาคม องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ออกแถลงการณ์ว่า ปริมาณน้ำฝนและเกิดน้ำท่วมอย่างฉับพลันในประเทศสเปน เป็นโศกนาฏกรรมครั้งล่าสุด และเหตุเช่นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องในพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของโลก มีปัจจัยหลักมาจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงสุดขั้ว

 

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ไล่เรียงลำดับเหตุการณ์จากข้อมูลของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาสเปนพบว่า พื้นที่ทั่วบาเลนเซียในวันที่ 29 ตุลาคม วัดประมาณน้ำฝนได้มากกว่า 300 ลิตรต่อตารางเมตร (ดูในกราฟิกประกอบ)

สถานีตรวจวัดน้ำฝนเมืองชิวา (Chiva) มีน้ำฝนมากกว่า 491 ลิตรต่อตารางเมตร ในช่วงเพียง 8 ชั่วโมง เทียบเท่ากับปริมาณฝนที่ตกทั้งปีของเมืองนี้

ห้วงปีนี้ หลายพื้นที่ของทวีปยุโรปประสบวิกฤตน้ำท่วม โดยเฉพาะเดือนกันยายนที่ผ่านมา ยุโรปตอนกลางเจอน้ำท่วมหนักสุด ปริมาณน้ำฝนมีมากมหาศาล ลบสถิติเก่าๆ ทั้งของเมืองและระดับประเทศ

เหตุน้ำท่วม ภัยแล้งจะเกิดซ้ำๆ ซากๆ ดังที่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือไอพีซีซี (IPCC : The Intergovernmental Panel on Climate Change) ประเมินไว้ซึ่งเป็นผลจากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น

วัฏจักรอุทกวิทยา (hydrological cycles) เกี่ยวข้องกับการหมุนเวียนของน้ำอย่างต่อเนื่องทั้งบนดิน หรือในชั้นบรรยากาศโลก

จากน้ำบนพื้นโลกที่ระเหยไปเป็นก๊าซในชั้นบรรยากาศแล้วควบแน่นเปลี่ยนเป็นเมฆ น้ำค้างและพายุฝน

กระบวนการวัฏจักรอุทกวิทยา เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเพิ่มระดับความรุนแรงจนเวลานี้นักวิทยาศาสตร์ยากจะประเมินสถานการณ์ได้ทันท่วงที

เหตุการณ์ที่เกิดกับบาเลนเซีย เนื่องจากชั้นบรรยากาศโลกบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิแต่ยังมีอุณหภูมิสูง ความชื้นมากเมื่อมวลอากาศเย็นจากขั้วโลกเหนือแผ่ปกคลุมในบริเวณดังกล่าวจึงเกิดปฏิกิริยาทางเคมีทำให้ฝนตกหนักฉับพลัน ปริมาณน้ำฝนมีมวลมากมหาศาล

เหตุการณ์นี้ในภาษาสเปนเรียกว่า เดนา (DANA) หรือระเบิดฝน

อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส จะเพิ่มความชื้นในชั้นบรรยากาศโลก 7 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น เมื่ออุณหภูมิโลกเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่สภาพภูมิอากาศจะแปรปรวนสุดขั้ว เป็นพายุฝนเกรี้ยวกราดหรือคลื่นความร้อนที่ร้อนสุดสุด จึงเกิดขึ้นบนโลกใบนี้มากขึ้นถี่ขึ้น

 

ฝนที่ตกหนักๆ ปริมาณน้ำฝนมีมาก แต่ผิวดินที่บาเลนเซียทั้งแห้งและแข็ง มวลน้ำรวมตัวเร็ว ไหลแรง เพิ่มความเร็วตามแรงโน้มถ่วงโลก จนชาวบาเลนเซียบอกว่า หลังฝนตกไม่นาน พื้นดินกลายเป็นมวลน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากอย่างไม่น่าเชื่อ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น

กลุ่มเครือข่ายความร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศ หรือ World Weather Attribution (WWA) มีทั้งนักอุทกศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ นักอุตุนิยมวิทยา ร่วมเขียนรายงานสรุปชิ้นล่าสุดเผยแพร่เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ระบุว่า เหตุการณ์ที่สเปน ปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นจากปกติ 12 เปอร์เซ็นต์

หรือเพิ่มเป็น 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อ 200 ปีก่อน ในเวลานั้นอุณหภูมิโลกเย็นกว่าปัจจุบัน 1.3 องศาเซลเซียส

ข้อสรุปนี้สอดคล้องกับการศึกษาเหตุการณ์ฝนตกหนักในยุโรป เช่น พายุแดเนียลและพายุบอริส

WWA ยังเปิดเผยผลการศึกษาพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของโลกพบว่าในปีนี้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มความเข้มของปริมาณน้ำฝนและผลกระทบของภัยพิบัติน้ำท่วมในประเทศไนจีเรีย ไนเจอร์ แคเมอรูน แอฟริกาตะวันตก แอฟริกาตะวันออก เนปาล อินเดีย ปากีสถาน อัฟกานิสถาน และบราซิลตอนใต้

เมื่อเหตุพิบัติทางธรรมชาติตามล้างตามผลาญเอาชีวิตผู้คนทั่วโลกรุนแรงขึ้นบ่อยครั้งขึ้นเช่นนี้ เราต้องจับตาดูว่า ผู้นำจากประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติปี 2024 หรือ COP 29 ระหว่างวันที่ 11-22 พฤศจิกายนนี้ ที่เมืองบากู เมืองหลวงของประเทศอาเซอร์ไบจาน จะมีปัญญาแก้ปัญหาลดโลกเดือดได้หรือไม่? •