ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 พฤศจิกายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | สิ่งแวดล้อม |
ผู้เขียน | ทวีศักดิ์ บุตรตัน |
เผยแพร่ |
ดูคลิปน้ำท่วมที่ “บาเลนเซีย” (Valencia) ประเทศสเปนแล้วหวนนึกถึงภาพน้ำท่วม อ.แม่สาย จ.เชียงราย ระยะทางบินของ 2 เมืองห่างกันเกือบ 1 หมื่นกิโลเมตร แต่กลับมีความเหมือนๆ กันไม่น้อยทีเดียว ก่อนเกิดเหตุฝนตกหนักยังกับฟ้าถล่ม ตามด้วยมวลกระแสน้ำเปื้อนด้วยโคลนแดงข้นคลั่กปนด้วยเศษไม้ขยะไหลบ่าทะลักท่วมทำลายเมืองพินาศย่อยยับ ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็วฉับพลันจนไม่มีฝ่ายไหนตั้งรับได้
จะมีความต่างเพียงความเป็นเมือง เนื่องจาก “บาเลนเซีย” เป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของสเปน มีประชากรหนาแน่นเกือบ 9 แสนคน มากกว่าประชากรแม่สายเกือบ 8 เท่าตัว เหตุน้ำท่วมครั้งนี้ชาวบาเลนเซียเสียชีวิตไม่น้อยกว่า 213 คน เพราะผังเมืองเก่าบ้านเรือนสร้างมานาน อยู่อาศัยติดประชิดกัน
ขณะที่เกิดมวลน้ำทะลักในเวลาทุ่มเศษของวันที่ 29 ตุลาคม ผู้คนเพิ่งเลิกงาน คลิปที่เผยแพร่ในโลกโชเชียล แสดงให้เห็นว่า เวลา 19.30 น. การจราจรภายในเมืองบาเลนเซียติดหนัก
อีก 10 นาทีต่อมา กระแสลมพัดแรง แรงจัดกระแสน้ำทะลักเข้ามาในเมืองท่วมถนน รถยิ่งติดหนักเพราะผู้คนรู้ข่าวว่ามีมวลน้ำมหาศาลพยายามหาทางออก จากนั้นเพียงไม่กี่วินาที กระแสน้ำเพิ่มสูงขึ้นท่วมจนมิดตัวรถ
ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ระหว่างเดินทางด้วยรถยนต์ มวลน้ำไหลบ่าท่วมและกระชากตัวรถลอยเคว้งไปอัดในอุโมงค์ลอดใต้ถนน หรือไม่ก็ตกไหล่ทางที่มีน้ำท่วมสูง ส่วนผู้เสียชีวิตที่อยู่ในบ้านพักหรืออพาร์ตเมนต์ เป็นผู้สูงวัย ผู้พิการ และเด็กๆ
“กิลเยอร์โม เซอราโน เปเรซ” หนุ่มวัย 21 ปี บอกกับสื่อบีบีซีของอังกฤษว่า น้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มันมาเป็นระลอกคลื่น เหมือนคลื่นสึนามิ
“เปเรซ” เห็นคลื่นเหมือนสึนามิระหว่างขับรถยนต์บนมอเตอร์เวย์รีบพาพ่อแม่ออกจากรถหนีขึ้นไปบนสะพาน เป็นนาทีชีวิตอันระทึกที่สุดเพราะตัดสินใจช้าอีกอึดใจเดียว คงจะโดนมวลน้ำกระชากลอยไปพร้อมกับรถ
เช่นเดียวกับไดอานา วิตเวลล์ ชาวอังกฤษวัย 60 ปี พาครอบครัวมาพักผ่อนในวิลลาบนเนินเขาห่างจากเมืองบาเลนเซีย 22 กิโลเมตร เล่าให้บีบีซีฟังว่า พายุฝนถล่มนานกว่า 8 ชั่วโมง แล้วเห็นมวลน้ำเหมือนคลื่นสึนามิทะลักจากภูเขาลงสู่เบื้องล่างที่เป็นตัวเมือง
ก่อนเกิด “คลื่นสึนามิ” สำนักงานอุตุนิยมวิทยาสเปน ออกคำเตือนขั้นสูงสุดผ่านโชเชียลมีเดียในเวลา 7 โมงเช้าของวันอังคารที่ 29 ตุลาคม ตามเวลาท้องถิ่นว่าจะมีฝนตกหนักมาก ห้ามเดินทาง เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเท่านั้น
แต่ทางฝ่ายผู้บริหารเมืองบาเลนเซียกลับโพสต์ข้อความผ่านโชเชียลมีเดียว่า ฝนที่ตกหนัก คาดว่าจะซาลงและหยุดตกในเวลาประมาณ 6 โมงเย็น
ผ่านไป 9 ชั่วโมง ศูนย์ป้องกันภัยฉุกเฉินของเมืองบาเลนเซีย แจ้งว่าเกิดเหตุน้ำท่วมหนักในพื้นที่หลายแห่ง มวลน้ำพุ่งสูงกว่า 2 เมตร ทะลักถล่มเมือง กระชากสรรพสิ่งที่กีดขวางทั้งของใช้ในบ้านเรือน รถยนต์ เสาไฟ หรือแม้กระทั่งเก้าอี้นั่งเล่นข้างถนนไปกองรวมกัน
ตกกลางคืน เมืองทั้งเมืองมืดมิด ไฟฟ้าดับหมด ไม่มีน้ำใช้ ระบบสื่อสารล่ม โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ ถนนพังเป็นหลุมบ่อ การเดินทางหยุดชะงัก
ห้วงเวลาที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วชนิดหน้ามือเป็นหลังมือจากความเป็นปกติเป็นความไม่ปกติ และเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของเมืองนี้
บรรดาผู้รอดชีวิตพากันรุมประณามผู้บริหารเมืองบาเลนเซียว่าทำไมไม่แจ้งเตือนให้เร็วกว่านี้ และหลังเกิดเหตุแล้วรู้สึกเหมือนประชาชนถูกทอดทิ้ง
บาเลนเซียเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของสเปน มีประวัติศาสตร์ความเป็นมากว่า 2,100 ปี เคยเป็นอาณานิคมโรมันและรุ่งเรืองมากในศตวรรษที่ 18 เพราะเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมผ้าไหม เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าที่จอแจหนาแน่นที่สุดอันดับสองในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ปัจจุบัน บาเลนเซียเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างสูง มีจุดท่องเที่ยวให้ชมมากมาย อาทิ ศูนย์ศิลปะและวิทยาศาสตร์, ลาลอนฆา (La Lonja) ศูนย์แลกเปลี่ยนผ้าไหมที่มีสถาปัตยกรรมโกธิกซึ่งได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลก มีพิพิธภัณฑ์ให้เลือกชมตามรสนิยมมากถึง 34 แห่ง
สวนสาธารณะตูเรีย (Turia Park) ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของสเปน มีพื้นที่ให้เดินชมสวนต้นไม้นานาพันธุ์ ระยะทาง 9 กิโลเมตร เป็นที่นิยมของนักปั่นจักรยาน นักจ๊อกกิ้ง และเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง
นักท่องเที่ยวเดินทอดน่องไปชมพิพิธภัณฑ์ใต้ทะเล โรงโอเปร่า สะพานประวัติศาสตร์ “เซอร์ราโนส” ศตวรรษที่ 16 สะพานตรินิแดด ศตวรรษที่ 15 เพราะอยู่ในละแวกเดียวกัน
เช้าตรู่หลังเหตุการณ์น้ำท่วมผ่านไป สภาพความเป็นเมืองบาเลนเซียเละตุ้มเป๊ะ ร้านรวง บ้านเรือน ศูนย์ศิลปะ พิพิธภัณฑ์ มีแต่โคลนตมเปื้อนเปรอะ ของใช้ เฟอร์นิเจอร์ เศษขยะเกลื่อนกลาด

เมื่อชาวบาเลนเซียหายจากอาการช็อก นัดกันไปรวมพลังที่ศูนย์ศิลปะและพิพิธภัณฑ์ เป็นที่ตั้งหน่วยฟื้นฟูเมืองซึ่งมีอาสาสมัครนับกว่าหมื่นคนเข้าคิวรอรับถังน้ำ ไม้กวาด อาหารและน้ำ ช่วยเก็บกวาดโคลนตม สิ่งสกปรก หวังฟื้นเมืองให้กลับมาเป็นสวรรค์ของชาวบาเลนเซียอีกครั้ง
บางครอบครัวหอบลูกจูงหลานไปเป็นอาสาสมัครล้างเมืองบาเลนเซีย ถือเป็นการรวมใจครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง
รัฐบาลสเปนส่งกองกำลังทหาร หน่วยกู้ภัยและอาสมัครกว่า 4 หมื่นคนเข้าไปช่วยเหลือชาวบาเลนเซีย พร้อมกับยอมรับว่าต้องปรับปรุงระบบการเตือนภัยและการกู้ภัยให้ทันการณ์มากขึ้น
วันที่ 31 ตุลาคม องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ออกแถลงการณ์ว่า ปริมาณน้ำฝนและเกิดน้ำท่วมอย่างฉับพลันในประเทศสเปน เป็นโศกนาฏกรรมครั้งล่าสุด และเหตุเช่นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องในพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของโลก มีปัจจัยหลักมาจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงสุดขั้ว
องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ไล่เรียงลำดับเหตุการณ์จากข้อมูลของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาสเปนพบว่า พื้นที่ทั่วบาเลนเซียในวันที่ 29 ตุลาคม วัดประมาณน้ำฝนได้มากกว่า 300 ลิตรต่อตารางเมตร (ดูในกราฟิกประกอบ)
สถานีตรวจวัดน้ำฝนเมืองชิวา (Chiva) มีน้ำฝนมากกว่า 491 ลิตรต่อตารางเมตร ในช่วงเพียง 8 ชั่วโมง เทียบเท่ากับปริมาณฝนที่ตกทั้งปีของเมืองนี้
ห้วงปีนี้ หลายพื้นที่ของทวีปยุโรปประสบวิกฤตน้ำท่วม โดยเฉพาะเดือนกันยายนที่ผ่านมา ยุโรปตอนกลางเจอน้ำท่วมหนักสุด ปริมาณน้ำฝนมีมากมหาศาล ลบสถิติเก่าๆ ทั้งของเมืองและระดับประเทศ
เหตุน้ำท่วม ภัยแล้งจะเกิดซ้ำๆ ซากๆ ดังที่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือไอพีซีซี (IPCC : The Intergovernmental Panel on Climate Change) ประเมินไว้ซึ่งเป็นผลจากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น
วัฏจักรอุทกวิทยา (hydrological cycles) เกี่ยวข้องกับการหมุนเวียนของน้ำอย่างต่อเนื่องทั้งบนดิน หรือในชั้นบรรยากาศโลก
จากน้ำบนพื้นโลกที่ระเหยไปเป็นก๊าซในชั้นบรรยากาศแล้วควบแน่นเปลี่ยนเป็นเมฆ น้ำค้างและพายุฝน
กระบวนการวัฏจักรอุทกวิทยา เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเพิ่มระดับความรุนแรงจนเวลานี้นักวิทยาศาสตร์ยากจะประเมินสถานการณ์ได้ทันท่วงที
เหตุการณ์ที่เกิดกับบาเลนเซีย เนื่องจากชั้นบรรยากาศโลกบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิแต่ยังมีอุณหภูมิสูง ความชื้นมากเมื่อมวลอากาศเย็นจากขั้วโลกเหนือแผ่ปกคลุมในบริเวณดังกล่าวจึงเกิดปฏิกิริยาทางเคมีทำให้ฝนตกหนักฉับพลัน ปริมาณน้ำฝนมีมวลมากมหาศาล
เหตุการณ์นี้ในภาษาสเปนเรียกว่า เดนา (DANA) หรือระเบิดฝน
อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส จะเพิ่มความชื้นในชั้นบรรยากาศโลก 7 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น เมื่ออุณหภูมิโลกเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่สภาพภูมิอากาศจะแปรปรวนสุดขั้ว เป็นพายุฝนเกรี้ยวกราดหรือคลื่นความร้อนที่ร้อนสุดสุด จึงเกิดขึ้นบนโลกใบนี้มากขึ้นถี่ขึ้น
ฝนที่ตกหนักๆ ปริมาณน้ำฝนมีมาก แต่ผิวดินที่บาเลนเซียทั้งแห้งและแข็ง มวลน้ำรวมตัวเร็ว ไหลแรง เพิ่มความเร็วตามแรงโน้มถ่วงโลก จนชาวบาเลนเซียบอกว่า หลังฝนตกไม่นาน พื้นดินกลายเป็นมวลน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากอย่างไม่น่าเชื่อ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น
กลุ่มเครือข่ายความร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศ หรือ World Weather Attribution (WWA) มีทั้งนักอุทกศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ นักอุตุนิยมวิทยา ร่วมเขียนรายงานสรุปชิ้นล่าสุดเผยแพร่เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ระบุว่า เหตุการณ์ที่สเปน ปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นจากปกติ 12 เปอร์เซ็นต์
หรือเพิ่มเป็น 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อ 200 ปีก่อน ในเวลานั้นอุณหภูมิโลกเย็นกว่าปัจจุบัน 1.3 องศาเซลเซียส
ข้อสรุปนี้สอดคล้องกับการศึกษาเหตุการณ์ฝนตกหนักในยุโรป เช่น พายุแดเนียลและพายุบอริส
WWA ยังเปิดเผยผลการศึกษาพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของโลกพบว่าในปีนี้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มความเข้มของปริมาณน้ำฝนและผลกระทบของภัยพิบัติน้ำท่วมในประเทศไนจีเรีย ไนเจอร์ แคเมอรูน แอฟริกาตะวันตก แอฟริกาตะวันออก เนปาล อินเดีย ปากีสถาน อัฟกานิสถาน และบราซิลตอนใต้
เมื่อเหตุพิบัติทางธรรมชาติตามล้างตามผลาญเอาชีวิตผู้คนทั่วโลกรุนแรงขึ้นบ่อยครั้งขึ้นเช่นนี้ เราต้องจับตาดูว่า ผู้นำจากประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติปี 2024 หรือ COP 29 ระหว่างวันที่ 11-22 พฤศจิกายนนี้ ที่เมืองบากู เมืองหลวงของประเทศอาเซอร์ไบจาน จะมีปัญญาแก้ปัญหาลดโลกเดือดได้หรือไม่? •