ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 พฤศจิกายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | เรื่องสั้น |
เผยแพร่ |
พรุ่งนี้เรืออาจจะมา | เรื่องสั้น
นฤพนธ์ สุดสวาท
ผมถูกเชิญให้กดถูกใจ
เพจโลกแบน
ห้องมืดมิดเหลือแสงแค่หน้าจอ นอกหน้าต่างไม่มีแม้ดวงดาวกะพริบ เป็นช่วงเวลาที่ผมทิ้งตัวเองลงในหลุมดำ ไม่สุงสิงเสวนากับใคร เก็บตัวเงียบเชียบเผื่อจะพบเช้าที่ดีกว่า แม้พ่อเพิ่งตายไปไม่นาน แต่ใช่ว่าผมจะคิดถึง บางสิ่งที่ประทับแผ่นหลังต่างหากที่ทำให้ต้องกอบกู้ตัวเอง
หนึ่งเดือนครั้งที่จะผมฝันร้าย ฝันจำลองเหตุการณ์วันนั้นมาทุกอย่าง ไม่คลาดเคลื่อนสักช่วงตอน วันที่ไม้หวายเปลี่ยนจากฟาดขามาเป็นแผ่นหลัง ฟาดซ้ำต่อเนื่องจนสลบ สะดุ้งตื่นยังเจ็บแปลบบนเนื้อหนัง
ห้องมืดมิดที่มีแค่แสงบนหน้าจอ มีเสียงสั่นแจ้งเตือนเพิ่มเข้ามา
คลื่นลมก็อยู่แบบนั้น
มีแต่เราที่วิ่งเข้าหามัน
ก่อนท้องฟ้าทิ้งแสงสุดท้าย ที่หาดแสงจันทร์ ผมมาพบจ๋าเป็นครั้งแรก
จะว่าไปเราเคยพบกันก่อนหน้านั้น
จ๋าเป็นคนชักชวนให้ผมกดถูกใจเพจ ซึ่งผมก็อ่านทุกโพสต์รวมทั้งความคิดเห็นต่างๆ บนสมรภูมิความเชื่อ หักล้างกันด้วยเหตุผลคนละชุด สวมเสื้อหรือรองเท้ากีฬาคนละยี่ห้อ พูดถึงความจริงของคุณสมบัติที่ตัวเองรู้จากแบรนด์นั้น จ๋าเป็นหนึ่งในนั้นแหละ ได้รับการปักป้ายว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้เพจโลกแบน เธอไม่ใช่สาวกฮาร์ดคอร์ที่จะเข้ามาปกป้องเพจด้วยความรู้ภูมิปัญญา แค่พิมพ์ว่า ขอบคุณค่ะ ชอบมากข้อมูลนี้ มีอ่านต่ออีกไหมคะ อะไรเทือกนั้น ผมนึกถึงภาพพ่อแก่แม่เฒ่าไกลปืนเที่ยงที่นั่งต่อหน้าภิกษุผู้ธุดงค์ผ่านทาง ก้มหน้ามองดิน พนมมือรอเปล่งวาจาสาธุ
ผมกดหัวเราะคอมเมนต์เธอ
หลังจากวันที่ผมกดรับคำเชิญ ผมกดอ่านโพสต์ทุกอัน รวมถึงไล่ย้อนหลังอ่านอีกมายมาย ใช่ว่าผมเคลิ้มฝันเชื่อว่าโลกแบน ผมกำลังค้นหาว่าอะไรที่ทำให้พวกเขาเชื่อแบบนั้น
คาเฟ่หน้าหาดคนไม่พลุกพล่าน ร้านชั้นเดียวทาสีขาวสว่างจ้า กระจกกลมล้อมกรอบด้วยไม้สีอ่อน เคาน์เตอร์ไม้สีเดียวกับที่ตกแต่งทั่วร้าน ผมว่าอินทีเรียมักง่ายไป ไม่สร้างความโดดเด่นอะไรเลยสักนิด เก้าอี้สีสันลานตา เซิร์ฟบอร์ดเหลืองเก่าซีดวางพิงข้างประตูทางเข้า เจ้าของร้านคงหาซื้อมือสองจากไหนแน่นอน
เราเลือกนั่งติดกระจกกลมใสเห็นทัศนียภาพด้านนอกเต็มตา ในร้านมีคนรุ่นเราแต่งตัวเท่ๆ อีกเกือบสิบ
เรารู้จักกันเบื้องต้นผ่านเพจนั้น ผมเลือกแอดไปหลายคน มีแค่เธอที่รับผมเป็นเพื่อน ในความมหัศจรรย์ทั้งหมดที่ปรากฏบนโลก สิ่งที่น่าตื่นเต้นและน่าทึ่งที่สุดคงเป็นสิ่งที่เราเรียกว่าความบังเอิญ เราอยู่จังหวัดเดียวกัน
ความจริงคือเธอนัดอีกคนจากเพจ เขาอาศัยอยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วโมง เขาโทรมาบอกว่าติดธุระ จึงมีเพียงเราสองคนเพื่อพูดคุยกันถึงแผนการเดินเรือ
กลุ่มคนที่ไม่เชื่อว่าโลกใบนี้มีทรงกลม พวกเขาจัดงาน Flat Earth International Conference ขึ้นมา ส่งข่าวต่อสมาชิกที่กระจายทั่วโลกถึงการออกเดินเรือ จัดทริปยิ่งใหญ่ครั้งสำคัญ ประกาศด้วยว่าจะเป็นการเดินทางที่น่าตื่นตา กล้าหาญ ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมี เรือสำราญกำลังออกเดินทางเพื่อพิสูจน์ว่าขอบโลกมีอยู่จริง
ฟังผมเล่านะ ความคิดพวกเขาเป็นแบบนี้ โลกแบนราบเฉกเช่นเดียวกับแผ่นดิสก์ ขั้วโลกเหนืออยู่ตรงกลาง ด้านใต้ที่ปกติคืออาร์กติกกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่วางตัวโอบล้อม ถ้าเราเชื่อว่าโลกแบน แรงโน้มถ่วงจากแก่นกลางโลกที่ไหลวนด้วยเหล็กหลอมเหลวนั้นจะไปอยู่ที่ไหน แรงดึงดูดจากแม่เหล็กจะหายไป ทว่า แรงโน้มถ่วงของคนโลกแบนจะอยู่กึ่งกลาง ทุกสิ่งทุกอย่างต้องลาดเอียงเข้าหากลางโลก เหมือนพายุที่ใจกลางมีแรงดูดมหาศาล ยิ่งใกล้แรงยิ่งมาก จากนั้นจะน้อยลงตามระยะทางที่ไกลออกไป ทว่า คำอธิบายต่างๆ ไม่สามารถโน้มน้าวคนกลุ่มนี้ได้เลย ยังดีที่ความเชื่อยุคหลังยังมีขอบโลก ขอบน้ำแข็งสูง 150 ฟุตกั้นพวกเขาไม่ให้ตกโลกได้ แต่ในยุคโบราณมีคนเชื่อจริงๆ ว่าเราตกออกจากโลกใบนี้
เรื่องไร้สาระทั้งนั้นใช่ไหม
แต่ไม่นาน ผมก็เคลิบเคลิ้มกับข้อมูลที่ท่วมทับ
“เหลืออีกกี่วันนะ” ผมหมายถึงกำหนดการของเรือสำราญลำนั้น ผมไม่รู้เส้นทางที่พวกเขาเลือก แต่จ๋ามั่นใจว่าจะต้องตัดผ่านอ่าวไทย ถึงเวลานั้นเธอจะติดต่อพวกเขาทางกลุ่มหลักของต่างประเทศเพื่อสอบถาม
ไม่แน่ใจเลย อาจแวะตามทางเพื่อรอรับคน เธอบอก
ข้ามถนนไปเป็นชายหาด ตรงนั้นทรายไม่สวยนัก หยาบและสีขุ่น เลยออกไปเป็นเขื่อนตัวทียื่นรอรับลูกคลื่น ด้วยหลักการบางอย่างกระแสน้ำจะเซาะผืนดินน้อยลง เลยออกไปเป็นฟองคลื่น ออกไปอีกเป็นท้องทะเล ในระยะสายตาไม่มีเรือประมงแล่นผ่าน เลยออกไปเป็นริ้วเมฆ เลยออกไปอีกจนสุดเป็นเส้นขอบฟ้า เพื่อพิสูจน์ถึงความจริงว่าโลกมีจุดสิ้นสุด วิธีการที่จะประจักษ์ด้วยตนเองคือโดยสารไปบนเรือ ไปให้ถึงตรงนั้น ที่ที่เราสามารถมองด้วยตาว่าเป็นแนวเส้นตรง มีขอบกำแพงกั้นไม่ให้ตกลงไป
ทิ้งสายตาออกนอกร้านอีกครั้ง ชาวต่างชาติวัยรุ่นสองคนกำลังเดินตรงมา ระหว่างความเงียบเกิดขึ้น ผมเผลอเอามือลูบตะกรุดที่ข้อมือซ้าย
ตะกรุดที่เอ็ดเวิร์ดให้ผมเอาติดตัวมา
ผมเล่าถึงเรื่องเจ้าของเดิมคนเก่าก่อนนู้นของมัน จ๋าส่ายหัว ทิ้งท้ายว่ามีแต่พวกงมงายเท่านั้น เหมือนเครื่องรางทั่วไป ปลุกเสก เชื่อมั่น อย่าให้สิ่งใดมาสั่นคลอนหัวจิตหัวใจเรา จากนั้นโยนตัวเองเข้าเผชิญชะตากรรม
หากเราผ่านพ้นวิกฤตนั้นมาได้นั่นหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
และถ้าผ่านมาไม่ได้จะเรียกมันว่าอะไร
“เฮงซวย ชีวิตเป็นความเฮงซวยเสมอ” ดูเธอเกรี้ยวกราดชีวิตผิดแผกกับบุคลิกภายนอก
ผมลูบตะกรุด นิ่งนึกถึงเอ็ดเวิร์ด ชี้นิ้วทะลุกระจกร้านออกไปที่เส้นขอบฟ้า กลางคืนกำลังจะเข้ามาแทนที่กลางวัน “พวกนั้นบอกว่า ถ้าโลกแบนเราใช้แค่สามดวงพอแล้ว แต่ตอนนี้ใช้ดาวเทียมยี่สิบสี่ดวงลอยนอกชั้นบรรยากาศโลก เพื่อให้ระบบนำร่องจีพีเอสมีความแม่นยำ”
คนพวกนั้น พวกที่เข้ามาป่วนเพจ ยกชุดความรู้ทางเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ พวกเขาโยนมันใส่ทุกโพสต์ มองเห็นเราเป็นตัวตลก น่าขบขัน
จ๋าหัวเราะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ผมก้าวเข้ามา “เลิกพูดได้แล้ว คนทั้งโลกถูกหลอก”
เธออยู่ในเสื้อฮาวายโทนร้อนแรงตัวหลวมโพรก มีรูปคนเล่นโต้คลื่นขนาดเล็กตรงชายเสื้อ กราฟิกดอกไม้ไม่ทราบชื่อกระจายทั่ว ผมสั้นคล้ายเพิ่งตัด ร่องรอยกรรไกรหมาดใหม่ ทัดหูเผยหมุดต่างหูเล็กแวววาวสะท้อนแดดสุดท้ายของวัน ปกเชิ้ตใหญ่สไตล์ฮาวายเผยลำคอเรียวเล็กกับร่องไหปลาร้า ยิ้มละมุนเหมือนเป๊ะกับภาพที่ตั้งโปรไฟล์ ดวงตากลมเล็กรับสันจมูกกำลังดี ไม่สังเกตคงไม่เห็นขี้แมลงวัน นุ่งกางเกงกระบอกใหญ่ห้าส่วนสีเบจสบายตา
ย้ายสายตาจากจ๋าไปยังจุดที่น้ำทะเลซบหาดทราย ไม่เห็นหรอก ฟ้ามืดแล้ว แต่ผมรู้ว่าน้ำกำลังขึ้น และมันมาถึงตรงนั้น
จากที่ตรงนี้… ตรงจุดนั้น และเลยออกไปอีกเล็กน้อย คนหนุ่มมีอะไรบ้างท้าทายชีวิต เรามักพูดถึงความฝันบรรเจิดไม่รู้จบ แต่ไม่เคยลงมือทำ ผมเป็นแบบนั้น นึกอยากลองโยนลมหายใจไปกับการผจญภัยเหมือนเอ็ดเวิร์ด มันสนุกในจินตนาการอย่างไม่รู้จบแม้รู้ว่ามีความเจ็บปวดรออยู่ ลูกเรือที่ถวายชีวิตเพื่อปลาในท้องทะเล
คลื่นลมยังนิ่งอยู่แบบนั้น ผมอยากโถมตัวเข้าหามัน
คนหายไปในท้องทะเล
ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ในปีนั้นหลังฝรั่งเศสกับสยามแบ่งเขตแดนกัน บรรพบุรุษของเขาตกเป็นคนของฝั่งกัมพูชา ญาติทางฝั่งไทยก็ยังมี แต่พอถึงของเขาสายเลือดเริ่มถ่างกว้างออกไปจนนับญาติกันไม่ได้ ส่วนทางเกาะกง พวกเขารวมตัวกันอยู่แถวสุดปลายแหลมด้านใต้ ความเชื่อมโยงของเขากับไทยมีเท่านี้
เอ็ดเวิร์ดสลัดทิ้งคราบชาวประมง ทิ้งแหอวน กลิ่นปลา ทิ้งไอเค็มและนกนางนวลมาเป็นคนงานสวนของลุง เขาเล่าเรื่องที่ทำให้ต้องเปลี่ยนอาชีพ เรือเที่ยวสุดท้ายของเขาถูกทหารกัมพูชาจับ อ้างว่าเป็นทหาร เรียกเงินกลับมาทางเจ้าของเรือ เป็นเรื่องน่าตลกดี ทหารกัมพูชาจับเรือไทยเพื่อเรียกเงินให้ปล่อยลูกเรือกัมพูชา
เอ็ดเวิร์ดโม้วีรกรรมชีวิตในทะเลนับสิบปี ใครต่างหายไปในท้องทะเลได้ทั้งนั้น เขาบอกแบบนี้ เป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นกับคนเรือ วันหนึ่งตอนอยู่กับผม วันนั้นเราไปปีนน้ำตกแถบรอยต่อจันทบุรีซึ่งไม่ไกลจากสวน เขาถลกเสื้อเปิดหลังริ้วรอยแผลอวด อดีตวันวานถูกสลักประทับลงทั่วแผ่นหลัง โดยไม่ต้องมอง เขาระบุตำแหน่งพร้อมเล่าถึงที่มาจากเรือลำไหนบ้าง ขอให้นึกถึงท้องฟ้าคืนดับ กลุ่มดาวกระจายเกลื่อนตั้งแต่อีกด้านถึงอีกด้าน แผลบนหลังแบบนั้น บางแผลระยิบระยับพราวสว่างสดใสราวดาวเหนือ มากขนาดนั้น แค่คิดก็แสบร้อนบนหลังตัวเองทันที คนพวกนี้ห้ามป่วย อ่อนแอคือภาระ หัวแข็งมากก็มัดโยนลงน้ำ ไต้ก๋งคือกฎหมายแห่งท้องทะเล แต่โชคชะตายังเข้าข้างอยู่บ้าง ให้พรสวรรค์เขาในการสร้างเสียงหัวเราะ สวมหน้ากากตัวตลกประจำเรือ ทุกคนจึงรักเขา
พวกเขาแค่เฆี่ยนโบย ใครจะใจร้ายโยนตัวตลกลงทะเล
ผมหันหลังเพื่อให้เขาดูขาชัดตาว่ามีเหมือนกัน แต่เนื้อตรงน่องไม่อาจบอกได้ชัด ไม่อาจนับเป็นแผนที่ สำคัญคือผมไม่ได้จำหรอกว่ารอยไหนได้จากเรื่องอะไร พาดเฉียงทับกันไปมาตั้งแต่ยังเล็ก ก็แค่ริ้วรอยจากหวาย
ใครเชื่อว่าเขาชื่อเอ็ดเวิร์ดคงบ้าไปแล้ว ชื่อเดิมว่าอะไรผมไม่รู้ ลุงเล่าว่ารถเสียอยู่ข้างทางแล้วชายคนหนึ่งก็โผล่มาช่วยเข็นไปถึงร้านซ่อม พูดคุยรู้จักกันเบื้องต้นลุงเลยชวนมาทำงาน ชื่อเดิมเรียกยากไม่เชื่องลิ้น ทำงานวันแรกหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ามาแค่ใบเดียว อยู่ในไทยเท่าอายุตัวเองแต่ไม่มีแม้กระทั่งพัดลม สมบัติหนึ่งเดียวติดตัวคือความกร้านโลก ตอนนั้นหนังสือเล่มหนึ่งในบ้านลุงเปิดค้างเอาไว้พอดี ปกแข็ง ปั๊มทอง สันโค้ง เป็นประวัติพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าใครมอบชื่อนั้นให้เขา ชายหนุ่มวัยเฉียดสี่สิบกลางๆ เหมือนคนกัมพูชาอื่นๆ ทำทุกอย่าง สวนผลไม้ ลูกจ้างโรงน้ำแข็งในเมือง สุดท้ายไม่พ้นลงเรือ
เขาชอบเล่าเรื่องท้องทะเลกลางสวน ขณะอายุผมเพิ่งพ้นสิบขวบยังไม่จบชั้นประถม เรื่องเหล่านั้นดูยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ เวทมนตร์เกลียวคลื่นร่ายพร้อมสายลมโชยอดีตไกลโพ้น บ้านผมไม่นับว่าใกล้ทะเล บนแผ่นหลังเอ็ดเวิร์ด ผมโต้คลื่นลมจากตรงนั้น
วันหนึ่งผมหกล้มในสวน ข้อเท้าแพลงเดินต่อไปไม่ไหว เอ็ดเวิร์ดถอดเสื้อพันขาผมไว้แล้วแบกขึ้นหลัง นึกหวาดกลัวแผลเป็นทั้งหมด แต่สักพักเมื่อรู้ได้ว่าเขากำลังแบกผมกลับ และรู้สึกได้ว่ารอยแผลนั้นคล้ายที่ขาตัวเอง จะด้วยความกลัวหรืออยากรู้ ผมลองลูบมือไปบนผิวขรุขระนั้น ความหวาดกลัวแล่นจับปลายนิ้วทั้งสิบ ราวถูกดูดลงหายในเนื้อหนังสากคาย หยาบด้าน ขรุขระประหนึ่งลูบผิวดินแตก พ้นจากวันนั้น ผมค้นพบอะไรบางอย่าง เมื่อกลับจากโรงเรียนหรือในวันหยุด ผมจะขอลูบมันเล่น หลับตาแล้วสูดกลิ่นอายมหาสมุทร แผลเป็นนูนสูงต่ำเหล่านั้นเสมือนหัวคลื่นต้องลม ซ่า ซ่า ผมได้ยินเสียงเหล่านั้นชัดขึ้นทุกวันๆ
ยังเจ็บไหม ผมถาม เขาไม่ตอบแต่เล่าเรื่องตลกอะไรสักเรื่องกลบเกลื่อน
นานวันเขายิ่งเหมือนญาติผู้ใหญ่ เขาพูดภาษาไทยได้ดี ผมเล่าเรื่องแผนที่ของเอ็ดเวิร์ดให้ครูฟัง แกว่าอย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้ อย่ากินอะไรที่เขาให้ ครูมาจากทางเหนือบอกว่าคนเขมรชอบเล่นของ เอ็ดเวิร์ดตัวตลกไม่ตลกกับสิ่งที่ผมบอก เขาทำหน้าสลด เบื้องหน้าเราปลาเสียบไม้เหนือกองไฟสุกพอดี เขาวางบนถาดสังกะสีที่เอามาด้วย บิเนื้อปลาออก ผมเห็นไอร้อนพวยจากเนื้อนั้น เสียงน้ำตกกระแทกโขดหินดังสะท้านป่า มันเป็นสถานที่ลับของคนในพื้นที่ ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว เราหวงแหนมัน เป็นสถานบำบัดเยียวยาและตัดเราออกจากโลกวุ่นวาย
เขายื่นชามข้าวที่โปะด้วยเนื้อปลา ยิ้มแหยๆ ถามจะกินไหม
ผมรับมาถือสองมือ “จะปวดท้องแบบที่ครูบอกรึเปล่า”
เอ็ดเวิร์ดไม่ตอบ หน้าสลด ความรู้สึกบางอย่างจู่โจม มองทะลุดวงตาเขาเห็นความสิ้นหวังเต้นระริก
ก่อนกลับลงมาวันนั้น ระหว่างทางเขาเล่าเรื่องตะกรุด ของขลังที่พกติดตัวตลอดเวลาซึ่งนำพาให้เขามีชีวิตมาถึงตรงนี้ ต่อหน้าผม เพื่อเล่าถึงเรือชีวิตในท้องน้ำชะตากรรม มันเป็นเชือกฟั่นเส้นเท่าหลอดดูดน้ำ ตะกั่วแผ่นเก่าเขรอะม้วนมัดเชือกนั้น
เขาว่า ตอนเขมรแดงไล่ล่าผู้คน เจ้าของเดิมเคยใช้มันหลบหนี บ้านไหนสะดวกมาทางบกเข้าตราดก็มา บ้านใครใกล้ทะเลก็ออกทางนั้น เจ้าของเดิมพกมันระหกระเหินจากบ้านสองวันหนึ่งคืนจนไปสุดที่หน้าหาด จุดนัดหมายพร้อมกับพวกอีกสิบกว่าคน คลื่นไกวตัวแผ่วเบาในเดือนนั้น เรือเล็กติดเครื่องพร้อมเผชิญคลื่นลมเพื่อเลาะมาเข้าไทย เขาโยนห่อผ้าของจำเป็นขึ้นเรือประมง ฝากลูกชายในห่อผ้าขึ้นไปก่อนแล้ว เพิ่งนึกได้ว่าลืมห่อเครื่องนอนของลูกไว้ในกระท่อมบนชายหาด ดวงตาเมียรักลอยเกลี่ยพื้นทรายตอนเขาไปถึงกระท่อมนั้น เขมรแดงพรากเอาทุกสิ่งไป ทั้งผืนนาและคนรัก ความฝัน อนาคตตกหล่นในสงครามกลางเมือง ตอนนั้นเองพวกเขมรแดงมาถึง เขาเห็นพวกมันจากรูผนังกำลังวิ่งตรงมายังกระท่อม เขากำตะกรุดแน่น บริกรรมคาถาท่องตามครูบาอาจารย์
แต่ช้าไป คำสวดยังไม่สมบูรณ์ ความศักดิ์สิทธิ์ยังไม่คอมพลีต ยมทูตเปิดประตูเข้าไป กระสุนเจาะลำคอ
คนเห็นเหตุการณ์นี้เป็นเพื่อนจากอีกหมู่บ้าน ระหว่างลงเรือเขาแอบเห็นตลอด บังเอิญมีเสียงมาจากอีกทาง พวกมันจึงรีบจากไป ทิศทางตรงกันข้ามกับอีกสิบกว่าชีวิตที่หาด เขาอุ้มชายเลือดชุ่มคนนั้นไปยังเรือ ก่อนตายเขาปลดตะกรุดยัดใส่ห่อผ้าลูกน้อย นอนตายตรงจุดที่น้ำบรรจบแผ่นดิน
ทิ้งท้ายว่าอยากให้ผมเก็บเอาไว้ เผื่อวันหนึ่งเขาหายไปในท้องทะเล
เอ็ดเวิร์ดปลดจากข้อมือ ยิ้มโชว์ฟันห่างตอนยื่นให้ผม
“เรื่องเล่าเมื่อกี้ เจ้าของเดิมที่กระสุนเจาะคอ พ่อฉันเอง”
น้ำตากลายเป็นปลาสักตัวไปแล้ว
ด้วยความที่เราอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ห่างคนละอำเภอ จ๋าอยู่ในเมือง ส่วนผมอยู่รอยต่อของแกลงกับเขาชะเมา (เป็นคนฝั่งไหนแล้วแต่จะเลือก) เราใช้หาดแสงจันทร์เป็นหมุดหมายนัดพบ อายุเธอมากกว่าผมห้าปี ยามเจอกันช่วงแรกหัวข้อพูดคุยมีแต่เรื่องโลกแบน ผมหยุดไถมือถือนานแล้ว รู้สึกว่าช่วงนี้ปลอดโปร่ง จ๋ามักนำข่าวคราวจากกลุ่มมาเล่าให้ฟัง เช่นว่า ชายอเมริกันสูงวัยมีเงินคนหนึ่งสร้างจรวดขึ้นเอง เพื่อนำเขาขึ้นไปในระดับพันห้าร้อยเมตรจากพื้นดิน ให้เห็นด้วยสายตาตัวเองว่าขอบฟ้าเป็นเส้นโค้งจริงหรือไม่ ครั้งแรกจรวดตกลงมา เขาเจ็บเล็กน้อย จนครั้งหลังเกิดผิดพลาดนิดหน่อย เขาตายก่อนยืนยันได้ว่าขอบฟ้าเป็นเส้นแบบไหน
“มีคนถามว่าทำไมไม่ขึ้นเครื่องบิน ตอนจะข้ามมหาสมุทรเห็นชัดว่ามันโค้ง” จ๋าบอก เส้นขอบฟ้าจะโค้งเสมอถ้าเรามองบนความสูงที่มากพอ เป็นอีกสิ่งที่ยืนยันได้ว่าโลกกลม พวกเขาบอกแบบนี้ ยังไม่นับข่าวสารหลังปฏิวัติการสำรวจอวกาศของโซเวียตและอเมริกาที่บอกเราได้ถึงความจริง ซึ่งกลุ่มโลกแบนพวกเรายืนยันว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด มีอะไรมาหักล้างมากมาย นายคงอ่านเจอบ้างแล้ว”
เย็นนี้หน้าหาดผู้คนหนาตา ดวงตาจ๋าอิดโรย เหมือนสัตว์บางตัวเพิ่งรอดพ้นการถูกล่า ไม่เศร้า แต่เป็นแบบนั้น อ่อนแรง ไร้แววตื่นตระหนก ทว่า ซุกซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ “ผมไม่เคยขึ้นเครื่องบิน หนเดียวก็ไม่เคย กลัวความสูง กลัวมันตกหลุมเหมือนในหนัง” ผมยังถือว่าใหม่ในวงการ เป็นจูเนียร์ แต่จ๋าไม่ใช่ เธอพูดได้มากมายเพื่อแย้งกลับข้อเท็จจริงโลกอีกฝั่ง “ในเพจไม่เห็นคุณไปตอบอะไรพวกคนนอก”
“ความจริงคนละชุดหรือเปล่าที่อยู่ในมือเรา”
“เขาคงมองเราเป็นตัวตลกต่อไปงั้นสินะ”
“ก็ยอมเป็นตัวตลกบ้างเหอะ ไม่ใครก็ใครต่างเป็นตัวตลกของคนอื่นในเรื่องอื่น…เหมือนที่นายไปกดหัวเราะใครต่อใคร” เธอยักไหล่ ห้ามกันได้ที่ไหน เธอบอก ปากบางเหยียดยิ้ม ปรายตามองข้อมือซ้ายที่ผมผูกตะกรุดไว้ “แล้วนั่นเชื่อรึเปล่า”
บางครั้งความศรัทธาปรากฏในรูปแบบนี้ สักสิ่ง สักอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม ผมไม่ได้ตอบจริงจัง คงไม่มีมนตราอะไรหลงเหลือนับตั้งแต่เจ้าของเดิมถูกกระสุนเจาะลำคอ “แฟชั่นไง”
“แฟชั่นพวกรถแห่รึเปล่า”
รู้ว่าเธอหยอกเล่น “เหมือนคุณ พวกสาวกแฟนพันธุ์แท้เพจ พิมพ์สาธุเก้าเก้าแล้วกดส่ง”
เธอหัวเราะ ผมหัวเราะ เราต่างหัวเราะ โลกมันแบน เราต่างล้วนถูกหลอกมายาวนาน วันหนึ่งเราจะไปถึงขอบโลก ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ความคิดคนอื่น
“แล้วพวกภาพจากนาซ่า พวกนี้พิสูจน์ได้…” ผมพยายามเอาข้อสังเกตหรือถกเถียงจากพวกคนนอกมาขบคิด ที่จริงผมคิดเองเพื่อหาคำตอบมาตลอด ทว่า ความคลางแคลงยังยึดติดในใจเสมอ “พวกเขาบอกว่าเราเหมือนคนป่าแอมะซอนที่ไม่รู้ว่าโลกภายนอกเขาเป็นยังไง แล้วเอาแต่ถือหอกล่าสัตว์”
ยังไม่ทันพูดต่อ เธอโบกมือรวดเร็ว ชะโงกหน้าเข้ามากลางโต๊ะห่างผมไปนิดเดียว กดเสียงลงต่ำให้รู้ว่าเป็นความลับสำคัญ “จำเอาไว้เลย นั่นนะเป็นหนึ่งในทฤษฎีสมคบคิด”
เพื่ออะไร ผมแบมือ
เธอยักไหล่ “เงิน อำนาจ งบประมาณ การรื้อถอนความเชื่อพระเจ้าสร้างโลก จักรวาล บลา บลา บลา”
เพื่ออะไร ผมถามอีกที นึกอยู่แล้วว่าคำตอบจะมารูปแบบนี้ ผมเข้าไปไล่อ่านย้อนหลังจากเพจนั้น รวมทั้งกลุ่มของพวกคนต่างชาติ คำอธิบายโต้แย้งมาในทิศทางเดียวกันหมด หรือผมควรเชื่อให้หมดหัวใจได้แล้ว
จ๋าถอนตัวกลับไปเอนหลังพิงพนัก จดจ้องเข้าไปตาคู่นั้น กลมเล็กสวย แววตาเต้นระริกคล้ายฟองคลื่น ไม่มีท่วงท่าจังหวะ และพลิ้วไหว
ผมหยอกเธออีก “คุณมันพวกดีแล้ว ชอบแล้ว สาธุเก้าเก้า”
“โถ เราก็ต้องหลอกตัวเองบ้างแหละบางครั้ง”
“ตกลงคุณเชื่อจริงๆ หรือหลอกตัวเอง”
รอยยิ้มหายไป จ๋าทิ้งสายตาออกนอกร้าน ผมถามว่ามีอะไร เธอไม่ตอบ กลับเล่าเรื่องผัวเมียอิตาลีให้ฟัง สองคนนั้นเชื่อว่าขอบโลกอยู่ทางใต้เกาะซิซิลี พวกเขาเป็นคนทางเหนือ พาเรือใบเล็กล่องออกทะเลไม่นานก็ถูกเรือตรวจการณ์ชายฝั่งจับ พวกเขาอยู่ในระหว่างกักตัวจากโควิด แต่ไม่นานก็หนีออกมาอีก ล่องเรือเพื่อไปค้นหาคำตอบ
“เมื่อคืนฝันถึงเขา” จู่ๆ เธอเอ่ยออกมาตอนที่ผมกำลังจะสั่งกาแฟแก้วที่สอง “หายไปเมื่อปีที่แล้วก่อนแต่งงานสองเดือน”
“ในทะเลหรือ”
“เรียกมันว่ามหาสมุทรจะดีกว่า” มือขวาจับเส้นผมทัดใบหู “เราแยกจากกันตรงนี้ ข้างนอกนั่น เตียงผ้าใบตั้งนอนเล่นข้างต้นสนต้นที่สาม เห็นไหม ตรงนั้น…รู้หรือเปล่าว่าก่อนที่จะสร้างเขื่อนกั้นคลื่น ทุกปีจะมีคนตายตรงนั้นเพื่อสังเวยเจ้าที่”
ผมพยักหน้า เข้าใจอยู่แล้ว นึกถึงหาดแม่รำพึงที่ตัวหาดทรายราบเรียบ ค่อยๆ ลาดลงไปในทะเล มันจะมีจุดหนึ่งเป็นเหมือนหลุมยุบตัวลงไปอะไรประมานนั้น จากที่เท้าเหยียบถึงพื้น เมื่อคลื่นกระแทกเราให้เซซวนถลาไถล คนโชคร้ายจะถูกพาไปยังจุดที่ว่า แล้วสังเวยเจ้าที่ตามที่เธอว่า
“สังเวยเจ้าที่” ผมทวนคำ ไพล่นึกต่อไปถึงสามแยกนางยักษ์ที่อยู่ไม่ไกลออกไป นอกจากรูปปั้นฤาษี พระอภัยมณี และนางผีเสื้อสมุทร ยังรายล้อมด้วยรูปปั้นตัวจิ๋วของพระอภัยฯ ที่คนนำมาแก้บนนางผีเสื้อ
เขาไม่ได้ตาย แค่หายไป ผมได้ยินเสียงจ๋า เธอพูดว่าเขาไม่ได้ตาย แค่หายไป
ผมสลัดภาพในจินตนาการแปลกแปร่งออก นึกถึงคำพูดเอ็ดเวิร์ด คนหายไปในท้องทะเลถือเป็นเรื่องปกติ
จ้องผ่านกระจกร้านไปให้ไกลถึงตรงนั้น จุดที่ว่าเจ้าที่จะมาเอาคนไปสังเวย ก่อนหันมองจ๋า คล้ายดวงตาเธอแดงเรื่อ ผมบอกว่าอยากร้องไห้ก็ร้องเถอะ ทว่าเธอส่ายหัว ผมซอยสั้นสะบัดสะท้อนพรายแดดนอกคาเฟ่
“ไม่มีแล้วน้ำตา” เธอบอก “ร้องมามากพอแล้ว”
“มากแค่ไหน”
“เป็นมหาสมุทรได้เลย”
คล้ายว่ามีรอยยิ้มปรากฏหลังคำพูด เพียงยิ้มบางๆ ละมุน ผมได้แต่ปลอบว่าดีแล้วๆ พยายามนึกประโยคเด็ดจากไลฟ์โค้ชทั้งหลาย แต่นึกไม่ออก
ตอนที่มีคนเปิดประตูเข้ามาพร้อมเสียงจอแจจากภายนอก คล้ายหูแว่วได้ยินเธอพูดว่า น้ำตากลายเป็นปลาสักตัวไปแล้ว ว่ายออกไปในน่านน้ำนานแล้ว ไม่มีน้ำตาเหลือติดตัวอีก
นักเดินทาง
เราต่างมีแผนที่ของตัวเองเสมอ
สามวันเท่านั้นแล้วเผา ยังไม่ทันเนื้อแม่จะไหม้หมด พ่อลากผมเข้าห้องนอนแล้วสั่งให้ถอดเสื้อผ้า อายุแค่นั้น ผมขลาดจนเยี่ยวราดกลางห้องนอนทำให้พ่อยิ่งโกรธ ย่าทุบประตูพลางตะโกน แม่เลี้ยงเข้ามาอาศัยในบ้านตั้งแต่วันแรกที่แม่ผมตาย เขาสองคนรักกันเปิดเผยมาสองสามปีเห็นจะได้ ในห้องนั้นภาพติดตาคือหวายยาวเมตรครึ่งที่พ่อใช้ประจำชี้มาที่หน้า การลงทัณฑ์มาถึงแล้ว ไม่มีข้อกล่าวหาอะไร พ่อเกลียดแม่ เกลียดเพียงเพราะว่าไม่ชอบหน้า จะให้เลิกแยกย้ายกันไปก็ตามรังควาน แม่พาผมหนีหลายครั้ง กลับไปบ้านตายายที่จันทบุรี แต่พ่อไวกว่า เหยียบคันเร่งจมไมล์ไปรอรับกลับ ในทุกครั้งพ่อแทบไม่เคยแตะตัวแม่ มาลงที่ผมแทน ฟาดที่น่องตลอดเรียวขา แกว่า ขามึงไม่รักดี ตีให้มันรู้จักหยุดนิ่งบ้าง ขาของผมกลายเป็นสถานที่ปลดปล่อยความเกลียดชัง
ตอนหลังไม่มีอีกแล้ว ผมนอนคว่ำบนพื้นตามคำสั่ง เพียงครั้งแรกผมส่งเสียงโหยหวนเหมือนเปรต ก้องกังวานทั่วห้อง ทั่วบ้าน ไกลออกไปทั่วอาณาบริเวณสวน ไกลออกไปถึงริมฝั่ง ไกลออกไปในท้องทะเล ไกลออกไปและออกไป เป็นเวลานกบินกลับรังฝูงหนึ่งอาจได้ยินคลื่นความถี่เจ็บปวดนั้น
ตื่นขึ้นที่โรงพยาบาล ปวดระบมร่างบนผ้าปูเตียงสีขาว
ผมไม่ออกจากบ้านนานนับเดือน ก้าวเดียวจากปากประตูยังไม่เคย ดีที่ว่าเป็นช่วงปิดเทอม พอออกได้คนแรกที่ผมมุ่งไปหาทันทีคือเอ็ดเวิร์ด คนเดียวที่รับฟังทุกอย่างโดยไม่เคยขัดหรือเบื่อหน่าย ตัวตลกประจำเรือทำให้ผมลืมความเศร้าช่วงนั้นได้บ้าง แม้ยามหลับยังได้ยิน เสียงเรียวหวายแหวกลมก่อนตามมาด้วยกระทบฟาดเนื้อหนัง
ถลกเสื้อขึ้นให้ดู บอกเอ็ดเวิร์ด ผมก็เหมือนกัน
ตะกรุดที่เขาให้มาไม่ช่วยอะไรเลย
เอ็ดเวิร์ดค่อยๆ แตะมัน แผลยังไม่เรียบร้อยดี เนื้อเพิ่งร่อนสะเก็ดไม่นาน เขาว่ามันยังไม่สวยเท่าของเขา แต่เป็นแผนที่ชีวิตได้ จะนำทางเราไปสู่เส้นทางที่ไม่ผิดพลาดซ้ำเดิมอีก
ต่อจากวันนั้นผมจึงถามตัวเองเรื่อยมา ผมผิดอะไร
วันหนึ่งเขาพาผมออกเดินทางตามแผนที่ วันนั้นเราว่างตรงกัน ตะลอนกันเช้ายันเย็น กระโดดซ้อนมอเตอร์ไซค์ข้ามอำเภอไปยังชายหาดที่ปราศจากนักท่องเที่ยว สรรพเสียงน่ากลัวเหมือนบทสวดงานศพ ผมได้ยินทำนองทอดทุ้มต่ำสลับเสียดสูงแทงทิ่มตามร่างกาย ผิวหนังกระตุกเมื่อลมกระโชกทิวสนริมหาด
เอ็ดเวิร์ดช้อนตัวผมขึ้น พาวิ่งลงทะเล
ผมร้องไห้ ดิ้นรนเพื่อให้พ้นวงแขนอดีตคนเรือ เนื้อหนังยังไม่พร้อมจะโดนน้ำทะเล แผนที่ผมยังไม่สมบูรณ์ มันต้องแสบแน่ๆ ผมคิดพลางสะบัดขาแหวกว่ายอากาศเหนื่อยอ่อนเขาจึงหยุด ไม่ เขาไม่ได้ปล่อยผมแตะน้ำทันที ลมสงบพาริ้วคลื่นเข้าฝั่งแผ่วเบา เสมือนกระซิบกระซาบปลอบโยนแสนละมุน เขาก้มหน้ามองผม ยิ้มฟันสะอาด ผมยังเด็กนักเกินความเข้าใจ
“จะกลัวมันตลอดไปไม่ได้ ไม่แสบหรอก” เขาบอก ค่อยๆ วางผมให้ยืนลงในน้ำระดับเข่า “ฉันเจอมาเยอะกว่านี้”
ดูสิ ปลีน่องผมมีแต่ริ้วรอย เพื่อนเรียกผมไอ้ขาลาย แล้วตอนนี้ก็มีที่หลังเพิ่มขึ้น บอกเขาว่าอยากโตให้เร็วกว่านี้ อยากไปเรียนต่อในเมือง อยากไปทำงาน ไปไหนต่อไหนที่ไม่ใช่บ้าน ออกเดินทางไปตามแผนที่ที่ผมมี ข้ามภูเขาลูกแล้วลูกเล่า ข้ามมหาสมุทร ไปสู่อะไรก็ได้กระทั่งความเวิ้งว้างว่างเปล่า ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่บ้าน
และตอนนี้ผมมีแผนที่ของตัวเองแล้ว แม้ไม่ละเอียดซับซ้อนเท่าเขาก็ตามที
ความเชื่อว่าโลกแบนไม่ทำร้ายใครเลย จ๋าหมกมุ่นหน้าคอมพิวเตอร์ คุ้ยค้นข่าวสารหลังตื่นนอนหวังพบชิ้นส่วนอะไรใหม่จากคนกลุ่มนั้น พวกคนอีกฟากของมหาสมุทรแปซิฟิก เช่นคราวนี้ เรือสำราญจะถูกปล่อยจากอเมริกาด้านตะวันตก เมืองอะไรสักเมืองที่ลืมชื่อของมัน ล่องผ่านแปซิฟิก แวะญี่ปุ่น สำรวจทะเลจีนใต้ ผ่านอ่าวไทยไปแวะที่สิงคโปร์ พวกเขามีแพลนไปทางนี้ สำรวจช่องแคบมะละกา มันควรจะเป็นคำตอบว่าโลกกลมถ้าล่องไปต่อในมหาสมุทรอินเดีย แหลมกู๊ดโฮป ต่อไปเรื่อยจนข้ามแอตแลนติก กลับถึงตะวันออกอเมริกาแถวนิวยอร์กหรือบอสตัน แต่ไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขายังมั่นใจว่าโลกหมุนวนบนจานแบนๆ ผมลืมบอกไป พวกเขาจะวนรอบเกาะใหญ่ยักษ์เกาะหนึ่งด้านใต้อินโดนีเซีย ซึ่งใครต่างรู้ดีว่าตรงนั้นคือประเทศออสเตรเลีย ทว่า ในชุดความรู้โลกแบนพวกมันไม่มีอยู่จริง นักโทษจำนวนแสนกว่าคนเมื่อเกือบร้อยปีก่อนออกจากอังกฤษแล้วไปไม่รอด พวกเขาถูกมหาสมุทรกลืนลงไปหมดสู่ด้านล่าง ธงชาติ ข่าวความเคลื่อนไหว บุคคลบนหน้าประวัติศาสตร์ จิงโจ้ ตัวตนและอะไรก็ตามของออสเตรเลียที่ประกอบขึ้นบนโลกนี้คือความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของมนุษย์โลก พวกเขาว่าอย่างงั้น จุดประสงค์เพื่อปิดบังความล้มเหลวในการสร้างอาณานิคม บ้าดีแท้ เรื่องนี้ผมถกเถียงกับตัวเอง ไม่คล้อยตามพวกเขา ผมไม่เคยไปออสเตรเลีย แต่มั่นใจว่ามันมีอยู่จริง
“มีตั๋วขึ้นเรือรึยัง” ผมถาม พ้นปลายสุดท่าเรือมีเรือประมงขนาดเล็กจอดไม่เกินสิบลำ โยกโคลงไหวเอนด้วยน้ำไม่หยุดนิ่ง แสงแดดอ่อนโยนต่อระลอกคลื่นวิบวับ เรานั่งหย่อนขาลงแกว่งเล่นให้ปะทะอากาศที่ลอดใต้พื้น
“เราจะไปดักขึ้นที่สิงคโปร์ ซื้อตั๋วที่นั่น” จ๋าโยนสายตาไปแตะกลุ่มนกกลางทะเล
ผมตื่นเต้น เฝ้ารอวันเวลาจะไปขึ้นเรือโดยสารลำนั้น จินตนาการไปในวันสุดท้ายของการเดินทาง ขณะเช้าเราตื่นมาพร้อมกับเรือที่ทอดสมอ ด้านไหนสักด้านของเรือเป็นผนังน้ำแข็งสูงชัน 150 ฟุตตั้งกันไว้ ที่ซึ่งหมายถึงปลายทางตามความเชื่อ-ขอบโลก
พ่อตายไปเมื่อหลายปีก่อน ผมกลับมาระยองอีกครั้งเพื่อจัดการหลายสิ่ง แม่เลี้ยงขนย้ายข้าวของออกไป ทิ้งเพียงเสาเรือนกับหลังคาผุพังเอาไว้เป็นอนุสรณ์สถานชีวิต จักรยานผมเธอก็เอาไป ไม่มีสิ่งใดตกค้างในใจผมอีก เลิกโกรธเกลียด อโหสิกรรมให้ทุกการกระทำ เพียงแต่ผมไม่เคยลืม หนึ่งเดือนจะมีหนึ่งครั้งที่ฝันร้าย เป็นฝันที่จำลองเหตุการณ์วันนั้นมาทุกอย่าง วันที่หวายหวดลงหลัง ผมโดนฟาดซ้ำเนิ่นนานจนสลบในคราวนั้น
จ๋ากับผมสนิทกันแล้ว เราเบื่อที่จะนั่งมองจุดสังเวยตรงคาเฟ่ พากันร่อนมอเตอร์ไซค์ไปทั่วจังหวัด พูดให้แคบลงคือหาพื้นที่ริมทะเลส่วนอื่นบ้าง สำรวจชายฝั่งพร้อมกับสำรวจชีวิต จนมาเจอสะพานปลา ผมรักที่นี่เพราะได้เห็นคนพวกนั้น พวกที่ใช้แรงงาน
คนพวกนั้น คนพวกเอ็ดเวิร์ด ผมคิดถึงเขา “เขาบอกผมว่า คนหายไปในท้องทะเลถือเป็นเรื่องปกติ”
ใคร เธอถาม ผมจึงเล่าถึงเสี้ยวมุมส่วนอื่นของเอ็ดเวิร์ดให้เธอฟัง
ผมไปเรียนในตัวจังหวัดหลังจบมัธยมต้น เข้าไปเรียนต่ออาชีวะ เดือนสองเดือนกลับบ้านครั้ง วันหนึ่งแม่โทรศัพท์ไปปลุกแต่เช้า บอกว่าเขาตายแล้ว
กลับมาบ้านพบเอ็ดเวิร์ดนอนนิ่งบนเสื่อ เสื่อประจำตัวที่พาผมไปนั่งที่ไหนต่อไหน เขาตายมาครึ่งวันแล้วแต่ไม่มีใครแจ้งความ ทุกคนในบ้านรอผมให้นั่งรถจากตัวจังหวัดมาถึง พวกเขารอเพื่อให้ผมได้ลูบแผ่นหลังเอ็ดเวิร์ดอีกครั้ง เช่นเคย ผมหลับตาท่ามกลางญาติที่ปรึกษากันว่าจะทำยังไงกับเขา บางคนบอกให้รีบแจ้งตำรวจ บางคนไม่อยากยุ่งยากให้เผาเลย ผมลืมตาขึ้น ตะคอกใส่คนพวกนั้น พวกเขาหยาบคายเกินไป เอ็ดเวิร์ดคือแผนที่ที่นำพาผมไปสู่จินตนาการ สู่ชีวิตอีกชีวิต หนังสือเล่มใหญ่ที่บรรจุเรื่องเล่าท้องทะเล พวกเขาทำกับผู้ยิ่งใหญ่แบบนี้ไม่ได้
ยังคงลูบแผ่นหลัง เชื่อหรือไม่ก็ตาม ตลอดเวลาผมจดจำทุกซอกมุมบนริ้วรอยได้หมด ตั้งแต่ต้นคอจนถึงบั้นเอว ตรงกลางหรือซ้ายขวา
ผมหลับตาลากฝ่ามือสัมผัส ซึมซับเรื่องเล่าที่ไม่อาจเล่าเรื่องได้อีกต่อไป
“ไม่ใช่ทุกคนที่หายไปในทะเลเป็นเรื่องปกตินะ” จ๋าแย้ง “เหมือนแฟนเรา นัดกันมานั่งที่เตียงผ้าใบตัวเดิม อาจไม่ใช่ตัวเดิมเสียที่เดียว แต่มั่นใจว่าตำแหน่งเดิมวันแรกที่จีบกัน”
จำได้ว่าครั้งแรกที่เราเจอกันเธอเคยพูดถึงเขา คนที่หายไปในมหาสมุทรใช่ไหม ผมถาม เธอพยักหน้า
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี นกโฉบไปมามากขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่ เงามืดทาบทับบางเสี้ยวเรือตรงสะพานปลา คนพวกนั้นเป็นสีดำขมุกขมัว ไกลออกไป แต่ไม่ไกลถึงเส้นขอบฟ้า เรือลำหนึ่งกำลังแล่นออกไป แสงไฟบนเรือวิบวับโดดเด่น
“เรือพวกนั้นบอกได้ไหมว่าโลกกลม” ผมถาม “เหมือนที่เด็กน้อยยังเข้าใจ ตอนมันแล่นเข้ามาเราเห็นเสากระโดงมันก่อนตัวเรือ หรือว่าโลกมันกลมจริงอย่างที่เรารู้มานั่นแหละ”
“นายไม่รู้หรอ มันเป็นมุมมอง ที่เห็นส่วนบนก่อนเพราะมีคลื่นมาบดบังส่วนล่างด้วย” จ๋าอธิบาย ไกวขาแกว่งรับลม “ถ้าเป็นกลางวัน ไอเหนือผิวน้ำทะเลหลอกสายตาเราด้วย”
“จากไหน”
“ก็ต่างประเทศอธิบายมาแบบนี้ เราว่ามันจริง”
ฟ้าจวนหมดแสง ขอบทะเลเป็นเส้นสวย ดวงดาวหมุนเปลี่ยนตำแหน่งตามฤดูกาลก็เป็นผลจากสัณฐานกลมของโลกหรือเปล่า ผมไม่เก่งมากพอที่จะอธิบาย คลับคล้ายคลับคลายตอนเมาเหล้า เบลอมัว ผมเชื่อในการศึกษาที่ผ่านมาว่าโลกเป็นทรงกลม จนวันหนึ่งเมื่อเห็นชุดความรู้อีกด้านว่าที่จริงแล้วมันแบน ถูกหักล้างด้วยเหตุผลที่ฟังขึ้นบ้างไม่ขึ้นบ้าง แต่เอาเถอะ เพียงพาตัวเองเข้ามาสู่โลกอีกใบที่อยากหาความตื่นเต้นบ้าง
ขยับสายตะกรุดข้อมือ รู้สึกว่ามันคับเกินไป อาจเป็นช่วงนี้ที่ผมไม่ได้ออกกำลังกาย “เขาหายไปในทะเลหรือบนบก”
“หายไปกับผู้หญิงกลุ่มโลกแบน ไปกินกันในน้ำหรือบนบกเราไม่รู้เลย”
ผมควานชิ้นส่วนกระจัดกระจายมาต่อเข้าด้วยกัน นึกไม่ออกจะมีคำใดปลอบโยน คนเศร้าอาจมีท้องทะเล เกลียวคลื่น เสียงเห่กล่อมเหล่านั้นเยียวยาบำบัดหัวใจ แต่ไม่น่าใช่กรณีนี้ จ๋ายังไม่ลืมกระทั่งตำแหน่งที่ตั้งของเตียงผ้าใบในวันแรกที่นัดพบกัน จุดสังเวย จดจำแม่นขนาดนั้น พาตัวเองมานั่งเพื่อมองมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้กระแสลมจากอ่าวไทยโบยตีเจ็บปวด เธอเป็นคนแบบไหนกันผมสงสัย
เธอเล่าต่อมา “ฉันเลยเข้าไปส่องเพจบ้าง มันเคยเด้งขึ้นมาตอนเขาไปคุยกับเพื่อนๆ ในคอมเมนต์ เผื่อเจอร่องรอยทั้งสองคนนั้น เข้าไปดูให้เห็นกับตาว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่เห็นอะไรเลย เจอแต่อะไรก็ไม่รู้ให้อ่าน เปิดโลกมาก ว้าวแบบไม่คิดว่าจะมีคนคิดแบบนี้”
“ยังอยากไปขึ้นเรืออยู่ไหม สิงคโปร์”
“ไปสิ เผื่อเจอเขา”
“ถ้าเขาอยู่กับคนใหม่”
“ก็ให้เห็นกับตา”
“แล้วตาจะมีน้ำไหลนะ”
“ก็ช่างน้ำตาแม่งมัน”
ซื่อสัตย์เกินไป หอยบางพันธุ์กระซิบรักโขดหินจนวันตาย โดยไม่รู้จักใดอื่นเลยในท้องทะเล จ๋าเป็นแบบนั้น รักแรกรักเดียวตั้งแต่เรียนมัธยมปลายในระยอง จนไปต่อมหาวิทยาลัยบูรพาด้วยกัน สุดสัปดาห์กลับบ้านพร้อมกัน กระทั่งเรียนจบ เขาไปต่อปริญญาโทโบราณคดี ส่วนเธอกลับมาขายของที่บ้าน
รักกันตลอด จนก่อนแต่งงานสองเดือนเขามาบอกลา
เรือล่มแล้ว กำหนดการเดินเรือสำราญพวกโลกแบนล้มไม่เป็นท่าเมื่อเดือนก่อน มีคนออกมาเปิดเผยว่า เงินค่าใช้จ่ายคนเจ็ดร้อยกว่าหายไปด้วย จมลงในโบชัวร์ภาพโลกแบนที่มีเรือขนาดใหญ่แล่นผ่านตรงกลาง เราไม่ได้เข้าเพจโลกแบนกันอีกเลยหลังจากรู้ข่าวนี้ ใช้ทุกวินาทีเยียวยากันและกันแบบเพื่อน หวังว่าเจ็บปวดนั้นของจ๋าจะบางเบา
“คนจะยังเชื่อความคิดโลกแบนกันได้อีกรึเปล่า” เธอถาม
ความเชื่อเป็นของพูดยากเหมือนศาสนา มีข่าวพระในทางเสียหายบ่อย แต่ศาสนายังอยู่ได้ มันเป็นแก่นความเชื่อที่ไม่อาจโยกคลอน “กลุ่มนี้หายก็มีกลุ่มอื่นขึ้นมาส่งต่อความเชื่อ”
“เสียดาย อยากล่องเรือแบบนั้นสักครั้ง เผื่อเห็นขอบโลก”
แสงเช้าสอดลอดรอยต่อระหว่างผ้าม่านกับผนัง ผมมองเห็นจุดสังเวยจากตรงนี้ เราค้างอยู่ในโรงแรมหน้าหาดแสงจันทร์ เมื่อคืนดื่มกันจนขี่รถกลับไม่ไหว รู้สึกปวดหัวเล็กน้อยขณะยืนจ้องดวงอาทิตย์เหนือผืนน้ำทะเล
จ๋ามาโอบด้านหลัง เอาใบหน้าซุกต้นคอขวา ผมชี้ไปยังจุดสังเวย
“ปีละคน สิบปีสิบคน พวกเขาอาจไม่ได้หายไปไหน พลิกกลับไปอยู่อีกด้าน ถ้าเราเชื่อว่าโลกแบน มันต้องมีอีกด้าน”
จ๋าผงกหัวรับรู้ “อยากพิสูจน์ไหม”
“ถ้าระหว่างมันดูดไปอีกฝั่ง แล้วเราแยกจากกันจะทำไง หลงทางยาวเลยนะ”
เธอหัวเราะ คลายตัวออกจากหลังผม คว้าข้อมือพากลับไปที่ยังเตียงนอน บอกให้ผมนอนคว่ำลง
“ลูกเรือพร้อมแล้ว” เสียงจ๋าคล้ายลอยมาจากที่แสนไกล น้ำเสียงดูมีความสุข สดใส ร่าเริง เป็นสัญญาณพร้อมออกเดินเรือ
ผมรู้สึกได้ถึงมือที่สัมผัส คงอารมณ์เดียวกับที่ผมเคยลูบหลังเอ็ดเวิร์ด หลับตาโต้กระแสคลื่นความเจ็บปวด ซึมซับถ่ายเทออกไปทางฝ่ามือเยียวยาให้แก่กัน
ปลายนิ้วสักนิ้ว ไม่นิ้วชี้ก็นิ้วกลาง กำลังสวมวิญญาณนักเดินทางไต่สำรวจแผนที่ที่จารึกบนแผ่นหลัง เหมือนคราวก่อนๆ ที่เธอเคยทำ
พรุ่งนี้ผมจะหาเรือสักลำ อาจเป็นเรือประมง แล้วชวนจ๋าออกทะเล ผมมั่นใจว่าเธอจะไปด้วย
ยังมีขอบโลกรอให้เราออกค้นหา •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022