ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 พฤศจิกายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | จดหมายจากพิธา |
ผู้เขียน | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ |
เผยแพร่ |
ช่วงเวลาที่ผมอยู่ที่ Harvard ในฐานะ Visiting Fellow ผมมีโอกาสทำงานและมีส่วนร่วมในหลายด้านอย่างน้อย 4 มิติครับ :
1. Public talk – ผมบรรยายสาธารณะในหัวข้อต่างๆ เช่น “The Future of Thailand” (อนาคตของประเทศไทย) โดยบรรยายที่ Harvard Asia Center ให้กับผู้ฟังทั่วไปทั้งในบอสตัน นิวอิงแลนด์ และอื่นๆ
2. Peer Engagement – ผมและนักเรียนไทยใน Harvard ได้จัดกลุ่มศึกษาชื่อ “Padthai & Politics” ที่เป็นเครือข่ายเชิงชุมชนกับนักศึกษาทั่ว Harvard ไม่ว่าจะเป็นจาก Law School, Business School, Education School และอื่นๆ นักศึกษาทุกระดับปริญญา หลากหลายเชื้อชาติและภูมิภาค มาร่วมสะท้อนประสบการณ์ทางการเมืองที่ผมเคยได้รับในช่วงเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้กับนักศึกษาที่สนใจการเมือง
3. Private office hours – ผมเปิดชั่วโมงให้คำปรึกษาแบบส่วนตัวคาบละ 20 นาทีต่อคน สำหรับนักศึกษาที่มีความฝันจะลงสนามการเมือง หรือสนใจประเด็นเกี่ยวกับประเทศไทย อาเซียน หรือนโยบายสาธารณะ เช่น สิ่งแวดล้อม ผังเมือง และสาธารณสุข ผมได้พบเจอคนไทยเก่งๆ เยอะมากครับ
4. Professor’s resources – อาจารย์บางท่านได้เชิญผมเข้าไปสอนเสริมในวิชาของพวกเขา โดยนำประสบการณ์จริงจากเอเชียเข้าไปเพิ่มมิติในการเรียนการสอนที่นี่
ผมตั้งใจทำตัวให้เป็นประโยชน์ในช่วงที่เป็น Visiting Fellow ที่ Harvard เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ในไทยและเอเชียให้สามารถนำพาการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นมาสู่ทุกคนครับ
สำหรับ Public talk ใหญ่ที่ Harvard ปลายเดือนตุลาคม ต้นพฤศจิกายน ผมคิดว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งสำคัญในหลายมิติ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของเศรษฐกิจ แต่ยังรวมถึงสังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อม
การเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านี้จะต้องการแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและการแก้ไขอย่างรอบคอบเพื่อให้ประเทศไทยสามารถฟื้นฟูและก้าวไปสู่ความสามารถในการแข่งขันระดับสากลได้
ในงานสัมมนาล่าสุดที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หัวข้อ “The Future of Thailand” หรือ “จากวิกฤตสู่ความสามารถในการแข่งขัน : อนาคตของประเทศไทย” ได้เปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศ พร้อมกรอบการคิดเพื่อแก้ไขวิกฤตที่รออยู่ข้างหน้า โดยใช้กรอบคำว่า C.R.I.S.I.S ซึ่งเป็นคำย่อที่สะท้อนถึง 6 ประเด็นสำคัญที่ประเทศไทยจำเป็นต้องเผชิญและจัดการเพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน
การแก้ไขวิกฤตเหล่านี้ไม่เพียงแค่เป็นหน้าที่ของรัฐ แต่ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไป แน่นอนว่าประเทศไทยมีทรัพยากรและศักยภาพมากมายในการเปลี่ยนแปลงวิกฤตให้เป็นโอกาส
ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นที่สุดในขณะนี้คือความชัดเจนในการดำเนินงาน การสร้างแนวทางที่ชัดเจนและมีความเชื่อมโยงกับการปฏิบัติจริง
C – Climate (สภาพภูมิอากาศ)
: วิกฤตที่มองไม่เห็นแต่ใกล้เข้ามาทุกที
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นปัญหาระดับโลกที่ไม่มีใครหนีรอดไปได้ ประเทศไทยอยู่ในตำแหน่งที่เสี่ยงเป็นพิเศษ ข้อมูลจาก Swiss Re Institute ระบุว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดในโลกเป็นอันดับที่ 5 โดยเฉพาะในด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมและภัยแล้ง ซึ่งอาจสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง
การวิจัยชี้ว่า หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเพียง 2 องศาเซลเซียส ประเทศไทยจะเสีย GDP ถึง 20% และหากอุณหภูมิเพิ่มขึ้นถึง 3.2 องศาเซลเซียส เศรษฐกิจของไทยอาจหายไปมากถึง 44% นี่เป็นตัวเลขที่น่ากลัว และเป็นสัญญาณเตือนว่าถ้าเราไม่เริ่มปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการกับสิ่งแวดล้อมตอนนี้ ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจจะยากเกินกว่าที่จะแก้ไขได้ในอนาคต
ข้อเสนอในการแก้ไข : การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate-Resilient Infrastructure) และการเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจที่ปล่อยคาร์บอนต่ำเป็นทางออกที่สามารถดำเนินการได้ทันที
หนึ่งในแนวทางสำคัญคือ การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) และโซลาร์รูฟท็อป ที่จะช่วยเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานของประเทศให้สะอาดขึ้นและยั่งยืนมากขึ้น
การนำระบบ Net Metering มาประยุกต์ใช้เพื่อให้ครัวเรือนสามารถขายไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้คืนสู่โครงข่ายไฟฟ้าก็จะช่วยสร้างรายได้เสริมให้กับประชาชนและกระตุ้นให้เกิดการใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างแพร่หลายมากขึ้น
นอกจากนี้ ควรมีการพัฒนา โครงข่ายขนส่งสาธารณะด้วยพลังงานไฟฟ้า (E-Public Transportation) ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในเมืองใหญ่ๆ อย่างกรุงเทพฯ รวมถึงการพัฒนาเกษตรที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate-Resilient Agriculture) ด้วยการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชที่สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นโอกาสที่ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนเป็น “Green Growth” ซึ่งเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่จะสร้างงานใหม่ๆ และช่วยให้ประเทศอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งในการแข่งขันระดับโลก
R – Reskill (การพัฒนาทักษะใหม่)
: กุญแจสำคัญในการรับมือกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แรงงานในประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัว สถิติแสดงให้เห็นว่าแรงงานในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ลดลงถึง 10% และ 40% ของแรงงานทั้งหมดมีอายุมากกว่า 40 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียทักษะสำคัญในอนาคต เนื่องจากแรงงานในปัจจุบันยังมีทักษะที่ไม่ทันกับเทคโนโลยีใหม่
ข้อเสนอในการแก้ไข : การส่งเสริมให้เกิดการ Re-Skill อย่างจริงจังเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน ประเทศไทยควรสร้างระบบการศึกษาและการฝึกอบรมที่ยืดหยุ่นและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงานในยุคดิจิทัล
หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพคือการสร้าง Nanodegrees และ Micro-Credentials ซึ่งเป็นหลักสูตรระยะสั้นที่ช่วยให้แรงงานสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
การใช้สินเชื่อทุนมนุษย์ (Human Capital Loans) เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้แรงงานเข้าถึงการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล พลังงานสีเขียว หรือชีววิทยาศาสตร์ การมีทักษะที่ตอบโจทย์ในอนาคตจะทำให้แรงงานไทยสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก และช่วยลดปัญหาการว่างงานที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี
I – Innovation (นวัตกรรม)
: พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21
นวัตกรรมเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของประเทศไทยยังคงต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยการใช้จ่ายด้าน R&D ของไทยอยู่ที่เพียง 1.16% ของ GDP ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในภูมิภาคอย่างมาก นอกจากนี้ ดัชนีสิทธิบัตรของประเทศไทยยังอยู่ที่เพียง 38.28 ซึ่งต่ำกว่าประเทศเช่นสิงคโปร์และญี่ปุ่นมาก
ข้อเสนอในการแก้ไข : การสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่ครบวงจรและยั่งยืนเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ ควรมีการจัดตั้งกองทุนความทะเยอทะยานระดับภูมิภาค (Regional ambition fund for expansion) เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล พลังงานสะอาด ชีววิทยาศาสตร์ และ เกษตรอัจฉริยะ การสร้างระบบสนับสนุนที่ตอบโจทย์การเติบโตของธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพผ่านการให้ทุนสนับสนุนและการให้คำปรึกษาก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่สามารถกระตุ้นการสร้างนวัตกรรมในภาคเอกชนได้
นอกจากนี้ ควรมีการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ปัญหาสังคม เช่น การพัฒนามาตรวัดอัจฉริยะ (Smart Meters) ที่ช่วยให้ประชาชนสามารถจัดการการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนา เมืองอัจฉริยะ (Smart Cities) ที่ช่วยให้การใช้ชีวิตของประชาชนมีความสะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น
ประเทศไทยยังควรมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาในด้านเทคโนโลยีเฉพาะทางที่มีความสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานโลก เช่น ชิพพลังงานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และวัสดุ GaN (Gallium Nitride) ซึ่งเป็นวัสดุที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้พลังงานต่ำ
S – Super Aging Society (สังคมผู้สูงอายุ)
: ความท้าทายที่ใกล้เข้ามาแต่ยังไม่สายเกินไป
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันมีผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปี คิดเป็น 21.2% ของประชากรทั้งหมด และคาดว่าภายในปี 2035 ประชากรเกือบ 30% จะเข้าสู่วัยเกษียณ การเปลี่ยนแปลงนี้จะสร้างภาระมหาศาลต่อระบบสุขภาพและบริการสังคม รวมถึงเศรษฐกิจที่จะต้องรับมือกับการขาดแคลนแรงงาน
ข้อเสนอในการแก้ไข : การเปลี่ยนสังคมผู้สูงอายุให้เป็น “Silver Economy” จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถจัดการกับวิกฤตนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการสำคัญประกอบด้วย การพัฒนาเทคโนโลยีช่วยเหลือสุขภาพ (Assistive Healthcare) เช่น โทรเวชกรรมและอุปกรณ์ตรวจวัดสุขภาพที่ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถติดตามสุขภาพของตนเองได้แบบเรียลไทม์
นอกจากนี้ ควรสนับสนุนการสร้างบ้านที่ออกแบบให้ผู้สูงอายุสามารถอยู่อาศัยได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย รวมถึงการสร้าง หมู่บ้านผู้ป่วยสมองเสื่อม ที่ให้การดูแลเฉพาะทางสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม การลงทุนในศูนย์ออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงอายุจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานในภาคบริการอีกด้วย
I – Infrastructure (โครงสร้างพื้นฐาน)
: รากฐานสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืน
โครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไม่สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ การใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทยคิดเป็น 15% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซียและสิงคโปร์อย่างมาก นอกจากนี้ ระบบรางของไทยยังคงมีความครอบคลุมต่ำและยังไม่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย
ข้อเสนอในการแก้ไข : การปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน โดยเฉพาะการพัฒนาระบบ Dual-Gauge สำหรับรางรถไฟเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับภูมิภาค และการขยายระบบรางให้ครอบคลุมเมืองระดับสองและสาม ซึ่งจะช่วยลดความแออัดในกรุงเทพฯ และกระจายการเติบโตทางเศรษฐกิจไปยังภูมิภาคต่างๆ
การใช้พลังงานไฟฟ้าในระบบขนส่งสาธารณะก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง
นอกจากนี้ ควรมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการพัฒนาการเชื่อมต่อระหว่างแหล่งท่องเที่ยวระดับหนึ่งและสอง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ยั่งยืน
S – State Reform (การปฏิรูปรัฐ)
: กุญแจสู่ความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
การปฏิรูปภาครัฐเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสในการบริหารจัดการของประเทศ ในปัจจุบัน ดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของไทยอยู่ในอันดับที่ 108 จาก 180 ประเทศ ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน นอกจากนี้ การบริหารงานของรัฐยังคงมีความซับซ้อนและการดำเนินการที่ล่าช้า โดยมีมากกว่า 1,026 ขั้นตอน ที่ต้องแก้ไขเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ข้อเสนอในการแก้ไข : การปฏิรูปดิจิทัลเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดการทุจริตผ่านการ รวมข้อมูลของรัฐเข้าสู่ระบบคลาวด์ (Single Cloud Policy) การสร้าง บริการออนไลน์แบบครบวงจร ที่ให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐในที่เดียวจะช่วยลดความซับซ้อนในการติดต่อกับหน่วยงานรัฐ นอกจากนี้ การใช้ AI เพื่อตรวจจับการทุจริตจะช่วยลดการโกงและเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ
การปฏิรูปรัฐยังควรรวมถึงการลดความซับซ้อนของกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจและการลงทุน
จากวิกฤตสู่โอกาส
ในการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
วิกฤต C.R.I.S.I.S ของประเทศไทยไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขได้ง่ายๆ แต่หากดำเนินการอย่างถูกต้องและเป็นระบบ ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะก้าวข้ามวิกฤตนี้และสร้างความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก
ผู้นำที่ดีสามารถสร้างโอกาสได้จากทั้ง จุดแข็ง จุดอ่อนและความท้าทายของประเทศ ทำเพื่อประชาชนและโอกาสของประเทศจะมาถึงเอง