ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 พฤศจิกายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | อาชญากรรม |
เผยแพร่ |
การดำเนินคดีกับบรรดาบอสดิ ไอคอน ยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักกฎหมายว่าพฤติกรรม รูปแบบการทำธุรกิจจะเข้าข่ายเป็น “แชร์ลูกโซ่” ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-10 ปี และปรับตั้งแต่ 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท หรือจะจบแค่ข้อหาฉ้อโกงประชาชน
ภายหลังกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ส่งมอบสำนวนคดีดิ ไอคอน กรุ๊ป ล็อตแรกจำนวน 92,289 แผ่น ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะประธานกลั่นกรองการรับคดีพิเศษ พร้อม พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และ พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) ตัวแทนตำรวจสอบสวนกลางชุดทำคดีดิ ไอคอน กรุ๊ป หารือร่วมกัน ก่อนมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า จากการพิจารณาแผนประทุษกรรม แผนธุรกิจ งบการเงิน คดีดิ ไอคอน กรุ๊ป เข้าองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 หรือแชร์ลูกโซ่
ร.ต.อ.วิษณุระบุว่า หลังมีมติรับเป็นคดีพิเศษแล้ว ไม่มีการนับหนึ่งใหม่ แต่นับ 9 เลย โดยดีเอสไอทำงานร่วมกับตำรวจอย่างใกล้ชิด และจะเชิญผู้เชี่ยวชาญทุกด้านร่วมเป็นที่ปรึกษาคดีพิเศษ วิเคราะห์เส้นทางการเงิน องค์ประกอบการเสียภาษี การพิสูจน์เจตนา แบ่งเป็นทั้งตัวการหลักและตัวการร่วม
โดยจะแจ้งข้อหาเพิ่มกับทั้ง 18 บอสที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ โดยความผิดคดีแชร์ลูกโซ่จะสอบสวนแยกออกจากคดีความผิดฟอกเงิน ที่เป็นคดีพิเศษไปก่อนหน้านี้
ร.ต.อ.วิษณุยังกล่าวถึงการออกหมายจับผู้ต้องหาล็อต 2 ว่า เส้นทางการเงินจะบอกเองว่าใครเป็นผู้รับผลประโยชน์ ใครเป็นตัวการร่วม จะทำแผนวิเคราะห์เส้นเงินดูข้อเท็จจริงเป็นรายๆ ไป ขณะนี้เริ่มเห็นแนวทางการต่อสู้ของฝ่ายผู้ต้องหา ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กล่าวว่า หลังดีเอสไอรับคดีดิ ไอคอนเป็นคดีพิเศษ ในส่วนของตำรวจจะดำเนินการต่อเรื่องคลิปเสียงการเรียกเงินที่ปรากฏอยู่
โดยเริ่มจากนักร้องเรียนสาว ก. ก่อนจะไปดำเนินการหาข้อเท็จจริงส่วนของเทวดาและนักร้องรายอื่นๆ แต่ขณะนี้ทางบอสพอลยังไม่ส่งตัวแทนเข้ามาแจ้งความกับตำรวจ ยืนยันว่าไม่ใช่ไปช่วยทางบริษัทดิ ไอคอน คนละเรื่องกัน แต่เป็นเรื่องของกลุ่มที่อ้างตัวว่าจะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนและไปดำเนินการบังคับขูดรีดกับเจ้าของกิจการ
“ส่วนกรณี พ.ต.อ.สมคิด สาวิสัย รอง ผบก.ภจ.สระบุรี หรือบอสตำรวจ ที่มีคลิปปรากฏอยู่บนเวทีของดิ ไอคอน ทางจเรตำรวจจะดำเนินการตรวจสอบ เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหามียศเป็นนายตำรวจ” พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าว
ขณะที่การต่อสู้คดีของบอสพอล หรือนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล กับบรรดาบอสๆ ทั้งหลาย หากดูจากการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างๆ หรือทางทนายความออกมาให้ข้อมูล มีแนวโน้มว่าทางแก๊งบอสดิ ไอคอน จะโยนความผิดทั้งหมดไปให้กับเหล่าแม่ข่ายทั้งหลาย โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่าเกณฑ์ความผิดที่จะเข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่ ต้องมีพฤติกรรมชักชวนโดยการหลอกลวง แสดงข้อความอันเป็นเท็จ ปกปิดความจริงซึ่งควรแจ้งให้ประชาชนลงทุนโดยนำเงินและทรัพย์สินมาลงทุนโดยอ้างว่าจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่กฎหมายกำหนด มีการให้ไปชักชวนบุคคลอื่นนำเงินหรือทรัพย์สินมาลงทุนต่อไปเรื่อยๆ ใช้วิธีการนำเงินลงทุนของสมาชิกใหม่หมุนเวียนมาจ่ายให้แก่ผู้ลงทุนรายเก่า
บอสพอลยืนยันมาตลอดว่าธุรกิจของตนถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการทำการตลาดตรง มีการขายสินค้าจริงและทุกคนต้องเปิดบิลสั่งสินค้ากับบริษัท แต่ที่เกิดความเสียหายเพราะมีบรรดาแม่ข่ายไปหลอกผู้เสียหายมาร่วมลงทุนโดยเปิดบิลสั่งสินค้าเอง
บรรดาแม่ข่ายเหล่านี้ต่างหากที่ต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาล้วนได้เงินจากบริษัทไปแล้ว แต่ยังทำเนียนเป็นผู้เสียหายเข้าแจ้งความกับตำรวจเพื่อเอาผิดกับบริษัท หวังจะฟอกขาวให้ตัวเอง
บอสพอลยังสั่งการผ่านลูกกรงเหล็ก ให้นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความส่วนตัว ดำเนินการแจ้งความเอาผิดกับบรรดานักร้องเรียนและทนายคนดังทั้งหลาย ในข้อหากรรโชกทรัพย์ โดยอาศัยคลิปเสียงที่ตนแอบอัดเอาไว้ขณะถูกเรียกเงินเพื่อแลกกับการไม่ร้องเรียนบริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป เริ่มจากนักร้องเรียนสาว ก. เป็นรายแรก
ส่วนเรื่องที่ 2 อยู่ระหว่างการตรวจสอบและพิจารณาที่จะดำเนินคดีกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และพยานเท็จ ที่อ้างว่าเป็นคนสนิทใกล้ชิดกับบอสพอล นำข้อมูลมาเสนอว่าบอสพอลมีการเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโต หลังตำรวจออกมายืนยันแล้วว่าข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลนี้เชื่อถือไม่ได้
เรื่องที่ 3 บอสพอลสั่งให้รวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินคดีกับทนายความชื่อดังคนหนึ่ง เป็นหนึ่งในทนายดรีมทีม เพราะก่อนหน้าที่เหล่าบอสจะถูกจับกุมทนายคนดังกล่าวโทรศัพท์ไปหาบอสพอลเพื่อเจรจาต่อรอง ให้บอสพอลจ่ายเงิน 7 ล้านบาท แลกกับการที่จะไม่นำผู้เสียหายกลุ่มนี้ไปแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งบอสพอลยังไม่ได้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวไปแต่อย่างใด ซึ่งจะต้องไปตรวจสอบดูว่าจำนวนเงินดังกล่าวตรงกับความเสียหายของผู้เสียหายกลุ่มนี้หรือไม่
ทั้งนี้ เลขาฯ ของบอสพอลได้มีการบันทึกเสียงขณะเจรจากันไว้
ส่วนเรื่องที่ 4 ให้รวบรวมรายชื่อแม่ข่ายที่มีพฤติกรรมไปเชิญชวนผู้เสียหายเป็นตัวแทนจำหน่าย จากนั้นแม่ข่ายขัดผลประโยชน์กับบริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป แต่ทำเนียนเข้ามาแจ้งความอ้างว่าเป็นผู้เสียหายด้วย ซึ่งคาดว่ามีจำนวนมากถึง 2,000 คน
ทั้งนี้ ทนายความระบุว่า ยืนยันว่าดิ ไอคอน กรุ๊ปไม่ใช่ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ แต่เป็นการขายผ่านตัวแทน ซึ่งบริษัทมีข้อมูลทุกอย่าง สินค้าเข้า-ออกวันไหน ส่งออกให้ใครบ้าง และมีการส่งของผ่านขนส่ง DHL ทุกครั้ง
นายวิฑูรย์กล่าวว่า นายจิระวัฒน์ แสงภักดี หรือโค้ชแล็ป เป็นคีย์แมนเกี่ยวกับโปรแกรมเมอร์ของบริษัททั้งหมด ที่ผ่านมาโค้ชแล็ปเป็นคนคุมระบบหลังบ้านทั้งหมดของบริษัท มีการบันทึกข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับตัวแทนการรับเข้าและส่งออกสินค้า รวมถึงการสต๊อกสินค้าในโกดังและการเปิดบิล 250,000 บาท ซึ่งจะต้องเป็นการเปิดโดยตรงกับทางบริษัทเท่านั้น ไม่ใช่การเปิดกับแม่ข่าย
นายวิฑูรย์ยังระบุอีกว่า มีบุคคลที่บอสพอลขอให้ดำเนินการเอาผิดเป็นแม่ข่ายจำนวน 7 คน โดยพฤติกรรมทั้ง 7 คนเป็นคนขายสินค้า มีตัวแทน ส่วนมีวิธีการหาตัวแทนยังไงนั้นยังไม่ทราบ แต่ทั้งหมดได้รับผลประโยชน์และผลตอบแทนจากทางบริษัท
เบื้องต้น มีนายทินภัทร หรือฮัท, น.ส.ชลธิชา หรือลูกตาล, นายไกรภพ หรือกบ ไมโคร, น.ส.หนึ่งฟ้า และ น.ส.อโณทัย
นอกจากนี้ยังมีอีก 2 คน เป็นคนที่ไปพูดโจมตีบริษัทในรายการทีวี คนหนึ่งอักษรย่อ ป. เป็นภรรยาอัยการ
อีกรายเป็นพรีเซ็นเตอร์อักษรย่อ ค. เป็นพรีเซ็นเตอร์ก่อนกันต์ กันตถาวร ตอนนี้กำลังดูสัญญาของ ค. ซึ่งได้ผลประโยชน์ตอบแทนเหมือนบอสกันต์ แต่ยังไม่ตกเป็นผู้ต้องหา และยังออกมาแฉในหลายรายการว่าบริษัททำไม่ถูกต้อง
ด้านดีเจเคนโด้ หรือนายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร พิธีกรและผู้ประกาศชื่อดัง โพสต์ข้อความชี้แจงผ่านทางเพจเคนโด้ช่วยด้วย ทันควันความว่า “คำชี้แจง ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ การที่จะนำเสนอข้อเท็จจริงใด ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้นเสียก่อนว่าจริงหรือไม่ อย่ามโน สิ่งที่ทนายพูดชื่อผมเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น ทางตัวคนให้ข่าวก็รู้อยู่เต็มอกว่าความจริงคืออะไร ผมเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไร เรื่องนี้ทางผมได้ให้ข้อมูลกับทางพนักงานสอบสวนหมดแล้ว”
ต่อมาเจ้าตัวให้สัมภาษณ์ว่า เคยทำงานกับดิ ไอคอนในช่วงปี 2562 ในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความถูกต้อง ซึ่งขณะนั้นบริษัทยังดำเนินการอย่างถูกต้อง ไม่มีผู้เสียหายแต่อย่างใด ร่วมงานมาเป็นเวลากว่า 1 ปี แต่เมื่อทราบว่าธุรกิจดังกล่าวไม่ถูกต้อง จึงตัดสินใจลาออกตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564
ในสัญญาก็มีการบ่งบอกอย่างชัดเจน ยืนยันว่าตนไม่ใช่พรีเซ็นเตอร์แน่นอน และรายได้ต่อเดือนน้อยกว่ารายได้ที่ตนเป็นผู้ประกาศข่าว ซึ่งไม่ถึง 3 แสนบาท ก่อนหน้าตนได้เข้าให้การกับตำรวจในฐานะพยานไปแล้วเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา มีการสอบปากคำนานร่วม 6 ชั่วโมง ยืนยันว่าตนไม่ได้มีความเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดของดิ ไอคอนแน่นอน หากตนมีความผิดจริงตำรวจก็คงจับตนไปนานแล้ว
18 บอสดิ ไอคอน จะผิดจริงหรือไม่อย่างไร คงต้องไปพิสูจน์กันในศาล แต่ที่น่าสนใจคือ คดีนี้ได้กระชากเอาบุคคลหลากหลายวงการ จากที่เคยหลบอยู่ในเงามืดก็ถูกสปอตไลต์ฉายสาดส่องจนทะลุปรุโปร่ง กระชากหน้ากากให้สังคมได้รับรู้ตัวตนที่แท้จริง!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022