ส้มจะแลนด์สไลด์ ในการเลือกตั้งครั้งไหน?

คำ ผกา

นั่งฟังปิยบุตร แสงกนกกุล ให้สัมภาษณ์กับรายการ MatiTalk

โดยวิเคราะห์ว่าการเมืองไทยตอนนี้เป็นระบบที่ต้องใบอนุญาตสองใบ

ใบที่หนึ่งมาจากการเลือกตั้งหรือเสียงของประชาชน

ใบที่สองคือ มาจากเครือข่ายอำนาจของชนชั้นนำ

ตัวอย่างก็คือ พรรคก้าวไกลที่ได้ใบอนุญาตจากประชาชนมาแล้วสิบสี่ล้านเสียงแต่ก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล เพราะไม่ได้รับใบนุญาตใบที่สองจาก “ชนชั้นนำ”

ซึ่งปิยบุตรบอกว่า “ชนชั้นนำ” ในที่นี้ไม่ใช่ตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่คือทั้งองคาพยพของอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง (และอาจจะไม่เคยอยากลงเลือกตั้ง)

และอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งนี้ถูกทำให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบอย่างเป็นทางการ ถูกต้องตามกฎหมายด้วยรัฐธรรมนูญปี 2560 นั่นคือในส่วนที่ ส.ว.มีสิทธิโหวตเลือกนายกฯ

 

ฟังถึงตอนนี้ฉันก็อยากจะ “ขิง” ใส่สักเล็กน้อยว่า หากปิยบุตรอ่านคอลัมน์ “คำ ผกา” ในมติชนสุดสัปดาห์ ปิยบุตรจะรู้ว่า คำ ผกา เขียนประเด็นนี้ซ้ำไปซ้ำมานับได้เกินสิบบทความ

ในช่วงที่พรรคเพื่อไทยโดยด่าเรื่องข้ามขั้วตระบัดสัตย์ว่า เราทุกคนรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง

และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมพรรคเพื่อไทยจึงต้องการชนะ 280 หรือ 300 เสียงด้วยซ้ำ

และ ณ วันนั้นพวกปิยบุตรในฐานะผู้ช่วยหาเสียงก็โจมตีเพื่อไทยที่หาเสียงว่า “ต้องชนะแลนด์สไลด์เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว.” เป็นการหาเสียงแบบไม่เป็นธรรมกับพรรคก้าวไกล

และจึงเป็นที่มาของการแก้เกมจากพรรคก้าวไกลด้วยการพยายามเค้นคำตอบเองจากพรรคเพื่อไทยเรื่อง “มีลุงไม่มีเรา”

แต่ในวันนี้ หลังจากการเลือกตั้งผ่านไปปีกว่าๆ ปิยบุตรเพิ่งจะมาคร่ำครวญว่า ใบอนุญาตมีสองใบ ชนะเลือกตั้งก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้

เลือกตั้งปี 2570 เหลือเวลาอีกแค่สามปี ใครอยากเป็นรัฐบาลจะต้องชนะสามร้อยเสียง

ต้องชนะด้วยเสียงโหวตจากประชาชนยี่สิบล้านเสียงขึ้น

ต้องทำให้เห็นว่าใบอนุญาตจากประชาชนนั้นเป็นเอกฉันท์ จนฝ่ายที่ไม่ได้มาจากประชาชนต้องจำนน

เพราะหากไม่จำนน ปล่อยให้พรรคที่มีคนโหวตให้ตั้งยี่สิบล้านคนเป็นฝ่ายค้าน รับรองประชาชนลุกฮือแน่

 

ฟังแล้วฉันก็ไม่อยากลำเลิกว่า

“เข้าใจหรือยังว่าทำไมพรรคเพื่อไทยถึงต้องหาเสียงด้วยประเด็นแลนด์สไลด์เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว.” ซึ่งปิยบุตรอาจจะบอกว่า ใบอนุญาตใบที่สองไม่ได้มีแค่ ส.ว. แต่ยังมีองค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ

ซึ่งคำตอบมันก็ต้องกลับมาที่เรื่องเดิมคือ ถ้าเราชนะเลือกตั้งถล่มทลาย แลนด์สไลด์ เราก็มีอำนาจต่อรองกับอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมากขึ้น และต่อรองกับพรรคร่วมรัฐบาลมากขึ้น

เมื่ออำนาจต่อรองมาก การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะนำไปสู่การลดอำนาจขององคาพยพฝั่งที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งก็น่าจะต่อรองได้มากขึ้นเช่นกัน

น่าเสียดายที่ ณ การเลือกตั้งปี 2566 พรรคก้าวไกลของปิยบุตร มุ่งอยากเอาชนะพรรคเพื่อไทยมากกว่าอยากชนะ “อำนาจที่เป็นที่มาของใบอนุญาตที่สอง”

การมุ่งโจมตีพรรคเพื่อไทยในการหาเสียงแทนที่จะโจมตี “อำนาจนอกระบบเลือกตั้ง” (เน้น “ตี” ว่าพรรคเพื่อไทยจะจับมือกับลุงหรือไม่ มากกว่าเน้นว่าประชาชนอย่าเลือกพรรคลุง) แทนที่จะหาเสียงว่า เลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ และเลือกก้าวไกลไปสมทบ ผลการเลือกตั้งย่อมรับประกันว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” จะร่วมกันเอาชนะ “ใบอนุญาตใบที่สอง” ได้

แต่ก็นั่นแหละ ทางพรรคก้าวไกลก็อาจจะมองว่า ตัวเองก็ลูกพระยานาหมื่น เรื่องอะไรต้องเกาะไปกับเพื่อไทย พรรคเราก็แสนจะป๊อปปูลาร์ สู้ลองแข่งให้ชนะเพื่อไทยดีกว่า

บนวิธีคิดนี้ก็เลยทำให้ “คู่แข่ง” ของก้าวไกลคือ เพื่อไทย หาใช่พรรคการเมืองที่เป็นองคาพยพของกลุ่มอำนาจเดิม

และเมื่อพรรคก้าวไกลชนะไม่ขาด คือได้ ส.ส.มาแค่ 151 เสียง เมื่อต้องอาศัยเสียง ส.ว. นโยบายเกี่ยวกับ 112 จึงกลายมาเป็นตัวแปรและเหตุผลฝั่งอำนาจเก่าใช้อธิบายว่าเพราะอะไรจึงไม่โหวตให้ก้าวไกลเป็นรัฐบาล

เจอกับตัวเองแบบนี้ ปิยบุตรเลยเพิ่งถึงบางอ้อแบบดีเลย์ไปหนึ่งปีเต็มว่า “เออว่ะ กูต้องชนะแลนด์สไลด์”

 

คําถามคือ แล้วพรรคประชาชนจะแลนด์สไลด์ได้อย่างไรในการเลือกตั้งปี 2570?

ซึ่งต้องหมายเหตุเอาไว้ว่า หลังจากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ พรรคก้าวไกลถูกยุบ จนกลายเป็นพรรคประชาชน มันทำให้ตัวพรรคการเมืองสร้างบุคลากรไม่ทัน

ไม่เพียงแต่สร้างไม่ทัน ลำพังบุคลากรรุ่นแรกกระดูกก็ไม่ได้แข็ง แต่ในความกระดูกไม่แข็ง มาถึงรุ่นสามยิ่งปวกเปียกมาก

ฉันไม่ได้ดูแคลน แต่ลองเทียบว่ารุ่นสามของพรรคที่เป็นพรรคประชาชนตอนนี้ประกอบไปด้วย ส.ส. รุ่นประมาณ ลิซ่า ภัคมน หรือแม้แต่เท้ง หรือศุภณัฐ

ก็ถือว่าเป็นบุคลากรในระดับเอาไว้สร้างสีสันในสื่อมากกว่าจะเป็นมรรคเป็นผลในเชิงการทำงานในพื้นที่แบบเกาะติดเพื่อสร้างฐานเสียงในระยะยาว

ดังนั้น จุดเสี่ยงอันหนึ่งของพรรคก้าวไกลคือ ไปใช้พลังงานกับคะแนนเสียงที่เป็นสะวิงโหวตแบบชนชั้นกลางในสัดส่วนที่มากกว่าการทำงานกับรากหญ้า

ซึ่งต่างจากประชาธิปปัตย์ในอดีตที่เล่นทั้งสองขา คือขาคนชั้นกลางในเมืองมีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นสัญลักษณ์ กับขาที่เกาะติดกับพื้นที่แบบลูกทุ่งๆ อย่าง ส.ส.สายใต้บ้านใหญ่ทั้งหมด

แต่สุดท้ายมาตายหมู่ พรรคแทบสูญพันธุ์เพราะไปหนุนทั้งพันธมิตร หนุนทั้ง กปปส. เสียหายเพราะตั้ง รบ.ในค่ายทหาร แถมด้วยวลีเด็ด unfortunately some people die

 

กลับมาที่การวิเคราะห์ของปิยบุตรว่า พรรคประชาชนจะชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายได้อย่างไรในปี 2570

ปิยบุตรมองว่า ณ วันนี้ พรรคส้มมีแบรนด์ที่แกร่งแล้ว (ฉันเคยเขียนเรื่องนี้ไปแล้ว) นั่นคือ เป็นพรรคเพื่อความเปลี่ยนแปลง เป็นสัญลักษณ์ของความใหม่ ความก้าวหน้า มีความแตกต่างจากพรรคเพื่อไทยอย่างชัดเจน

พูดง่ายๆ หากประเทศไทยมีแค่สองพรรคการเมือง พรรคส้มเป็นฝ่ายซ้าย ก้าวหน้า พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายขวา อนุรักษนิยม

พรรคส้มมีกลิ่นอายสังคมนิยม พรรคเพื่อไทยชัดเจนเป็นพรรคเสรีนิยมไม่ใช่สังคมนิยม

ดังนั้น การหาเสียงในอีกสามปีข้างหน้าง่ายมากใครอยากได้ความก้าวหน้าเลือกสีส้ม ซึ่งปิยบุตรบอกว่า จุดขายนี้ในการเลือกตั้งปี 2566 มันขายได้ แต่พอเป็นปี 2570 มันจะยังขายได้ไหม?

ดังนั้น พรรคประชาชนต้องทำความฝันที่เป็นนามธรรมออกมาเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้

เช่น ต้องมีพิมพ์เขียวประเทศไทย เสนอให้ประชาชนเห็นเลยว่า ถ้าพรรคประชาชนได้เป็นรัฐบาล จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง จะมีอะไรที่ไม่เหมือนเดิมบ้าง

ซึ่งฉันฟังแล้วก็เหนื่อยแทนพรรคประชาชน เพราะพิมพ์เขียวของประเทศไทยในฝันใครๆ ก็ทำได้

แต่ทำอย่างไร? ใช้เครื่องมืออะไร เพื่อทำให้พิมพ์เขียวนั้นเป็นจริง

ปัญหาโครงสร้างที่คิดว่าจะเปลี่ยนด้วยการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็ยอมหมอบ ลบเรื่องนี้ออกจากนโยบายพรรคไปแล้ว

จะปฏิรูปกองทัพ จะยกเลิก กอ.รอมน. ก็น่าจะยากเพราะพรรคส้มดันไปเล่นเรื่องตากใบแบบ “หวังผลทางการเมืองมากไป” ตัดขอบไม่ดี ก็กลายเป็นปลุกผีความคิดขวาๆ ขึ้นมาเป็นแนวต้าน การทำงานด้านความคิดเรื่องทหาร เรื่องกองทัพ ที่ปูทางกันมาดีๆ มีแนวร่วมจากสังคมก็พังไปอีกเรื่อง

ความยากของการแปรอุดมการณ์นามธรรมให้เป็นรูปธรรม ไม่ใช่ความสามารถในการทำพิมพ์เขียวประเทศไทย

แต่คือการบอกวิธีการเปลี่ยนแปลง เครื่องมือที่จะใช้ในการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่มีพิมพ์เขียวสวยหรู สุดท้ายทำแค่น้ำประปาดื่มได้

ซึ่งท้ายที่สุดแม้แต่นโยบายน้ำประปาดื่มได้ในระดับท้องถิ่นก็ยังไม่ได้เริ่ม เพราะยังไม่ชนะเลือกตั้งท้องถิ่น พื้นที่ที่ชนะก็ยังไม่ได้ทำ

ไม่เพียงเท่านั้นบริบทสังคมไม่เหมือนปี 2566 ที่อารมณ์คนยังถูกขับเคลื่อนด้วยมู้ดแอนด์โทนแบบไล่ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ปี 2570 มู้ดแอนด์โทน เป็นสังคมที่ค่อนข้าง “ปกติ” คือการเมืองเล่นกันในสภา ประชาชนสนใจข่าวแชร์ลูกโซ่มากกว่าตากใบ มากกว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือแม้แต่การแก้รัฐธรรมนูญ ก็เป็นหัวข้อที่ได้ความสนใจน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะ “ศัตรู” ที่เรียกว่าเผด็จการทหารไม่อยู่แล้ว เหลือแต่นักร้อง กับองค์กรอิสระ

การปลุกกระแส เกาะกูด ชาตินิยม ก็ปลุกยากกว่าสมัยก่อน เพราะพันธมิตรรุ่นเขาพระวิหารตอนนี้น่าจะอายุใกล้ๆ แปดสิบกันหมดแล้ว

การขายอุดมการณ์ว่าเราเป็นพรรคการเมืองใหม่ เราคือสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงก็จะขายยากขึ้น

ปิยบุตรยังเสนอให้พรรคประชาชนไปทำงานในพื้นที่เพื่อสร้างโหวตเตอร์ที่ไม่ได้เป็นเพียงโหวตเตอร์ที่โหวตเพราะชอบ โหวตเพราะเชื่อ โหวตเพราะเห็นอกเห็นใจ

แต่ปิยบุตรบอกว่า พรรคประชาชนต้องสร้างแฟนพันธุ์แท้เดนตายของพรรคขึ้นมาให้ได้

นั่นคือ โหวตเตอร์ของพรรคที่สามารถลุกขึ้นมาสู้เพื่อพรรค ในยามที่พรรคโดนรังแกหรือไม่ได้รับความยุติธรรม

ซึ่งปิยบุตรใช้คำว่า โหวตเตอร์ในระดับ militant แปลว่า เข้มแข็ง กระฉับกระเฉง ไม่ใช่แค่มาโหวตให้วันเลือกตั้ง หลังจากนั้นก็กลับไปทำมาหากิน หรืออย่างมาก พอพรรคโดนยุบก็โอนตังค์ให้เสียหน่อย จะได้รู้ว่า เออ ช่วยแล้วนะ สนับสนุนแล้วนะ แสดงแล้วนะ จากนั้นจะได้กลับไปทำมาหากินแบบไม่ต้องรู้สึกผิด

ฉันฟังก็งงๆ ว่า เอ ปิยบุตรคิดแบบนี้จริงๆ เหรอ ขนาดฉันเป็นนางแบกพรรคเพื่อไทย ฉันยังคิดว่า โหวตเตอร์อย่างเราไม่ควรเป็นของตายของพรรคการเมืองไหน

โหวตเตอร์ควรมีความสำส่อน พร้อมย้าย พร้อมเปลี่ยน ไม่ควรจงรักภักดีกับพรรคการเมือง ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีอำนาจต่อรองกับพรรคการเมือง และอำนาจที่เราให้พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งใช้อำนาจแทนเรา

เป็นการอนุญาตชั่วคราวเท่านั้น คือแค่สี่ปีแล้วมาประเมินผลกันใหม่

แต่ปิยบุตรที่น่าจะเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ หัวก้าวหน้ากลับมองว่า พรรคการเมืองต้องสร้างแฟนพันธุ์แท้ให้พรรค อันนี้ก็ชวนให้กลอกตาเล็กน้อย

 

ถามว่าการเลือกตั้งปี 2570 พรรคประชาชนจะชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ได้อย่างไร?

เราสามารถตอบคำถามนี้ด้วยการถามคำถามใหม่ว่า พรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาลตอนนี้บริหารอำนาจและความนิยมอย่างไร เพื่อผลอะไรในการเลือกตั้งปี 2570

ฉันคิดว่าสำหรับพรรคเพื่อไทยในปี 2566 นั้นต้องการแลนด์สไลด์เพื่อตั้งรัฐบาลให้ได้ ไม่มีแผนสอง และไม่มีใครคิดจริงๆ ว่าจะได้มาแค่ 141 เสียง

แต่หลังจากที่ก้าวไกล และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ล้มเหลวในการรวมเสียงในสภา จะด้วยเหตุผลใดก็ตามส่งให้เพื่อไทยกลายเป็นแกนนำรัฐบาลผสมที่เพื่อไทยไม่ได้มีอำนาจต่อรองมากนัก

แต่ก็มากพอที่จะผลักดันนโยบายเรือธงของตัวเองได้ โดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจ แจกเงินหมื่นให้คนจนสำเร็จ สามสิบบาทรักษาทุกที่ จำนวนนักท่องเที่ยวทะลุเป้า

ถ้าไม่มีสงครามอะไรข้างนอกจีดีพีน่าจะโตเกินเป้า เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศกลับมา

ถ้าทำรถไฟฟ้ายี่สิบบาททุกสายสำเร็จ แก้ปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมาได้ประทับใจ เคลียร์ เชียงใหม่ แม่สายได้ทันฤดูท่องเที่ยว รัฐมนตรีส่วนใหญ่ของพรรคทำงานเข้าเป้า บางกระทรวงเกินเป้า ข้าว ยาง อ้อย ราคาดี

หากประคองสถานการณ์ประมาณนี้ต่อไปได้ พร้อมๆ กับรักษาความสัมพันธ์กับพรรคร่วมได้ ฉันคิดว่าโจทย์ของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งปี 2570 คือการตั้งรัฐบาลผสมแบบไม่ชนะมากเกินไป แต่มากพอที่จะผลักดันนโยบายที่เป็นหมุดหมายในใจของตนเองและพรรคร่วมก็ได้ประโยชน์จากนโยบายนั้น

ดังนั้น แนวโน้มของ “วาระหลัก” ในการทำงานภาพรวมคือ ก้าวข้ามความขัดแย้ง ร่วมมือกันทุกฝ่ายเพื่อพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน และมีเมกะโปรเจ็กต์ที่จับต้องให้เห็นเป็นความสำเร็จเชิงประจักษ์

แต่จะไม่ฮุบความสำเร็จนั้นไว้คนเดียว ทว่าเฉลี่ยผลงานให้เป็นความสำเร็จร่วมกันของทุกพรรคการเมืองที่เป็นพรรคร่วม ของข้าราชการ ของกองทัพ เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับการเมืองไปอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยสองสมัยของการเลือกตั้ง

ซึ่งนั่นเท่ากับว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า โหวตเตอร์ก็จะมีคนอีกรุ่นหนึ่งเติมเข้ามา

และจะไม่ใช่คนในเจเนอเรชั่นที่มีชีวิตอยู่กับความขัดแย้งหรือต่อสู้ทางการเมือง

และถึงวันนั้นประชาชนคนไทยจะเลือกใครก็ค่อยว่ากัน

 

ถ้าเราตั้งข้อสมมุติฐานว่าในอีกอย่างน้อยสองการเลือกตั้งในอนาคต (หากไม่เกิดเรื่องเซอร์ไพรส์แบบไม่คาดคิด) แนวโน้มของสังคมไทยและการเมืองไทยมีฉันทามติกลายๆ ของการสมานฉันท์โดยมีตัวแสดงนำเป็นฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ต่างฝ่ายต่างถอยให้กันคนละก้าว และเว้นจุดเปราะบางไว้เป็นที่รับรู้ร่วมกันว่าไม่ล่วงล้ำก้ำเกินกัน ณ จุดไหนได้บ้างของทุกฝ่ายด้วย ไม่ใช่โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

และเป็นรัฐบาลผสมแบบไม่หักโค่นใครไปแบบนี้อีกอย่างน้อยอีกสองสมัยการเลือกตั้งและเน้นการพัฒนาประเทศไปแบบเวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย

ถ้าฉันจะตอบคำถามว่าพรรคประชาชนจะมีโอกาสชนะการเลือกตั้งแลนด์สไลด์อย่างใจหวังบนสมมุติฐานนี้ ฉันคิดว่าในการเลือกตั้งครั้งที่สามหลังจากนี้คืออีก 11 ปีหลังจากนี้ในกรณีที่รัฐบาลอยู่ครบวาระ 4 ปีทุกรัฐบาล

และถ้าถามฉันอีกว่าถ้าฉันเป็นพรรคประชาชน ฉันจะวางแผนการทำงานแบบมองข้ามช็อต 3 การเลือกตั้งหลังจากนี้ไปเลย 2570 กับ 2574 แต่พุ่งเป้าเป็นรัฐบาลที่ปี 2578

และเริ่มทำงานแบบที่ปิยบุตรบอกคือ เริ่มทำงานจากฐานข้างล่างในพื้นที่หรือทำงานในแนวราบตั้งแต่วันนี้เลย และสร้างฐานตรงนี้ให้แน่น แบบไม่ต้องหวือหวา ทว่า สม่ำเสมอ

เพราะโดยธรรมชาติของโหวตเตอร์ ยังไงอีกสองการเลือกตั้งก็จะเบื่อรัฐบาล ไม่ว่าจะทำงานดีแค่ไหนก็ตาม

 

พรรคส้มมีโอกาสได้เป็นรัฐบาลแน่ในอีกหนึ่งทศวรรษข้างหน้า เว้นแต่จะมีพรรคการเมืองที่ใหม่กว่า สดกว่า ตอบสนองความต้องการของคนในอีกสิบปีข้างหน้าได้มากกว่า

ดังนั้น ที่ปิยบุตรบอกว่า จุดแข็งของพรรคส้มคือ “ความใหม่” ความก้าวหน้า หากวันนี้ไม่ทำให้พรรคของตัวเอง “ก้าวหน้า” หรือ “ใหม่” ได้จริงๆ เผลอแป๊บเดียวปี 2578 พรรคส้มอาจจะกลายเป็นพรรคลุงคร่ำครึไปเลยก็ได้

ส่วนพรรคเพื่อไทยจะเป็นอะไรในปี 2578 ฉันไม่สนใจ เพราะถึงตอนนั้นหากไม่มีอะไรผิดพลาดก็ถือว่าได้สะสม legacy ของการเป็นรัฐบาลมาจนสมควรแก่เวลาแล้ว

และก็ขึ้นอยู่กับฝีมือการทำงานของคนรุ่นใหม่ในพรรคว่าจะนำพาพรรคไปได้ไกลแค่ไหน

จะยกระดับจนความเป็นเพื่อไทยกลายเป็นสถาบันได้หรือไม่

เพราะฉะนั้น โจทย์ของสองพรรคนี้จึงต่างกัน

โจทย์ของพรรคส้มคือจะเป็นพรรคฝ่ายค้านจนกลายเป็นสถาบันของฝ่ายค้านหรือจะก้าวข้ามจุดนี้เริ่มทำงานจากฐานรากเพื่อเป็นรัฐบาลให้ได้ในอนาคต

ส่วนโจทย์ของพรรคเพื่อไทยคือจะยกระดับตัวเองจากการแค่ชนะแล้วได้เป็นรัฐบาลไปสู่การเป็น “สถาบันพรรคการเมือง” ที่เป็นตำนานได้หรือไม่?