Madoff : แชร์ลูกโซ่บันลือโลก

สุทธิชัย หยุ่น

กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น

 

Madoff

: แชร์ลูกโซ่บันลือโลก

 

พูดถึง “แชร์ลูกโซ่” ก็ต้องโยงถึง Ponzi Scheme ต้นตำรับเกมกลโกงชาวบ้านในประวัติศาสตร์

และหากเอ่ยถึง Ponzi Scheme ใครไม่รู้จัก Bernie Madoff ก็เชยเต็มที

จึงต้องเล่าเรื่อง “กลหลอกเงินชาวบ้านบันลือโลก” นี้สำหรับคนที่สนใจว่า “ปรมาจารย์” ด้านฉ้อฉลบันลือโลกครั้งประวัติศาสตร์นั้นเขาเป็นใคร

และหลอกลวงคนเป็นหมื่นๆ ล้านเหรียญได้อย่างไร

เรื่องราวอื้อฉาวที่เราได้ยินในประเทศไทยอยู่ทุกวันนี้มีอะไรละม้ายกันหลายประการ

ที่ดูเหมือนจะสอดคล้องต้องกันคือ “ความโลภ” ของมนุษย์ที่บ่อยครั้งหาเหตุผลอธิบายไม่ได้

แต่ที่ตรงกันแน่ๆ คือความเปราะบางของสังคมที่บูชาคนมีชื่อเสียง, คนที่สร้างภาพ “ประสบความสำเร็จ” โดยไม่รู้ที่มาที่ไป

และอันตรายของ “จอมหลอกลวง” ที่แฝงตัวมาในเปลือกของ “นักเล่าเรื่อง”

เบอร์นี่ เมดอฟฟ์ คือเจ้าของเกมกลโกงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์วอลล์สตรีทของสหรัฐ

เดือนธันวาคมปี 2008 โลกได้รู้จักกับเมดอฟฟ์ ชายผู้สร้างชื่อเสียงในฐานะ “พ่อมด” ด้านการเงินบนวอลล์สตรีต

แต่สิ่งที่ “เบอร์นี่” สร้างขึ้นมาไม่ใช่แค่ความมั่งคั่งเท่านั้น มันคือการหลอกลวงขนาดมหึมา มูลค่าประมาณ 65,000 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 186,000 ล้านบาท

เป็นการฉ้อโกงทางการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์…โดยฝีมือของคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นคนที่ “น่าเชื่อถือที่สุดคนหนึ่ง” ในวงการการเงิน

เบอร์นี่ เมดอฟฟ์ คือใคร?

 

ในภาพกว้าง “เบอร์นี่” เป็น “แม่แบบแห่งความสำเร็จ” ที่เป็นที่อิจฉาของคนทั่วไป

ทั้งรวย ทั้งเก่ง ทั้งเป็นที่ยอมรับของคนทั่วทุกวงการ

เบอร์นี่เกิดปี 1938 เติบโตในครอบครัวยิวชนชั้นกลางค่อนไปทางล่างในควีนส์ นิวยอร์ก

แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการสร้างเนื้อสร้างตัวให้โดดเด่นในวงการเงินและหุ้น

ด้วยความมุ่งมั่นและทะเยอทะยานอย่างไม่ลดละ เบอร์นี่ก่อตั้งบริษัทลงทุนของตัวเองชื่อว่า Bernard L. Madoff Investment Securities LLC ในปี 1960

เริ่มต้นด้วยเงินเพียง $5,000 (160,000 บาท) ที่อดออมจากการทำงานเป็นไลฟ์การ์ด

ระยะแรก เน้นการทำธุรกิจการค้าอย่างซื่อสัตย์และบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนให้ลูกค้า

พอทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง เบอร์นี่เริ่มเป็นที่รู้จักในวงการ

จนต่อมา กลายเป็นผู้เล่นสำคัญบนวอลล์สตรีต

ถึงขั้นขึ้นดำรงตำแหน่งประธาน NASDAQ อันเป็นตลาดหุ้นที่สร้างชื่อเสียงด้วยการเปิดทางให้บริษัทเทคโนโลยีเอาหุ้นมาจดทะเบียนซื้อขายกันอย่างคึกคัก

ไม่ช้าไม่นาน เบอร์นี่ก็ยกฐานะตัวเองเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับคนดัง นักการเมือง กองทุนบำนาญ และองค์กรการกุศล

ภาพข้างหน้าดูน่าชื่นชมและตื่นเต้น เขาคือคนที่สร้างผลกำไรให้กับนักลงทุนในทุกวงการอย่างต่อเนื่อง

เบอร์นี่คือ “สุดยอดแห่งความฝัน” ของทุกคน

ทุกประโยค ทุกแนววิเคราะห์เรื่องการลงทุนของเขาคือ “คำศักดิ์สิทธิ์” ของวงการอย่างปฏิเสธไม่ได้

แต่ชื่อเสียงและความมั่งคั่งไม่สามารถสกัดกั้น “ความโลภ” ของมนุษย์

เสมือนหนึ่งว่ายิ่งรวยยิ่งดังก็ยิ่งรู้ซึ้งถึงจุดอ่อนของ “ความโลภ” ของเพื่อนร่วมโลกคนอื่น

 

เขาศึกษาเกมกลโกงแบบ Ponzi ในอดีตอย่างลุ่มลึกและแนบเนียน

คนเก่งคนฉลาดนั้น เมื่อตัดสินใจก่ออาชญกรรมแล้วก็ทำได้โหดเหี้ยมและก่อหายนะได้อย่างฉกาจฉกรรจ์เกินความคาดหมาย

อะไรคือ Ponzi Scheme ที่เบอร์นี่ตัดสินใจเอามาใช้เพื่อสร้าง “อาณาจักรมฤตยู” ของเขา?

กลลวง “พอนซี” คือเป็นแผนต้มตุ๋นตามชื่อนายชาร์ลส์ พอนซี ผู้คิดค้นแผนชั่วร้ายนี้ในปี 1920

ตามแผนฉ้อโกงอย่างมโหฬารนี้ ผู้ลงทุนรายแรกจะได้รับ “ผลตอบแทน” จากเงินของผู้ถูกหลอกให้มาเป็น “ผู้ลงทุน” รายใหม่

แทนที่จะเป็นจากผลกำไรที่เกิดจากการลงทุนจริง

กลโกงนี้จะทำงานได้ต่อเนื่องตราบเท่าที่มีเงินใหม่เข้ามา

แต่หากเกิดมีความสงสัยในหมู่ผู้ลงทุนจำนวนมากว่ามีอะไรผิดปกติ และพยายามถอนเงินออก

หรือหากไม่สามารถชักชวนหว่านล้อมผู้ลงทุนรายใหม่เข้ามา โครงสร้างทั้งหมดจะล่มสลายต่อหน้าต่อตา

ล้มกันแบบโดมิโดกันเลยทีเดียว

และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเบอร์นี่ในปี 2008

 

บริษัทของเขาสัญญากับลูกค้าว่าจะให้ผลตอบแทนที่มั่นคงและสูงมาก

ไม่ว่าจะเป็นช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นหรือขาลง

เพราะชื่อเสียงของเขาทำให้นักลงทุนเชื่อสนิทใจ

ยิ่งเปิดโอกาสให้เขาทำธุรกิจฉ้อฉลต่อไปอีกหลายปี

ความจริงเบื้องหลังมีแต่ด้านมืด

เพราะผลตอบแทนที่เบอร์นี่จ่ายให้ลูกค้าล้วนเป็นเรื่องเสกสรรค์ปั้นแต่ง

เพราะไม่มีการลงทุนจริง เพียงแต่สลับสับเปลี่ยนเงินระหว่างบัญชีเพื่อนำไปจ่ายให้นักลงทุนรายก่อนเท่านั้น

ที่สำคัญคือต้องรักษาภาพลักษณ์ของความเป็น “มืออาชีพ” ที่ดังที่สุดในวงการ

เขาทำได้อย่างไร?

 

เหตุผลหนึ่งคือเขามีตำแหน่งสูงในวงการการเงินมาตลอด

อีกทั้งบริษัทมีภาพลักษณ์ของ “ความเป็นมืออาชีพอัจฉริยะ” ที่หาใครมาเปรียบเทียบไม่ได้

กลยุทธ์อีกอย่างหนึ่งที่เรียกความสนใจเป็นพิเศษคือใครจะมาลงทุนกับเขาต้องได้รับเชิญเท่านั้น

อยู่ดีๆ จะมาขอร่วมลงทุนด้วยไม่ได้

เพราะนี่เป็นกลุ่ม “เอ็กซ์คลูซีฟ” จริงๆ

ยิ่งเสริมส่งความน่าเชื่อถือ, พิเศษ, หรูหราที่ไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม

อีกกลยุทธ์หนึ่งคือการทำบันทึกการเงินที่ดูน่าประทับใจไร้ที่ติ

เพราะเป็นบันทึกแสดงผลตอบแทนที่มั่นคงและเป็นบวกอย่างสม่ำเสมอ

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตลาดหุ้นก็ตาม

นั่นเป็นจุดเล็กๆ ที่ทำให้นักวิเคราะห์การเงินบางคนเริ่มตั้งข้อสงสัย

เพราะมันเป็นภาพที่สวยเกินกว่าความเป็นจริง

ไม่มีใครสามารถรับประกันการเติบโตที่มั่นคงเช่นนี้ได้เป็นเวลานาน

แต่ทำไมไม่มีใครกล้าตั้งคำถามในที่สาธารณะเรื่องนี้

ก็เพราะชื่อเสียงของเขาสามารถเลี่ยงการถูกสงสัยในทางเปิดมาได้เป็นเวลานาน

อีกเหตุผลหนึ่งคือไม่มีใครอยากตั้งคำถามกับเขา

ก็ไม่ในเมื่อเขาสามารถทำให้นักลงทุนทุกคนได้ผลตอบแทนดั่งฝัน จะไป “กวนน้ำให้ขุ่น” ไปทำไม

แต่แล้วความไม่ปกติย่อมจะต้องถึงวันล่มสลาย ไม่ช้าก็เร็ว

 

วิกฤตการเงินโลกในปี 2008 เป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของเบอร์นี่

เพราะเศรษฐกิจทรุดตัวลงและผู้คนเริ่มตื่นตระหนก

ลูกค้าของเบอร์นี่จำนวนมากเริ่มถอนเงินออกเพื่อไปชดเชยความเสียหายในธุรกิจของตน

ภายในเดือนธันวาคมในปีนั้น เขาก็ไม่สามารถรับมือกับการขอถอนเงินจำนวนมหาศาลอย่างไม่หยุดยั้งได้

วันที่ 10 ธันวาคม 2008 เบอร์นี่สารภาพกับลูกชายว่าธุรกิจการลงทุนทั้งหมดของเขาเป็นกลโกงแบบพอนซี

เขาบอกว่าตัวเอง “ไม่เหลืออะไรแล้ว”

โดยยอมรับว่าเป็น “การเกมหลอกลวงครั้งใหญ่”

ลูกชายงุนงงและสับสน

เพราะตัวเองไม่ได้ระแคะระคายด้านมืดของพ่อขนาดนั้น

ทางออกที่สร้างความลำบากใจอย่างยิ่งกับลูกคือจะทำอย่างไรดี

จะแจ้งทางการให้พ่อถูกจับหรือ

หรือจะช่วยเก็บความลับเอาไว้ทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกไม่ช้าไม่นานเรื่องอื้อฉาวนี้ก็จะถูกเปิดโปงอยู่ดี

ว่าแล้ว ลูกก็ตัดสินใจเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางในวันถัดมา

 

การล่มสลายระเบิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง

วันที่ 11 ธันวาคม 2008 เขาถูกจับกุมโดยเอฟบีไอ

ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงหลักทรัพย์

ช็อกกันทั้งวงการ ช็อกกันทั้งโลก

ผู้เสียหายมีทั้งที่เป็นตัวบุคคล องค์กรการกุศล และสถาบันต่างๆ

บางคนสูญเสียเงินเก็บทั้งหมดในชีวิต

องค์กรการกุศลหลายแห่งต้องปิดตัวลงเพราะกองทุนหายวับไปกับตา

สิ่งที่ตามมาคือคำถามที่ว่าทำไมเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจึงไม่ตรวจสอบและดำเนินคดีให้เร็วกว่านี้?

ทำไมหน่วยงานกำกับดูแลอย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) ถึงไม่ระแคะระคายเรื่องนี้ทั้งๆ ที่มีเบาะแสหลายข้อ

เดือนมีนาคม 2009 เบอร์นี่รับสารภาพผิดในข้อหาความผิดทางอาญาของรัฐบาลกลาง 11 กระทง

รวมถึงการฉ้อโกงหลักทรัพย์ การฉ้อโกงทางสาย และการฟอกเงิน

วันที่ 29 มิถุนายน 2009 ถูกตัดสินจำคุก 150 ปี

เรื่องเศร้าที่ตามมาคือการตัดสินใจฆ่าตัวตายของลูกชายที่ชื่อ มาร์ก เมดอฟฟ์ ในปี 2010

เพราะไม่สามารถทำใจกับการกระทำของพ่อและความสนใจของสื่อที่ถาโถมใส่ครอบครัวได้

เรื่องราวของเบอร์นี่ยังถูก “คัดสำเนา” ถึงทุกวันนี้ในหลากหลายประเทศ

รวมทั้งประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา!