แนวโน้มหลังคดีตากใบ | สุรชาติ บำรุงสุข

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

หากคดีตากใบหมดอายุความจากการที่จำเลยไม่ปรากฏตัวในศาลแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นทั้งในทางการเมืองและความมั่นคง

เราอาจจะคาดการณ์ไม่ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยพอคาดเดาถึงแนวโน้มของสถานการณ์ได้ดังนี้

1) สถานการณ์ในทางการเมืองในเบื้องต้นน่าจะถึง “จุดสำคัญ” ในวันที่ 24 ตุลาคม นี้ เนื่องจากมีการเรียกให้รองนายกความมั่นคงและรัฐมนตรีกลาโหม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และแม่ทัพภาค 4 เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภา เป็นการชี้แจงในวันสุดท้ายก่อนการสิ้นสุดคดี ซึ่งจะมีนัยทางการเมืองอย่างมากกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

2) ปัญหาคดีตากใบสะท้อนถึงการรุกทางการเมือง ที่ทำให้ประเด็นปัญหาภาคใต้ถูกกดดันให้เข้าสู่เวทีรัฐสภาโดยปริยาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ มีการเรียกร้องจากกลุ่มก่อความไม่สงบให้ยกระดับปัญหาภาคใต้เป็นวาระแห่งชาติ แต่ก็ไม่เกิดขึ้นจริง แต่ในครั้งนี้ ประเด็นถูกผลักดันให้เข้าสู่เวทีรัฐสภาได้จริงแล้ว นับจากนี้จึงน่าสนใจ

3) หลายฝ่ายคาดคะเนว่า โอกาสที่จำเลยทั้งหมดจะปรากฏตัวในศาล น่าจะไม่เกิดขึ้น และประเด็นนี้อาจจะถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างของการก่อเหตุความรุนแรงของกลุ่มก่อความไม่สงบ เพื่อแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์

4) ถ้าประเมินและมีแนวโน้มว่า การก่อเหตุความรุนแรงของกลุ่มก่อความไม่สงบมีโอกาสเกิดขึ้นได้มาก เพราะการก่อเหตุจะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อปัญหาคดีตากใบแล้ว กองทัพภาคที่ 4 อาจจะต้องเร่งออก “แผนเผชิญเหตุ” ในการระวังป้องกันสถานที่สำคัญในพื้นที่ รวมทั้งมาตรการในการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยทั่วไป ที่ไม่มีขีดความสามารถในการป้องกันตนเอง

5) ในทางปฏิบัตินั้น มาตรการในการระวังป้องกันดังกล่าวอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย ดังท่ีทราบกันดีว่า ฝ่ายรัฐไม่สามารถตรึงกำลังในพื้นที่ได้ทั้งหมด และในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีจุดที่สามารถใช้ก่อเหตุได้เป็นจำนวนมาก ประกอบกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบมีเสรีภาพในการเคลื่อนที่อยู่พอสมควร ด้วยความคุ้นชินกับพื้นที่ของท้องถิ่น แต่ต้องถือเป็นหลักการสำคัญว่า กองทัพภาคที่ 4 จะต้องหาทาง “ลดทอน-จำกัด” ความรุนแรงที่จะเกิดให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะความเสียหายที่จะเกิดกับประชาชน

6) การก่อเหตุในอีกส่วนที่เห็นได้มาโดยตลอด คือ การมุ่งประสงค์ต่อชีวิตของเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร การเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่มักจะถูกนำมาใช้เป็นภาพแทนความสำเร็จของปฏิบัติการทางทหารของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ดังนั้น มาตรการป้องกันกำลังพลจึงเป็นหัวข้อสำคัญที่ผู้บังคับบัญชาควรให้ความสนใจ

7) น่าสนใจว่าต่อปัญหาตากใบนั้น กลุ่มก่อความไม่สงบจะก่อเหตุในรูปแบบใด เช่นการใช้ “ยุทธวิธีดาวกระจาย” ด้วยการส่งกำลังชุดเล็กออกปฏิบัติพร้อมกันหลายจุดในหลายพื้นที่ ซึ่งเคยเกิดมาแล้วหลายครั้ง และสร้างภาพในสื่อได้มาก

8) แม้การก่อเหตุจะเป็นเรื่องของการใช้กำลังทางทหาร แต่ผลที่เกิดขึ้นเป็นมิติทางการเมือง เพียงแค่เกิดภาพการโจมตีที่ผูกโยงกับปัญหาคดีตากใบ ก็ต้องถือว่า พวกเขาก็ประสบความสำเร็จของการโฆษณาทางการเมืองแล้ว หรือโดยนัย ภาพการปฏิบัติการทางทหารของกลุ่มก่อความไม่สงบที่ถูกใช้เผยแพร่บนสื่อต่างๆ เป็น “สงครามการเมือง” ในตัวเอง ซึ่งฝ่ายรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงต้องตระหนักในมิตินี้ โดยเฉพาะภาพเหล่านี้เป็นสงครามการเมืองในโลกออนไลน์ (ดังเห็นได้จากตัวแบบกลุ่มติดอาวุธในตะวันออกกลาง)

9) ถ้าคดีถูกยุติลงโดยไม่มีผู้ต้องหาปรากฏตัวในศาลแล้ว ก็อาจคาดได้ไม่ยากว่าน่าจะมีการจัดการชุมนุมประท้วงตามมาอย่างแน่นอน และน่าจะมีการชักชวนให้คนเข้าร่วมเป็นจำนวนมากด้วย ซึ่งภาพของการประท้วงในคดีตากใบครั้งนี้จะถูกขยายผลในทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

10) กองทัพภาคที่ 4 จะต้องยึดมั่นที่จะไม่สลายการชุมนุมในครั้งนี้ เพราะการทำเช่นนั้น จะทำให้เกิดการปะทะ และนำมาซึ่งความสูญเสียของผู้ชุมนุม ซึ่งจะเป็นการ “เข้าทาง” ที่จะทำให้เกิด “ตากใบ 2” เพราะหากเกิดสภาวะตากใบ 2 แล้ว สถานการณ์ภาคใต้อาจจะเป็น ”จุดพลิก” อย่างมีนัยสำคัญต่อสถานะของรัฐไทย

11) เจ้าหน้าที่จะต้อง “อดทน” ให้มากในการเผชิญกับการชุมนุม เพราะบทเรียนจากตากใบเป็นคำตอบในตัวเอง ที่จะต้องไม่ทำให้เกิดสภาวะของการปะทะและความสูญเสียเช่นนั้นอีก

12) รัฐบาลจะต้องกล้าแสดง “การนำ” ด้วยการชี้แจงถึงปัญหาตากใบในปี 2547 และปัญหาสืบเนื่องในปีปัจจุบัน เพราะปัญหานี้มีทั้งบริบทความมั่นคงในพื้นที่ และบริบทการเมืองที่กรุงเทพฯ การไม่แถลงด้วยการ “ซื้อเวลา” จะยิ่งทำให้รัฐบาลตกเป็น “จำเลย” ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

13) รัฐบาลอาจต้องตระหนักให้มากว่า ปัญหาตากใบอาจกลายเป็น “วิกฤติการเมือง” ได้ไม่ยาก และถือเป็น “ข้อสอบที่ยากที่สุด” ชุดหนึ่งของนายกรัฐมนตรี และเป็นความท้าทายอย่างสำคัญต่อรัฐบาลด้วย

14) คำถามสุดท้ายที่ไม่ชัดเจนคือ พรรคร่วมรัฐบาลคิดอย่างไรกับปัญหานี้ หรือพรรคร่วมคิดเพียงว่า กรณีตากใบเป็น “ปัญหาของพรรคเพื่อไทย” เท่านั้น และพร้อมที่จะปล่อยให้พรรค พท. เผชิญกับกระแสตากใบอย่างโดดเดี่ยว เพราะเห็นได้ชัดว่า พรรคและบุคคลากรที่มีตำแหน่งในรัฐบาล กำลังเผชิญปัญหานี้ด้วยความโดดเดี่ยวเป็นอย่างยิ่ง !