ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 พฤศจิกายน 2567 |
---|---|
เผยแพร่ |
สาระนิยาย Psy ฟุ้ง
ยุทธการ 22 สิงหา
สงคราม การข่าว จาก ‘ทักษิณ’
ยุทธการ โฟนอิน แดงทั้งแผ่นดิน
ในห้วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างปลายเดือนกุมภาพันธ์กับต้นเดือนมีนาคม 2552 ได้ก่อให้เกิดภาพ 2 ภาพในทางการเมืองขึ้น
เหมือนกับเป็นเรื่องปรกติ แต่ก็ดำเนินไปอย่างไม่ธรรมดา
1 เป็นภาพการเคลื่อนไหวของทางด้านรัฐบาลอันมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นตัวเปิด
ขณะเดียวกัน 1 เป็นภาพการเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย การเคลื่อนไหวของ นปช.อันมีเป้าหมายเพื่อแสดงให้เห็นลักษณะ “แดงทั้งแผ่นดิน”
ภาพหลังมองผ่านไปก็จะปรากฏภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างเด่นชัด
เมื่อเข้าสู่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ จึงเห็นภาพของการเปิดประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า “อาเซียน ซัมมิต” แม้ตามหมายจะกำหนดเป็นการประชุมระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ถึง วันที่ 1 มีนาคม
แต่พิธีเปิดอย่างเป็นทางการปราฏขึ้นในตอนบ่ายของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ โดยผู้นำอาเซียนทั้ง 10 ประเทศเข้าร่วม ณ ห้องรอยัล ดุสิต แกรนด์ บอลรูม โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานอาเซียนขึ้นกล่าวสุนทรพจน์เปิด โดยเน้นให้สมาชิกอาเซียนร่วมมือกันแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและผลักดันให้ประชาคมอาเซียนเข้มแข็งมากขึ้น
ต่อมา เวลา 17.00 น. ผู้นำอาเซียนเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล และเดินทางไปร่วมในงานเลี้ยงอาหารค่ำ ณ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน
ตามแถลงของอาเซียนในการประชุมมีการลงนามและรับรองเอกสารต่างๆ
ทั้งในระดับผู้นำ รัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีเศรษฐกิจ อาทิ ปฏิญญาชะอำ หัวหิน ว่าด้วยแผนงานสำหรับประชาคมอาเซียน ปี พ.ศ.2552-2558 ความตกลงอาเซียนว่าด้วยความมั่นคงทางปิโตรเลียม เป็นต้น
มีการออกแถลงการณ์ว่าด้วยวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินโลก และเร่งรัดการเปิดเสรีในด้านต่างๆ โดยประกาศชัดเจนว่าไม่เอาด้วยกับการกีดกันทางการค้า ขอให้ประเทศสมาชิกประสานนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เสริมสร้างความเข้มแข็งของธุรกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs) ให้สามารถรองรับผลกระทบของเศรษฐกิจโลกได้
และเป็นครั้งแรกที่ผู้นำอาเซียนเปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการอาเซียนโดยกลุ่มแรกเป็นตัวแทนจากรัฐสภา กลุ่มที่สองเป็นตัวแทนเยาวชน
และกลุ่มที่สามเป็นภาคประชาสังคม
ขณะเดียวกัน ประสานกันไปกับความสำเร็จในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน
ในอีกด้านหนึ่ง การเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย การเคลื่อนไหวของ “คนเสื้อแดง” ก็ดำเนินไปด้วยความคึกคัก เข้มข้น
วันที่ 6 มีนาคม มีการชุมนุมที่หนองคาย
วันที่ 8 มีนาคม มีการชุมนุมที่ขอนแก่น วันที่ 14 มีนาคม มีการชุมนุมที่พระนครศรีอยุธยา และมุกดาหาร วันที่ 15 มีนาคม มีการชุมนุมที่ย่านมีนบุรี กรุงเทพมหานคร วันที่ 18 มีนาคม มีการชุมนุมที่ปทุมธานี และวันที่ 19 มีนาคม มีการชุมนุมที่อุบลราชธานี
จุดน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งอันกลายเป็นจุดเด่นในการชุมนุม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้โทรศัพท์หรือ “โฟนอิน” เข้าไปที่การชุมนุมแทบทุกครั้ง
สาระส่วนใหญ่ในการ “โฟนอิน” เป็นอย่างไร
ส่วนใหญ่ที่กล่าวกับผู้ชุมนุมเป็นการโอดครวญที่ตนตกเป็นเหยื่อของความไม่ถูกต้อง กล่าวโจมตีองค์กรอิสระ ทหาร กระบวนการยุติธรรม รวมถึงกล่าวถึงคนเสื้อเหลืองและโจมตีรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
และเนื้อหา “โฟนอิน” ที่แหลมคม เป็นการกล่าวไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมครั้งสำคัญที่จังหวัดเชียงใหม่
หนังสือ “บันทึกประเทศไทย ปี พ.ศ.2552” ของ “มติชน” ยืนยัน
กระทั่งวันที่ 22 มีนาคม อดีตนายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับผู้ชุมนุมที่จังหวัดเชียงใหม่โดยเปิดประเด็นปัญหาทางการเมืองที่นำมาสู่ความวุ่นวายในปัจจุบัน
ใจความว่า
หลังจากผลการเลือกตั้งอย่างเป็นการทั่วไปครั้งที่ 2 ที่พรรคไทยรักไทยได้ 377 เสียง มี “ผู้ใหญ่” บางคนเริ่มส่งสัญญาณผ่านสื่อว่าในวังไม่เอาตนแล้ว
และจากการที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรอง ผอ.รมน. ไปพบตนที่จีนได้เล่าให้ตนฟังว่า ต้นปี 2549 ถูกเรียกไปพบ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ที่บ้านหลังหนึ่งในซอยสุขุมวิท
โดยมีผู้ใหญ่ 2 คนกล่าวหาตนไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน
ต่อมา ได้มีการลงมือเอาชีวิตตน 2 ครั้ง จนในที่สุดมาถึงกรณีคาร์บอมบ์ นอกจากนั้น มีการกดดันให้ กกต.ลาออกจนเหลือ 3 คน ซึ่งต่อมาผู้ที่ลาออกได้มาเล่าให้ตนฟังว่า
ผู้มากดดันให้ออก คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
หลังปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 มีการตั้งสำนักงานสอบสวนตนในนาม คตส.ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับตนเพื่อเอาผิด โดยมีบุคคล 4 คนที่เข้ามาดำเนินการในทางกฎหมาย
คือ นายปราโมทย์ นาครทรรพ นายอักขราธร จุฬารัตน์ ประธานศาลปกครองสูงสุดและเป็นอดีตตุลาการรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคไทยรักไทย นายจรัญ ภักดีธนากุล เลขานุการประธานศาลฎีกา และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี (ขณะนั้นเป็นประธานศาลฎีกา)
จากนั้น ทิ้งท้ายไว้ว่า จะแฉต้นตอของปัญหาและหนทางแก้ไขเพิ่มเติมในการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงในวันที่ 26 มีนาคม
วันที่ 23 มีนาคม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ชี้แจงว่า พ.ต.ท.ทักษิณเข้าใจผิด เพราะข้อมูลได้รับอาจคลาดเคลื่อน ตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549
ส่วน พล.อ.พัลลภ ยอมรับเคยเล่าเรื่องเบื้องหลังปฏิวัติให้ พ.ต.ท.ทักษิณฟังจริง แต่ไม่มีเรื่องแผนการลอบสังหาร
นั่นคือ ปฏิบัติการ “โฟนอิน” ผ่าน “แดงทั้งแผ่นดิน”
ห้วงเวลาใกล้เคียงกันนั้นพรรคเพื่อไทยก็ขยับขับเคลื่อนอย่างทรงพลัง เห็นได้จากบรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทยเข้ายื่นหนังสือต่อ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภาในวันที่ 11 มีนาคม
เพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 274
วันที่ 12 มีนาคม เช้ายื่นหนังสือต่อวุฒิสภาเพื่อลงมติถอดถอน 5 รัฐมนตรี
1 นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 2 นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง 3 นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 4 นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 5 นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
จากนั้น ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี โดยกำหนดการอภิปรายทั่วไประหว่างวันที่ 19-20 มีนาคม และลงมติในวันที่ 21 มีนาคม
นี่ย่อมเป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะประสาน 2 ส่วนระหว่าง แนวทางรัฐสภาและแนวทางนอกรัฐสภา
ความน่าสนใจอยู่ที่การเคลื่อนไหวนอกรัฐสภา อยู่ที่ “โฟนอิน”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เปิดบนเวทีที่เชียงใหม่ในวันที่ 22 มีนาคม เรื่องการส่งสัญญาณทางการเมืองของ “ผู้ใหญ่” ที่ระบุ
ถึงการปฏิเสธ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลังการเลือกตั้งปี 2547
นั่นก็คือ การทิ้งท้ายก่อนจบการ “โฟนอิน” ว่า ในการชุมนุมใหญ่ของเสื้อแดงในวันที่ 26 มีนาคม
จะ “แฉต้นตอของปัญหา”
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022