ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 31 ตุลาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
กลายเป็นกระแสดราม่าร้อนแรงที่ผู้คนในสังคมให้ความสนใจมากที่สุด กับกรณีของพระเมธีวชิโรดม หรือ ว.วชิรเมธี พระนักเทศน์ชื่อดัง ที่เคยรับกิจนิมนต์ไปเทศนาธรรมให้เหล่าบอสตัวร้ายบริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป
ก่อนที่จะพูดอวยอาณาจักรธุรกิจออนไลน์แชร์ลูกโซ่ของ “บอสพอล” วรัตน์พล วรัทย์วรกุล แบบน่าเกลียดด้วยประโยคที่ทำให้หลายคนถึงกับส่ายหัวว่า “อยากรวยเลยพรุ่งนี้ ทำอย่างนั้นก็ดิ ไอคอนแล้ว”
หลังจากนั้นไม่นานทัวร์ก็ลง ว.วชิรเมธี ซ้ำอีกรอบ เพราะไปพูดเหน็บคนที่ไม่มาร่วมสัมมนาว่าดักดานอยู่กับที่ จนทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างถึงความไม่เหมาะสม
พร้อมทั้งเรียกร้องให้องค์กรสงฆ์หรือเจ้าคณะจังหวัดเชียงรายดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และถ้าหากทำผิดจริงก็ควรมีบทลงโทษกับ ว.วชิรเมธี เพื่อไม่ให้วงการพระสงฆ์เสื่อมเสียไปมากกว่านี้
แม้ว่าภายหลัง ว.วชิรเมธี ได้ออกมาโพสต์ชี้แจงว่า ไปเทศน์ด้วยใจสุจริตในฐานะพระที่ได้รับนิมนต์ไปสอนไปฉันเท่านั้น ไม่มีพระรูปไหนเข้าไปเกี่ยวข้องกับบริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป ในเชิงธุรกิจใดๆ ทั้งสิ้น
ส่วนบริบทคำพูดก็เป็นเพียงหยิกแกมหยอกธรรมดาตามประสานักพูดทั่วไป ที่อยากให้มีอารมณ์ขันเท่านั้น ต่อไปก็จะสำรวมระวังไม่ให้มีความพลาดพลั้งเช่นนี้เกิดขึ้นอีก
แต่ถึงกระนั้นผู้คนในสังคมก็ยังตั้งคำถามและเคลือบแคลงสงสัยต่อบทบาทหน้าที่ของ ว.วชิรเมธี ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร และเป็นการเลือกรับกิจนิมนต์เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่
เนื่องจากมีภาพที่ ว.วชิรเมธี ถ่ายรูปถือป้ายเงิน 1 ล้านบาท ร่วมกับเหล่าบอสของดิ ไอคอน กรุ๊ป จนทำให้หลายคนเข้าใจว่ามีความเชื่อมโยงกับบริษัทแห่งนี้มากกว่าแค่ไปเทศนาสอนธรรมะ พร้อมกับมีการตั้งฉายา ว.วชิรเมธี ให้เป็น “บอสพระ” อีกด้วย
สิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงนำมาสู่การตรวจสอบอย่างเข้มข้นจากทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะสื่อโซเชียลที่เกาะติดทำข่าวประเด็นนี้มาอย่างต่อเนื่อง
เพราะคดีนี้มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก หลายคนถูกหลอกให้ลงทุนสูญเสียเงินทองที่เก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิต ทำให้พวกเขาต้องสิ้นเนื้อประดาตัว และมีบางรายที่สู้ไม่ไหวขอจบชีวิตตัวเอง ซึ่งกระทบกระเทือนความรู้สึกของคนทั้งประเทศเป็นอย่างมาก
แม้ว่าตอนนี้บรรดาบอสดิ ไอคอน กรุ๊ป ทั้งหลายจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายแล้ว แต่ผู้คนในสังคมและสื่อใหญ่อย่างรายการโหนกระแสที่มี “หนุ่ม กรรชัย” เป็นผู้ดำเนินรายการ ก็ยังคงจับตาเฝ้าดูสถานการณ์อยู่เป็นระยะๆ
ก่อนหน้านี้ได้ไล่บี้ทวงถามถึงความเหมาะสมต่อท่าทีพฤติกรรมการแสดงออกของ ว.วชิรเมธี อย่างไม่ลดละ จนทำให้พระนักเทศน์ชื่อดังต้องออกมาโต้กลับอย่างดุเดือด ซัดอย่าทำตัวเป็นศาลเตี้ย มันเลยคำว่าวิพากษ์วิจารณ์ไปแล้ว แต่เป็นการใส่ร้ายป้ายสี หนุ่มยังเป็นพิธีกรอยู่หรือเปล่า หรือว่าตอนนี้กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องไปแล้ว
ส่วนรูปถ่ายที่มีการรับเงิน 1 ล้านบาท บริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป ถวายทุนการศึกษาให้มูลนิธิไร่เชิญตะวัน ในวันแห่งการให้ประจำปี ไม่มีคำว่าเข้าพกเข้าห่อพระอาจารย์แม้แต่บาทเดียว
หนุ่มอย่าคิดว่าตัวเองดังแล้ว จะสัมภาษณ์เล่นงานใครก็ได้ แล้วปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องถูกใส่ร้ายกลางรายการหลายครั้ง ก่อนที่จะทำการลบโพสต์ดังกล่าวออกไปในภายหลัง
ขณะที่ หนุ่ม กรรชัย ออกมาชี้แจงว่าไม่ได้เป็นศาลเตี้ย เพราะไม่มีกฎหมายในมือ ไม่ใช่ตำรวจ ไม่ใช่ศาล เป็นแค่กระบอกเสียง
“ผมตกใจมากที่เห็นพระอาจารย์พิมพ์แบบนี้ พระอาจารย์สอนให้ผมมีสติ ให้ผมไม่มีโทสะ โมหะ โลภะ”
“ผมเสียใจมากที่สุดคือการที่บอกว่าผมเอาคนที่ไม่ผิดเข้าคุก ที่พระอาจารย์พิมพ์มันเข้าข้อหาหมิ่นประมาท ผมใส่บาตรให้พระอาจารย์ ผมไม่ฟ้องพระอาจารย์” หนุ่ม กรรชัย กล่าว
แม้ว่า ว.วชิรเมธี จะออกมาเคลียร์ในหลายประเด็นไปแล้วก็จริง แต่วิบากกรรมจากการพูดอวยดิ ไอคอน กรุ๊ป ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ แถมยังเรียกขบวนรถทัวร์อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
เพราะโลกโซเชียลได้มีการนำรูป ว.วชิรเมธี นั่งสมาธิอยู่กลางหิมะที่ญี่ปุ่นออกมาแฉ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความไม่เหมาะสม แม้จะมีบางคนอ้างว่าเป็นภาพเก่าหลายปีแล้วก็ตาม
แต่การกระทำของ ว.วชิรเมธี ในลักษณะนั้น ก็คงไม่ส่งผลดีต่อวงการพระสงฆ์ไทยในภาพรวมอย่างแน่นอน
ขณะที่พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว มองว่าการนั่งสมาธิกลางหิมะไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร เพราะไม่ได้เป็นการอวดอุตริ
“ประเทศเราไม่มีหิมะ เมื่อไปเห็นแล้วอยากจะเดินเล่นหรือนั่งพิสูจน์ศึกษาว่าจะเย็นขนาดไหน แต่ถ้าอยู่บนหิมะเหาะเหิน ยกตัวลอยขึ้น ก็น่าตำหนิ แต่ถ้านั่งลงธรรมดา ไม่ผิดอะไร”
“ส่วนที่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ก็นานาจิตตัง ในความรู้สึกคิดว่าท่านเป็นคนชอบลอง ชอบศึกษาอยู่แล้ว ไม่เคยเจอหิมะก็เลยลองนั่งดู”
“ส่วนจะมีความผิดพระธรรมวินัยหรือไม่ อันนี้ไม่มี เพราะยังไม่ได้อวด อย่างเช่น นั่งสบายฌานอาตมาสูง มีสมาธิเหนือความหนาวเย็น ถ้าแบบนี้จะหมิ่นเหม่เรื่องอวดอุตริ” พระพยอมระบุ
จบจากเรื่องหนึ่งก็มีอีกประเด็นตามมาติดๆ หลังจากนายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ สั่งให้ตรวจสอบศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวันของ ว.วชิรเมธี ว่ามีการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดอยตุง หรือไม่
จากข้อมูลพบว่า ไร่เชิญตะวันมีการขออนุญาตใช้พื้นที่รวม 143 ไร่ แบ่งเป็น 2 ส่วนในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยปุย ต.ห้วยสัก จ.เชียงราย รวม 3 แปลง คือ 1 แปลงขออนุญาตโดยมูลนิธิวิมุตตยาลัย เนื้อที่ 113 ไร่ และสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ 2 แปลง เนื้อที่ 14 ไร่ และ 11 ไร่ ทั้งนี้ หากพบว่าใช้เกินและมีเจตนาบุกรุกก็จะดำเนินการตามข้อกฎหมายทันที
ล่าสุด นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ระบุว่า ได้ทำการตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีการบุกรุกที่สาธารณะแต่อย่างใด เรียกได้ว่าพระนักเทศน์ชื่อดังและลูกศิษย์ลูกหาโล่งอกกันไป ไม่ได้ทำผิดกฎหมายตามที่มีคนมาร้องเรียน
ขณะเดียกันมีรายงานว่า ว.วชิรเมธี อาจจะเดินทางกลับประเทศไทยในช่วงสิ้นเดือนตุลาคมนี้ โดยคาดว่าพระนักเทศน์มีภารกิจทำพิธีส่งมอบบ้านเรือนใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย หลังผ่านพ้นสถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่
หลังจากนี้คงต้องรอดูกันต่อไปว่า ว.วชิรเมธี จะเดินทางกลับประเทศไทยตามที่มีคนคาดการณ์ไว้จริงหรือไม่ หรือจะเลือกเดินหนีกระแสสังคมที่ตัวเองกำลังเผชิญหน้าอยู่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับ ว.วชิรเมธี ได้เป็นอย่างดี จากคำพูดอวยดิ ไอคอน กรุ๊ป ในวันนั้นกลายมาเป็นวิบากกรรมครั้งใหญ่ในชีวิต ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่จะต้องจดจำไปอีกนาน
ปิดท้ายกันที่มุมมองของ สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอุษาคเนย์ ที่ให้สัมภาษณ์ในรายการ The Politics ข่าวบ้าน การเมือง ไว้อย่างน่าสนใจ
อ.สมฤทธิ์มองว่า กรณีที่เกิดขึ้นจะเป็นบททดสอบความเป็นพุทธของพระ ว. เพราะการเป็นพระไม่ยาก แต่การเป็นพระที่ดีนั้นจะต้องถูกกำกับด้วยพระธรรมวินัย
“การกระทำของพระ ว. หรือแม้แต่การพูดก่อนหน้านี้ว่าอร่อยจนลืมกลับวัด เป็นสิ่งที่พระธรรมวินัยห้ามเอาไว้ พระสงฆ์ต้องคุยกันเรื่องเดียวเท่านั้นคือเรื่องธรรมะ และธรรมะนำไปสู่การดับทุกข์ ดังนั้น จะไปอ้างทุกเรื่องว่าเป็นธรรมะไม่ได้”
“บทบาทของพระถูกกำกับด้วยพระธรรมวินัย แต่การที่ท่านพูดติดตลก และมีลักษณะเหมือนโน้มน้าวไปสู่องค์กรดิ ไอคอน นี่จะเป็นการทดสอบความเป็นพุทธของพระ ว.”
“การเป็นพระไม่ยาก แค่โกนหัวห่มผ้าเหลืองใครก็เป็นได้ แต่การเป็นพุทธที่ดีก็คือการอยู่ในครรลองของพระธรรมวินัย”
“ส่วนประเด็นพูดเอาใจ ผมคิดว่าผิดถนัดเลย การเป็นพระง่าย แต่การเป็นพุทธยาก พูดเอาใจเพื่อผลประโยชน์อามิสสินจ้าง อันนี้ผิด ถ้าเห็นว่าไม่ถูกไม่ควรตามพระธรรมวินัย การลงโทษทางศาสนา ผมก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง”
“จะมาอ้างว่าเป็นเปรียญธรรม 9 ประโยคแล้วยังไง ยิ่งเรียนมากๆ ยิ่งต้องถ่อมตน เปรียญธรรม 9 ประโยคที่อ้างจึงไม่มีค่าใดๆ ทั้งสิ้น”
“พระบางรูปที่ไม่มีเปรียญธรรม 9 ประโยค แต่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กวาดลานวัด ออกบิณฑบาต กราบได้เต็มไม้เต็มมือ ส่วนมากพระที่ไม่มีสมณศักดิ์ และไม่ค่อยมีชื่อเสียง ผมว่าท่านมีความอยากน้อยกว่า เพราะฉะนั้น กราบแล้วไม่เสียดายมือ”
อ.สมฤทธิ์กล่าวทิ้งท้าย
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022