ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 31 ตุลาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ |
ผู้เขียน | หนุ่มเมืองจันท์ |
เผยแพร่ |
ตอนนี้ข่าวเรื่อง “ดิ ไอคอน” กลบข่าวอื่นไปหมด
ลากยาวมา 10 กว่าวันแล้ว
ในยุคที่กระแสโซเชียลมีเดียแรงและทุกคน-ทุกเพจ สามารถเป็น “สื่อ” ได้
หลายข่าวที่เกิดขึ้น ไม่ได้เริ่มต้นจาก “สื่อ” เหมือนเดิม
แต่เริ่มจากเพจต่างๆ
หรือบรรดา “ตัวแทนประชาชน” ที่เป็นทนายหรือกลุ่มต่างๆ
วันนี้ประชาชนที่เดือดร้อนจะไม่ได้ไปพึ่งพา “สื่อ” เหมือนในอดีต
เขาจะไปหาทนายที่มีชื่อเสียงออกจอบ่อยๆ
หรือกลุ่มที่ออกมามีบทบาทเรื่องนี้
ที่ผ่านมาข่าวต่างๆ มักจะมี “เจ้าภาพ” เพียงคนเดียว
ผู้เดือดร้อนไปร้องเรียนกับใคร
คนนั้นก็เป็น “เจ้าภาพ” หรือเป็น “ตัวแทน” ในการพาไปหาตำรวจหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ
เป็นกระบอกเสียงเรียกร้องความเป็นธรรม
แต่ “ดิ ไอคอน” ไม่เป็นแบบนั้น
น่าจะเป็นข่าวเดียวที่ “เจ้าภาพ” เยอะที่สุด
แต่ละคนต่างมี “ข้อมูล” ของตัวเอง
ทั้งจากผู้เดือดร้อน และผู้ที่อยู่ในบริษัทดิ ไอคอน ออกมาเปิดเผยข้อมูล
ทิศทางข่าวจึงเริ่มกระจัดกระจาย
และเริ่มมีสีสันมากขึ้นเรื่อยๆ
บางข่าวก็น่าเชื่อถือ
แต่บางข่าวก็ไม่น่าเป็นไปได้
กระแสสังคมรุนแรงและโกรธเกรี้ยวมาก
ผมเฝ้ามองทิศทางของข่าวด้วยความกังวลแบบคนที่เคยเป็น “สื่อ”
อยากสะกิดเตือนเบาๆ
ผมตัดสินใจลงมือเขียนบทความชิ้นหนึ่ง
แต่เขียนเสร็จแล้วไม่กล้าโพสต์ในเพจของตัวเอง
กลัวเจอ “ทัวร์ลง” ครับ
กระแสข่าวมันแรงเหลือเกิน
ปล่อยทิ้งไว้ 3-4 วันชักเริ่มทนไม่ไหว
ผมเอาข้อเขียนเดิมมารีไรต์ซ้ำ
เพิ่มเติมข้อมูลบางส่วนให้มีน้ำหนักขึ้น
อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก
ด้วย “ความกลัว” 555
ก่อนตัดสินใจโพสต์ลงในเพจ “หนุ่มเมืองจันท์”
ตอนนี้ข่าว “บอสพอล” เริ่มไปไกลมาก
จนต้องตั้งสตินิดนึงว่าแต่ละเรื่องราวมี “ความเป็นไปได้” แค่ไหน
“พอล” นั้นคง “ผิด” แน่ๆ
แต่ “ผิด” แค่ไหน ระดับไหน
ผู้ต้องหาคนอื่นๆ ก็เช่นกัน
เรื่องนี้เราคงต้องแยกระหว่าง “ข้อเท็จจริง” กับ “ความรู้สึก”
ก่อนอื่น ต้องยอมรับว่าข่าวนี้ทำให้คนติดตามข่าวรู้สึกโกรธแค้น ไม่พอใจ เพราะมีคนฆ่าตัวตายจากการโดนขายฝันให้ “เปิดบิล”
มีคนที่เอาเงินเก็บยามชรา กดบัตรเครดิต ฯลฯ มาลงทุนด้วยคิดว่าจะเป็นรายได้แบบ Passive income ฯลฯ
ผมอ่านข่าวแล้วยังเศร้าเลยครับ
นอกจาก “ความโกรธ” แล้ว เรื่องราวของข่าวนี้ยังทำให้คนรู้สึก “หมั่นไส้” เยอะมาก
เพราะพฤติกรรมของ “บอส” ทั้งหลายที่ “อวดรวย” แบบไร้กาลเทศะ
ทำตัวเว่อร์วังอลังการ ทั้งรถ ทั้งนาฬิกา ทั้งเสื้อผ้าแบรนด์เนม
เพื่อสร้างฝันให้คนฝันตาม
มันน่าหมั่นไส้จริงๆ ครับ
แต่กระแสตอนนี้ เป็นการผสม “ความรู้สึก” โกรธ+หมั่นไส้ เข้าไปกับ “ข้อเท็จจริง” ในข่าว
พอเราเกลียดใคร เรามักจะเชื่อข้อมูลที่ตรงกับความรู้สึกของเราเองง่าย
“การเมือง” เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
ถ้าเกลียดใคร คนนั้นทำอะไรก็เลวไปหมด
เคยมีกรณีศึกษาเรื่องหนึ่ง คือ คดี “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่กระแสความโกรธและความเกลียดแรงมากในช่วงที่เป็นข่าว
เพราะทำลายภาพพจน์การท่องเที่ยวไทยอย่างมาก
แต่จากเรื่องการเอาเปรียบนักท่องเที่ยวจีนกลายเป็นข้อหาหนักถึงขั้นอั้งยี่ ฟอกเงินฯลฯ
“บิ๊กโจ๊ก” ที่ยิ่งใหญ่มากในยุค “ลุงป้อม” เป็นคนดูแลคดีนี้
สุดท้ายศาลยกฟ้องทั้ง 3 ศาล
เหลือแค่ผิด พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยว
“ทัวร์ศูนย์เหรียญ” นั้นผิดจริง และทำให้ภาพพจน์การท่องเที่ยวไทยเสียหาย
แต่ระดับของความผิดไม่ได้ร้ายแรงเหมือนกับข่าวในช่วงนั้น
คดี “ดิ ไอคอน” ในวันนี้ก็เช่นกัน จากคดีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น “แชร์ลูกโซ่” เริ่มพัฒนาเป็น “ฉ้อโกง”
และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
พร้อมๆ กันนั้นรายละเอียดข่าวคนที่ถูกหลอกไปลงทุนใน “ดิ ไอคอน” ซึ่งเป็น “เรื่องจริง” ก็สะเทือนใจขึ้นเรื่อยๆ
“ความรู้สึก” กับ “ข้อเท็จจริง” เริ่มผสมผสานกัน
ถ้าข่าว “บอสพอล” เป็น “ระเบิด”
ตอนนี้สะเก็ดระเบิดเริ่มกระจัดกระจายขยายวงจนควบคุมทิศทาง
และพัฒนาไปสู่เกม “การเมือง” เรื่อง “เทวดา” บ้านป่า
ราวกับว่า “กรรมเก่า” เรื่อง “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” เริ่มทำงาน
ล่าสุด ที่มีข่าวแฉเบื้องหลังคดีนี้
ตอนแรกก็ตื่นตาตื่นใจ เพราะมีการเปิดตัวคนอยู่เบื้องหลัง “พอล” และจำนวนสมาชิกที่แท้จริง
แต่พอถึงขั้นจ่ายเงินใต้โต๊ะเป็น 10,000 ล้านบาท
ชักเริ่มแปร่งๆ
เพราะถ้าใจนิ่งๆ และคิดโดยใช้ตรรกะระดับธรรมดาทั่วไป
“ความเป็นไปได้” ต่ำมากเลยครับ
ขนาดพนันออนไลน์ คอลเซ็นเตอร์หรือค้ายาเสพติดที่เป็นคดีที่ผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง
ธุรกิจที่ “ดำสนิท” เขายังไม่จ่ายใต้โต๊ะกันขนาดนี้เลย
คดีนี้ยังออก “เทาๆ” ไม่น่าจะจ่ายกันถึงหมื่นล้านแน่นอน
ที่สำคัญก็คือ ธุรกิจที่ยอมจ่ายใต้โต๊ะหมื่นล้าน ต้องมีรายได้เท่าไรถึงกล้าจ่ายใต้โต๊ะมากขนาดนี้
อย่างน้อยต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่าแสนล้าน
ธุรกิจที่มีรายได้ระดับนี้ต้องใหญ่ระดับทรู เอไอเอส ฯลฯ
“ดิ ไอคอน” ไม่น่าจะมีรายได้มากขนาดนั้น
หรือความซับซ้อนของการฟอกเงิน
มีข่าวว่า “บอสพอล” เปลี่ยนเงินสดไปฟอกเป็นเงินดิจิทัลโดยใช้ “กลุ่มทุนจีนสีเทา” เป็นคนกลาง
การพูดถึง “จีนสีเทา” ทำให้เรารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ ซับซ้อนระดับอาชญากรรมข้ามชาติ
แต่เรื่องนี้มีเครื่องหมายคำถามเยอะทีเดียวครับ
หรือการโอนเงิน 8,000 กว่าล้าน เป็นเงินดิจิทัลก่อนถูกจับ
คนในวงการก็มีการตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้เช่นกัน
ครับ ข่าวกระแสแรงๆ แบบนี้ต้องใช้หลักกาลามสูตรมากๆ
ประเมินความเป็นไปได้ดีๆ
อย่าเชื่ออะไรเร็วเกินไปครับ
ในวันที่โซเชียลมีเดียทรงพลังมากอย่างในวันนี้ทำให้สื่อทำงานยากขึ้น
เพราะข่าวมาทุกทิศทาง
กรณี “ดิ ไอคอน” นั้น “ผิด” แน่นอน
“ผิด” คือ “ผิด”
แต่ “ระดับ” ของ “ความผิด” ต้องยืนอยู่บน “ข้อเท็จจริง”
อย่ารีบไล่ล่าโดยไม่ประเมินน้ำหนักของความผิด
เราต้องระวังอย่าให้ “เสียง” ของ “ความรู้สึก” ทำให้ “หลักการ” ของการเป็น “สื่อ” สูญเสียไป
“ถ้าหลักการมั่นคง
เราจะไม่สั่นไหว”
ก่อนที่ผมจะตบท้ายแบบกลัวๆ
“ถือเป็นการตั้งข้อสังเกต ตามประสานักข่าวเก่าครับ”
ผมโพสต์ไปตอนค่ำช่วงพักครึ่งบอลคู่ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้-วูล์ฟ”
ช่วงครึ่งหลัง ผมดูบอลไป เช็กเฟซบุ๊กไป
กะว่าถ้ามีทัวร์ลงหนักๆ
เราจะไม่สู้
ผมจะลบโพสต์หนีทันที…555
แต่ปรากฏว่าคนเห็นด้วยเยอะ
เหมือนมีคนรู้สึกแบบเดียวกัน
และกำลังหา “ตัวแทนหมู่บ้าน” อยู่
พอผมโพสต์ไป เขาคงรู้สึกว่ามีพวกแล้ว
เริ่มต้นด้วยการกด like
จากนั้นก็เริ่มแสดงความเห็น และแชร์
งานนี้รอดครับ…รอด •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022