ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 31 ตุลาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | เรื่องสั้น |
เผยแพร่ |
จู่ๆ พวกเขาก็กินหิน | พงศภัค พวงจันทร์
ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด 2024
เช้าวันหนึ่ง นิตยาสะดุ้งจนเผลอทำกาแฟหกรดตัก ทว่า มันไม่อาจเบนความสนใจของหญิงชราไปจากถ้อยคำของผู้ประกาศข่าว…องค์การอนามัยโลกค้นพบความจริงอันน่าตื่นตะลึง หินหนึ่งก้อนมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากกว่าข้าวในปริมาณเท่ากันถึงแปดเท่า นักวิชาการทำนายว่าหินคืออาหารแห่งอนาคต เพราะหาได้ง่าย ราคาไม่แพง ไม่เน่าเสีย ไม่ก่อให้เกิดฟู้ดเวส
ครั้นตั้งสติได้ หล่อนก็ขำพรืดที่ช่องดังนำเสนอข่าวไร้สาระ กระทั่งเบนสมาธิมายังเสียงพูดจ้อที่อีกฝั่งของโต๊ะอาหาร หลานชายกำลังคุยโทรศัพท์ถกประเด็นเรื่องการกินหินกับเพื่อน บทสนทนาดูจะเริ่มมาสักพักแล้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องนี้ก่อนผู้เป็นยาย โซเชียลมีเดียเร็วกว่าข่าวโทรทัศน์สิบเท่าเสมอ
“กูลองกินดูแล้ว อร่อยดีนะเว้ย ชักเบื่อข้าวแล้วเหมือนกัน ได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดี”
นิตยากระแอม เด็กหนุ่มส่งสายตาเป็นเชิงถาม หล่อนทำเสียงเอ็ดกลับไป “เดี๋ยวเถอะ มีข้าวให้กินดีๆ ไม่ชอบ เสือกจะไปกินหิน”
ทีแรก หลานชายหัวเราะ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นงุนงงเมื่อเห็นว่าหล่อนไม่ตลกด้วย
“ไม่ตลกนะ กระเพาะรับไม่ได้หรอก กินของมั่วซั่วแบบนั้น คอยดูเถอะ ได้เข้าโรง’บาลกันเป็นเบือ”
หลังจากหลานชายเดินทางไปมหาวิทยาลัย นิตยาก็ลืมข่าวพิสดารนั้นไปสิ้น ด้วยคิดว่าถึงอย่างไร ทุกคนในประเทศก็ไม่มีวันเปลี่ยนไปกินหิน มันก็แค่กระแสที่มาๆ ไปๆ ไม่กี่วันก็คงกลับสู่ปกติ
ผลปรากฏว่าเทรนด์กินหินมาแรงเกินห้ามอยู่ คนกรุงเทพฯ หันมาแทะกินทางเท้าไปจนถึงเสาไฟฟ้าหน้าบ้าน ทว่า ในเมืองหลวงก็ยังมีทรัพยกรน้อยกว่าความต้องการ หินส่วนมากปนเปื้อนสารพิษ โดยเฉพาะตามถนนซึ่งเป็นหินราคาถูกจากการยักยอกของผู้รับเหมา ผิดกับตามต่างจังหวัดที่เป็นหินธรรมชาติ อุดมด้วยแร่ธาตุ ทั้งยังมีรสถูกปากคนไทยมากกว่า ด้วยเหตุนี้ ร้านส่วนมากจึงพากันพลิกกิจการเป็นร้านขายหิน รับหินจากหลายแหล่ง เช่น อยุธยา น่าน ชลบุรี บางร้านขายแพงเพราะรับมาไกลถึงจากเชียงใหม่
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หญิงชราเสียศูนย์ หล่อนยังยืนยันกินข้าวและไม่เคยคิดจะลองชิมว่าหินมีรสชาติอย่างไร ร้านขายหินบุกมาถึงในหมู่บ้านแล้ว คนรุมล้อมพอสมควร แต่ก็ยังไม่เท่าตามสั่งเจ้าประจำ เช้าวันนี้ นิตยาสั่งข้าวราดกุ้งคั่วพริกเกลือ กุ้งตัวอวบถูกคั่วพร้อมเครื่องปรุงจนสุกเด้ง ราดลงบนข้าวหอมมะลิร้อนๆ ปิดท้ายด้วยพริกขี้หนูซอย…ปล่อยพวกมันกินหินไป หล่อนกินข้าวอร่อยๆ สบายใจกว่า
นิตยาคิดว่าไม่นาน กระแสกินหินก็คงซาไปเอง ทว่า กลับไม่เป็นแบบนั้น ไม่กี่วันต่อมา มหาอำนาจหลายชาติแห่สนับสนุนการกินหิน มีการออกกฎหมายและสร้างโรงงานกันเป็นกิจจะลักษณะ องค์การอนามัยโลกรับรองหินเป็นอาหารแห่งมวลมนุษย์ จังหวะนั้นเองที่กระแสเรียกร้องดังระงมทั่วโซเชียล…เมื่อไหร่รัฐบาลไทยจะออกนโยบายเหมือนประเทศเหล่านั้นบ้าง ทำไมถึงทำงานช้า ไม่เคยทันโลก ขนาดประเทศในอาเซียนอย่างเมียนมาหรือกัมพูชายังจัดตั้งหน่วยงานตรวจสอบคุณภาพหินเพื่อบริโภคกันแล้ว
ความรู้สึกบางอย่างอัดแน่นอยู่ในอก หญิงชราหวนคิดถึงน้ำเสียงอารีที่คุ้นเคย ในหัวปรากฏภาพชายที่อยู่เคียงข้างหล่อนตั้งแต่ทั้งคู่ยังวิ่งเล่นด้วยกันในนาข้าวสีเหลืองทอง
ภาพรวงข้าวที่เคยช่วยแม่เกี่ยวมาเข้าขั้นตอนซับซ้อนจนเปลือกสีน้ำตาลค่อยๆ เผยเนื้อขาวนุ่มละมุนยังคงแจ่มชัดในความทรงจำ หลังนำไปหุงจนได้ที่ กลิ่นข้าวสุกก็โชยฟุ้งจนเด็กหญิงน้ำลายสอ รีบถือจานกับช้อนมารอถึงหน้าหม้อ ข้าวที่ถูกหุงอย่างพอดี บางครั้งหวานอร่อยจนไม่ต้องกินคู่กับอื่น ก่อนลงมือรับประทาน แม่ซึ่งเป็นทั้งคนปลูก คนเกี่ยว คนทำ จะพูดทุกครั้งว่าข้าวคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่แผ่นดินผืนนี้จะมอบให้ นาข้าวเขียวขจีทอดยาวสุดลูกตาเปรียบเสมือนบ้าน ชีวิต และครอบครัวของหล่อน กระทั่งเข้าสู่วัยเบญจเพส นิตยาเดินทางลงมายังเมืองหลวง…พลันเสียงจากปลายสายปลุกหล่อนจากภวังค์
“พวกเขาแค่ไม่อยากกิน โยมนิตย์” พี่ชายผู้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์มาแล้วสิบปีเศษกล่าวเสียงเรียบ
นิตยากำโทรศัพท์แน่น กัดฟันพูดอย่างตัดพ้อ “แต่ฉันทนเห็นพวกเขาทำลายนาข้าวไม่ได้”
“อาตมาอยากเตือนสติโยมนิตย์ว่า การที่พวกเขาไม่เห็นนาข้าวเป็นบ้านไม่ใช่เรื่องผิดหรอกนะ”
“แต่มันคือบ้านของฉันนี่” นิตยาประท้วงเสียงค่อย “เป็นทั้งบ้านและครอบครัว หลวงพี่ต้องเข้าใจสิ”
“แน่นอนที่สุด โยมนิตย์” พระชราเอ่ยอย่างอารี “แต่อีกไม่นาน ที่แห่งนั้นก็จะเป็นของพวกเขา ไม่ใช่บ้าน ครอบครัว หรือเพื่อนสมัยเด็กของโยมนิตย์อีกต่อไป…”
ข่าวว่ารัฐบาลเป็นปรปักษ์ต่อการกินหินเพราะมีหุ้นส่วนกับโรงงานข้าว ไม่อาจเรียกความสนใจจากจากนิตยาได้เท่าข่าวที่ว่าคนรุ่นใหม่เตรียมจัดชุมนุมประท้วงเรื่องดังกล่าวหน้าห้างดังย่านปทุมวันตอนสี่โมงเย็น หญิงชราเดินลงจากห้อง พบหลานชายกำลังจัดของเตรียมออกจากบ้าน หล่อนชะโงกมองเด็กหนุ่มเทหินหลายสี หลายชนิดลงกล่องข้าว ระหว่างนั้นหยิบก้อนหนึ่งมาเคี้ยวตุ้ยๆ ราวกับมันเป็นขนมอันโอชะ
“ปังปอนด์ จะไปประท้วงกับเขาหรือลูก”
“ครับผม” อีกฝ่ายตอบกลับด้วยรอยยิ้มแบบที่นิตยาคุ้นชิน
“ทำไมถึงอยากกินนักล่ะฮึ อร่อยมากหรือไง”
“อร่อยกว่าข้าวอีกครับ ยายลองดูสิ ไม่ลองไม่รู้นา” พูดจบก็ยื่นหินก้อนหนึ่งให้ หล่อนผงะ ปัดมันลงพื้น สีหน้าของหลานชายเจื่อนลงในทันที ทีแรกนิตยารู้สึกโกรธ ครั้นเห็นภาพนั้นจึงรู้ตัวว่าทำเกินกว่าเหตุ
“ขอโทษลูก ยายขอโทษ” พูดพลางเก็บหินมาวางบนโต๊ะ วางมือบนบ่าหลานชาย อีกฝ่ายสูงกว่าหล่อนมาก แต่ภาพปังปอนด์น้อยที่เดินเตาะแตะมานั่งให้หล่อนป้อนข้าวยังคงแจ่มชัดไม่เลือนราง “ยายแค่สงสัยว่าปังปอนด์ชอบกินมันจริงๆ หรือแค่กินตามเพื่อน ยายขอถามตรงๆ เลยนะ”
“ปอนด์ชอบกินจริงๆ ครับยาย” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มฉายแววน้อยใจนิดๆ “อร่อยแถมดีต่อสุขภาพด้วย ยายรู้มั้ยว่าอนามัยโลกเขารับรองแล้วนา”
“แล้วปังปอนด์ไม่อยากจะกลับไปกินข้าวแล้วเหรอลูก” น้ำเสียงของนิตยาแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด
เด็กหนุ่มส่ายศีรษะเบาๆ “พอกินหินแล้ว ปอนด์รู้สึกไม่อยากกลับไปกินข้าวเลยครับยาย”
นิตยาจำไม่ได้ว่าใครพูดอะไรต่อ รู้เพียงว่าหลังจากนั้น หลานชายก็หันหลังเดินออกจากบ้าน ออกไปทำตามชีวิตเสรีของเขา…หญิงชราบอกตัวเองแบบนั้น ทว่าความเสรีนั้นกลับบีบหัวใจหล่อนไม่เว้นวัน
“พวกนั้นถมนาข้าวนะหลวงพี่ ฉันเห็นในรูป ถมจนหมดเลย นาที่แม่ปลูกข้าวมาตั้งแต่เด็ก ข้าวที่แม่หุงไง หลวงพี่จำได้มั้ย ยังจำตอนที่เราเกี่ยวข้าวด้วยกันเยอะๆ จนหลวงพี่ไปเจอพี่ขวัญมณีได้หรือเปล่า”
ปลายสายหัวเราะขบขัน “อาตมาละทางโลกแล้วนะโยมนิตย์ จำน่ะจำได้ดีเทียว แต่มันผ่านไปแล้วล่ะ นาข้าวพวกนั้นก็เหมือนกัน ลูกชายของโยมนิตย์อยากกินหินก็ไม่ใช่เรื่องผิดตรงไหน”
เป็นครั้งแรกที่นิตยารู้ตัวว่าเผลอใช้น้ำเสียงค่อนขอด “อย่าบอกนะว่าหลวงพี่หันมาชอบฉันหินแล้ว”
“มีญาติโยมนำมาถวายบ้าง อาตมาฉันดู ก็พบว่ามันคืออาหารอย่างหนึ่งนั่นล่ะ”
“หลวงพี่ลืมข้าวที่แม่เคยปลูกให้เรากินได้อย่างไรกัน!” ความอัดอั้นทำให้หญิงชราปล่อยโฮออกมา ปลายสายเลือกนิ่งงัน ปล่อยให้หล่อนร้องไห้สักระยะค่อยกล่าวต่อ
“โยมนิตย์ ฟังอาตมาก่อน ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง จะหวังให้ทุกอย่างคงเดิมอยู่รอบตัวเรามันเป็นไปไม่ได้หรอก” ตอบเพียงเท่านั้น ก่อนนิ่งฟังเสียงสะอื้นของน้องสาวดังต่อไปราวกับไร้ที่สิ้นสุด…
การถมนาข้าวสร้างโรงงานนับว่ามากแล้วสำหรับนิตยา หากแต่เทียบไม่ติดกับนโยบายของประเทศอื่น กลุ่มคนกินหินเห็นพ้องในเรื่องนั้น รัฐบาลไทยซึ่งยังให้ความสำคัญกับข้าวถูกโซเชียลก่นด่า แม้นโยบายจะกระเตื้องขึ้น แต่ก็เห็นชัดว่าอีกฝ่ายทำไปเพราะใกล้เลือกตั้ง กลุ่มกินหินซึ่งคิดเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของประเทศประกาศตนเป็นปรปักษ์กับรัฐบาลปัจจุบัน ฝ่ายหลังเองก็กำลังชักชวนกลุ่มคนที่ยังผูกพันกับข้าวให้ลุกขึ้นมาร่วมแสดงจุดยืน นิตยาพบว่าคนวัยเดียวกับหล่อนจำนวนมากรังเกียจการกินหิน ด้วยยังรักข้าวเสียจนเข้าจิตวิญญาณ แม้แต่หญิงชราเองก็กล้าพูดได้ว่าข้าวคือรากฐานลมหายใจของตนจนทุกวันนี้
หล่อนครั่นคร้ามจะตอบรับคำชวนของเพื่อน…ร่วมสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล เข้าร่วมม็อบแสดงจุดยืน ใจเพียงต้องการทวงคืนผืนดินที่ต้นข้าวเคยเติบโต ที่ซึ่งเปรียบดั่งต้นธารชีวิตของผู้เป็นแม่…ของทุกคนในประเทศก่อนที่การกินหินจะแพร่ระบาดดุจโรคร้าย
นิตยาใช้ไฟแรงเพื่อให้ข้าวผัดแห้ง เสร็จแล้วจึงเทใส่จาน นำมาวางตรงหน้าหลานชาย ข้าวผัดแหนมคือเมนูโปรดของปังปอนด์ตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยตัวข้าวที่เรียงเม็ดสวย ทุกตารางนิ้วเคลือบด้วยเครื่องปรุง ตัดด้วยแหนมหมูรสเปรี้ยว หล่อนทำจานนี้ทีไร อีกฝ่ายเป็นต้องลงจากห้องมายืนดูใจจดใจจ่ออยู่ข้างเตาทุกครั้ง
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ครับ ปังปอนด์ ขอให้ปังปอนด์มีความสุข เป็นเด็กดีของยายไปนานๆ นะครับ”
พูดจบก็หอมแก้มอีกฝ่ายฟอดใหญ่ เด็กหนุ่มยิ้มรับ ก้มมองข้าวผัดควันกรุ่นตรงหน้าด้วยท่าทางลังเล หญิงชราไม่เอ่ยคำใดต่อ ทว่า หัวใจของหล่อนคล้ายถูกบีบรัด หลานชายเริ่มต้นจากการเขี่ยข้าวในจาน ใช้ปลายช้อนตักเศษข้าวเข้าปาก พลันหยุดชะงัก นิ่งไปเนิ่นนาน นิตยาสัมผัสได้ว่าตัวเองร้องไห้ก็ตอนที่อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน โน้มตัวคล้ายพยายามกลั้นอาเจียน ก่อนจะทนไม่ไหว ขย้อนน้ำย่อยกระเซ็นไปทั่วโต๊ะ
“ปอนด์ขอโทษ…” เด็กหนุ่มเอ่ยคำนั้นแล้วรีบจัดการทำความสะอาด หันมาสบตากับหล่อนเป็นระยะ แววตาของเขาฉายความรู้สึกผิดอย่างแท้จริง ทว่า นั่นเป็นวินาทีที่ความอดทนของนิตยาขาดสะบั้น
“นี่แกถูกล้างสมองหนักถึงขั้นนี้แล้วใช่มั้ย สิบเก้าปีตั้งแต่แกเกิด ฉันเลี้ยงแกเป็นคนนะ ไม่ใช่ควาย”
สีหน้าของเด็กหนุ่มคล้ายกับจะร้องไห้ ตะโกนไล่หลังว่า “ยายฟังปอนด์ก่อน!”
หล่อนอยากหยุดฟังแทบขาดใจ ทว่า ความโกรธกลับสั่งห้ามหยุดฝีเท้า ตอนนั้นเอง โทรทัศน์ฉายภาพเหตุการณ์ที่แยกราชประสงค์ ตำรวจนำรถน้ำฉีดใส่กลุ่มคนกินหินจนแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง…
นิตยายืนอยู่หน้าศาลหลักเมือง รอบกายคือกลุ่มผู้ประท้วงที่ต่างตะโกนพร้อมกันว่า “ไม่เอาพวกกินหิน!” รอบตัวมีแต่คนวัยเดียวกับหล่อน และขบวนรถบัสที่กำลังมุ่งตรงมาจากสนามไชยก็คงบรรทุกคนกลุ่มเดียวกันมาเพิ่ม กลุ่มเพื่อนที่ชวนหล่อนมาเดินจูงมือกันไปยังท้องสนามหลวง นิตยาเดินตาม ก่อนที่ไม่ช้าจะพบว่าตัวเองคลาดกับคนรู้จัก หลงทางกลางฝูงชน ตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ปรากฏสายโทร.เข้าอันคุ้นเคย
“โยมนิตย์อยู่สนามหลวงหรือ อาตมาเห็นโยมนิตย์ในข่าว”
หญิงชราหันหลัง ประสานสายตากับกล้องซึ่งถ่ายมายังจุดที่ตนยืนอยู่ “ฉันขอโทษที่ไม่ได้รับสายหลวงพี่ พอดีกลุ้มใจเรื่องไอ้ปังปอนด์มันน่ะ” ตะเบ็งแข่งเสียงรอบตัว พลันชะงักเมื่อพบว่าเสียงโฉ่งฉ่างดังมาจากปลายสาย “นั่น…อย่าบอกนะว่าหลวงพี่…” คำพูดกลายเป็นติดขัดเมื่อนึกถึงสิ่งที่ภิกษุกำลังทำ
“ใช่ อาตมาก็อยู่ที่เดียวกับโยมนิตย์นี่ล่ะ แต่อาตมาอยู่ตรงอนุสาวรีย์…”
“หลวงพี่ทำบ้าอะไร หลวงพี่คิดอะไรอยู่ นี่หลวงพี่ก็เป็นไปกับเขาด้วยหรือ!”
“อาตมาเข้าใจโยมนิตย์ แต่ในฐานะที่อาตมารุ่นราวคราวเดียวกับโยมนิตย์ ก็เลยนิ่งเฉยไม่ได้”
“แต่หลวงพี่ละทางโลกแล้วนะ จะมายุ่งเรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกัน”
“อาตมาแค่อยากปรามพวกเราทุกคน โยมนิตย์ไม่เห็นหรือว่าพวกเรากำลังทำอะไรกับเด็กมันอยู่”
นิตยากัดฟันพูดต่อทั้งที่กำลังจะร้องไห้ “ฉันไม่ได้ทำอะไรไอ้ปังปอนด์เลย ฉันแค่ปกป้องสิ่งที่ฉันรัก!”
“โยมนิตย์เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่ปีเท่านั้นที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่รัก แต่หลานของโยมนิตย์เล่า เขาต้องอยู่กับสิ่งที่เขาไม่ได้รักไปจนแก่เฒ่า โยมนิตย์คิดว่ามันยุติธรรมแล้วหรือ”
หญิงชราส่ายศีรษะเป็นพัลวัน “ไอ้ปังปอนด์มันก็แค่อยากกินหินตามเพื่อน มันจะไปรู้อะไร”
เสียงจากปลายสายยังคงสุขุมราบเรียบ “โยมนิตย์ ฟังอาตมานะ หลานของโยมนิตย์เลือกแล้ว และอาตมาก็เชื่อว่าทุกคนที่เลือกทานหินตัดสินใจดีแล้วเหมือนกัน ตอนที่โยมนิตย์โทร.มาเล่าเรื่องหลานให้อาตมาฟัง อาตมายังภูมิใจแทนเลยที่หลานของโยมนิตย์มีความคิดเป็นของตัวเอง แล้วก็ยึดมั่นเดินตามนั้น โยมนิตย์เองก็มีทางเลือกของโยมนิตย์ แต่โยมนิตย์อยากจะให้หลานต้องอยู่ในโลกที่ไม่ต้องการไปจนแก่หรือ ต้องการให้หลานฝืนกินข้าวแล้วสำรอกออกมาแบบนั้นหรือ”
นิตยานิ่งฟังคำนั้นเนิ่นนาน หวนคิดถึงรอยยิ้มของเด็กหนุ่ม…รอยยิ้มที่หล่อนสัญญากับตัวเองว่าจะรักษามันเอาไว้ให้คงอยู่ไปตลอดกาล ถึงแม้กายหยาบของหล่อนจะกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วก็ตาม
“โยมนิตย์ปล่อยวางเถิด โลกตอนนี้คือของหลาน ไม่ใช่ของเรา อาตมามาที่นี่เพื่อบอกทุกคนแบบนี้”
เสียงหนึ่งดังลั่นจากถนนราชดำเนินกลางจนนิตยาสะดุ้ง ความโกลาหลบังเกิดเมื่อมีคนตะโกนว่า “เสียงปืน!” “ตำรวจยิงแล้ว!” “พวกนั้นจับเด็กไปแล้ว!” ประโยคหลังนี้เองทำให้หญิงชราเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ไม่นาน หล่อนยืนสับสนกลางแยกคอกวัว กวาดตาหาเด็กหนุ่มท่ามกลางความอลหม่าน “ปังปอนด์! ปังปอนด์ลูก!” ตะโกนชื่อนั้นซ้ำๆ
พลันฝูงชนอัดกระแทกหล่อนเข้ากับโล่ตำรวจจนสติทั้งมวลดับวูบ
ข่าวกลุ่มพระสงฆ์ถูกจับสึกก่อนนำตัวไปคุมขัง มาพร้อมข่าวว่ามีผู้กินหินจำนวนมากสูญหาย บ้างทราบถึงครอบครัวแล้วว่าอยู่ในคุก บ้างถูกปล่อยเลยตามเลยจนต้องออกตามหาด้วยความหวังอันริบหรี่
นิตยาเบิกตาโพลงนิ่งค้าง ในมือถือโทรศัพท์ซึ่งถูกกดโทร.ออกมานับครั้งไม่ถ้วน การนองเลือดทิ้งไว้เพียงศพที่ระบุตัวตนไม่ได้ กินเวลาหลายวันที่ในหัวของหญิงชรามีแต่คำถามว่าหลานชายจะกลับมาตอนไหน กลับมาในสภาพใด ปังปอนด์น้อยผู้เป็นเสมือนโลกทั้งใบของหล่อน บัดนี้กลายเป็นเพียงอากาศธาตุยามเอื้อมมือไขว่คว้า
โทรทัศน์ฉายภาพ ณ อาคารรัฐสภา ผู้กินหินจำนวนมากนัดรวมตัวกันทำอารยะขัดขืน บางคนชูรูปของคนที่ยังสูญหายหรือถูกคุมขัง หมู่มวลพวกเขาดูเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่มลังเมลือง ในมือถือจานใส่ก้อนหิน ประกาศว่าจะกินหินอยู่ที่นี่จนกว่าเพื่อนและครอบครัวของตนจะกลับคืนสู่อ้อมกอด
มือของนิตยาเอื้อมไปหยิบก้อนหินบนจานพร้อมกับพวกเขา ครั้นภาพตัดไปยังกลุ่มคนที่กำลังร้องไห้ หล่อนก็อ้าปากกัดมันทีละน้อย ครั้นพวกเขาสะอื้น หล่อนก็สะอื้นตามพร้อมใช้ฟันขบลงบนพื้นผิวแข็งกระด้าง มันแตกออกอย่างง่ายดาย สัมผัสแปลกลิ้นทำให้น้ำตาของหญิงชรารินไหล หยดแล้วหยดเล่า กระทั่งคลุกเคล้ามันจนทั่วปาก ซึมซับรสชาติทั้งที่ในหัวยังปรากฏใบหน้าของหลานชาย
สุดท้าย หล่อนกลืนมันลงคอด้วยความรู้สึกอ้างว้างและเจ็บปวดเหลือคณา •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022