สุวรรณภูมิ [6] พุทธปะทะผี ที่สุวรรณภูมิ

สุวรรณภูมิมีความเป็นมาเริ่มแรกไม่เกี่ยวกับการเผยแผ่ศาสนาไม่ว่าศาสนาพุทธหรือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เพราะแรกสุดเป็นเรื่องการค้าระยะไกลระหว่างสุวรรณภูมิและอินเดียกับจีน ส่วนการเผยแผ่ศาสนาเป็นผลพลอยได้ตามไปทีหลังเมื่อกลุ่มผู้นำทางการเมืองในอินเดียและรวมถึงลังกาใช้ศาสนาพุทธเป็นเครื่องมือทางการเมืองและการค้า

เนื่องเพราะศาสนาพุทธสนองกิจกรรมการค้าและใกล้ชิดเศรษฐีผู้มั่งคั่งจากการค้า จึงส่งพระสงฆ์อาศัยเรือพ่อค้าไปเผยแผ่ศาสนาพุทธในบ้านเมืองสุวรรณภูมิเพื่อขยายอำนาจไปควบคุมเส้นทางการค้าระยะไกลและชุมทางการค้ากับจีนและเครือข่าย

ศาสนาพุทธถูกเผยแผ่จากอินเดียถึงสุวรรณภูมิตั้งแต่เมื่อไหร่? ไม่พบหลักฐานบอกตรงไปตรงมา ทำให้ต้องคาดคะเนว่าน่าจะมีลักษณะเริ่มแรกทยอยตามสถานการณ์สังคมการค้าครั้งนั้น แล้วเข้มข้นขึ้นสมัยหลังเมื่อได้รับสนับสนุนเป็นทางการจากอำนาจรัฐที่หนุนศาสนาพุทธซึ่งย้ายจากอินเดียไปอยู่ลังกา

สุวรรณภูมิคือดินแดนทอง ซึ่งผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์เคลื่อนไหวโยกย้ายเข้าไปตั้งหลักแหล่งอยู่รวมกันเป็นบ้านเมืองระดับรัฐแรกเริ่ม และมีเครือข่ายกว้างขวางตามลุ่มน้ำสำคัญ สืบเนื่องจากการเป็นชุมทางการค้าระยะไกลระหว่างอินเดียกับจีน (โดยไม่เป็นอาณานิคมของอินเดีย) ดึงดูดนักแสวงความมั่งคั่งเดินทางเสี่ยงภัยไปค้าขายสม่ำเสมอเป็นที่รู้ทั่วกัน

พระสงฆ์ในดินแดนสุวรรณภูมิ พบหลักฐานเก่าสุดคือประติมากรรมดินเผารูปภิกษุสาวก 3 รูป ครองจีวร ถือบาตร ทำท่าบิณฑบาต หลัง พ.ศ.1000 (พบที่เมืองอู่ทอง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ภาพจากหนังสือ สุวัณณภูมิ โดย ธนิต อยู่โพธิ์ กรมศิลปากร พิมพ์เมื่อ พ.ศ.2510)

พุทธถึงสุวรรณภูมิ

ศาสนาพุทธเผยแผ่ถึงสุวรรณภูมิโดยอาศัยเรือของนักเดินทางเสี่ยงภัยไปซื้อขายทองแดงและอื่นๆ ซึ่งมีประสบการณ์นานมากบนเส้นทางการค้าระยะไกลทางทะเลโดยประมาณตั้งแต่เรือน พ.ศ.1-500 ครั้งนั้นยังไม่พบร่องรอยการเผยแผ่ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาพุทธ แต่จะพบสมัยต่อไปข้างหน้าอีกนานนับร้อยปี

การมาถึงสุวรรณภูมิอย่างลงหลักปักฐานเป็นรูปธรรมของศาสนาพุทธ พบหลักฐานเก่าสุดเป็นงานช่างเนื่องในศาสนาพุทธ ได้แก่ พระพุทธรูป, พระโพธิสัตว์, สถูปเจดีย์, ปูนปั้นรูปต่างๆ ฯลฯ มีอายุเรือน พ.ศ.1000 (ไทยเรียกวัฒนธรรมทวารวดี)

ความเชื่อเดิมที่ว่าพระเจ้าอโศกส่งพระสงฆ์ 2 รูปไปเผยแผ่ศาสนาพุทธที่สุวรรณภูมิ แต่ตรวจสอบจารึกพระเจ้าอโศกแล้ว ไม่พบข้อความเรื่องพระเจ้าอโศกส่งพระสงฆ์ไปเผยแผ่ศาสนาพุทธที่สุวรรณภูมิ

พระเจ้าอโศกส่งพระสงฆ์ 2 รูป คือ พระโสณะกับพระอุตตระ ไปเผยแผ่ศาสนาพุทธที่สุวรรณภูมิ พบเรื่องเล่าอย่างพิสดารในหนังสือมหาวงศ์ (พงศาวดารลังกา) แต่งเมื่อเรือน พ.ศ.1000 สอดคล้องกับหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะที่พบในไทย ภาคกลางตอนล่าง บริเวณลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง

หลังรับศาสนาจากอินเดียทั้งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ แต่ยังนับถือศาสนาผี ดังพบประติมากรรมคนจูงลิง ดินเผา ราวหลัง พ.ศ.1000 พบที่เมืองอู่ทอง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี

ผี ปะทะ พราหมณ์-พุทธ
ก่อนผสมปนเปกัน

ผี, พราหมณ์, พุทธ น่าจะเริ่มประสมปนเปกันหลังพราหมณ์กับพุทธถูกเผยแผ่จากอินเดียถึงสุวรรณภูมิและอุษาคเนย์ พบหลักฐานจากความทรงจำเก่าแก่ว่าก่อนมีการประสมปนเปกันได้มีปัญหาต้องปะทะขัดแย้งระหว่างผีกับพราหมณ์-พุทธในระยะเวลาหนึ่งซึ่งน่าจะนานไม่น้อย

1. พราหมณ์กับพุทธเหยียดผีด้วยการเรียกคนพื้นเมืองนับถือผีว่า “นาค” เป็นตระกูลภาษาอินโด-ยุโรป แปลว่าเปลือยหรือคนเปลือย เพราะคนพื้นเมืองทั้งหญิงชายมีผ้าผืนน้อยหน้าแคบผืนเดียวหรือเปลือกไม้ชิ้นเดียวผูกรัดอวัยวะเพศไว้เท่านั้น นอกนั้นปล่อยร่างเปลือยเปล่า ซึ่งไม่นุ่งหุ่มผ้าผ่อนแบบอินเดีย

2. ผีปะทะพุทธเมื่อผีไม่ยอมอ่อนน้อมต่อคำสอนของพุทธ จึงทำให้พุทธต้องปราบผี แต่เรียก “ปราบนาค” (นาคคือสัญลักษณ์ความเชื่อศาสนาผี) ซึ่งมีบอกในคัมภีร์มหาวงศ์ (พงศาวดารลังกา) และในหนังสืออุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม)

3. ผี, พราหมณ์, พุทธ ประนีประนอมเข้าประสมปนเปกันเมื่อพราหมณ์กับพุทธปราบผีไม่สำเร็จ จึงมีการปรับตัวโน้มเข้าหากัน (โดยสรุปจากบทความเรื่อง “ศาสนาผี” ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ มี 2 ตอน พิมพ์ใน มติชนสุดสัปดาห์ ตุลาคม-พฤศจิกายน พ.ศ.2554) ดังนี้

(1.) ศาสนาผีเป็นฐานรากแข็งแกร่ง

(2.) เลือกรับสิ่งละอันพันละน้อยของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู กับศาสนาพุทธ ส่วนที่ไม่ขัดกับหลักผีเข้ามาประดับศาสนาผี จึงทำให้ศาสนาผีดูดีมีสง่าราศีทันสมัย น่าเลื่อมใสขึ้นจากการประดับประดาห่อหุ้มคลุมด้วยศาสนาพราหมณ์-ฮินดูกับศาสนาพุทธ

(3.) ศาสนาผีรักษากฎเกณฑ์ทางสังคม ส่วนศาสนาพราหมณ์-ฮินดูกับศาสนาพุทธรักษากฎเกณฑ์ทางจิตวิญญาณของบุคคล

ต่อมาคนพื้นเมืองยอมรับคำว่านาค ดังนั้น เมื่อทำพิธีบวชคนพื้นเมืองเพศชายให้เป็นพระสงฆ์ไม่เรียกบวชคน แต่เรียกบวชนาค หมายถึงบวชคนเปลือยซึ่งมีน้ำเสียงเหยียดคนพื้นเมือง แต่ขณะเดียวกันฝ่ายพุทธยกย่องอำนาจผีด้วยการยอมรับพิธี ทำขวัญนาค ตามความเชื่อดั้งเดิมของผีก่อนเข้าพิธีบวชเป็นพระสงฆ์ แล้วยอมให้มีการแห่นาคก่อนเข้าพิธีบรรพชาซึ่งไม่พบในพุทธบัญญัติ

ศาสนาผีเป็นฐานรากแข็งแกร่งยังพบในพระพุทธรูปทั้งหลายถูกเรียกหลวงพ่อ เพราะมีผีทรงอานุภาพยิ่งใหญ่เป็นผู้พิทักษ์โดยสิงสถิตในพระพุทธรูปนั้น ทำให้พระพุทธรูปมีทั้งความเป็นพระและผีรวมอยู่ด้วยกัน นอกจากนั้น ตามโบถส์วิหารการเปรียญมีผีคุ้มครองแข็งแรงในลักษณะของนาค (คืองู) เป็นผู้พิทักษ์แข็งขันอยู่หลังคาเครื่องบนอาคาร แต่ถูกกลบเกลื่อนความจริงด้วยชื่อเรียกสมมุติขึ้นใหม่ว่าช่อฟ้าและหางหงส์ เป็นต้น

หญิงในศาสนาผีมีสถานภาพสูงกว่าชาย ได้แก่ เป็นใหญ่ในพิธีกรรม (เข้าทรงผีฟ้า) และเป็นหัวหน้าเผ่าพันธุ์, สำหรับพิธีแต่งงานหญิงเป็นนายชายเป็นบ่าว (ขี้ข้า) ของหญิง เสร็จพิธีแล้วชายเป็นเขยต้องไปอยู่รับใช้ในเรือนของหญิง

ชายในศาสนาพราหมณ์, พุทธ มีสภาพสูงกว่าหญิง ครั้นหลังรับศาสนาพราหมณ์-ฮินดูกับศาสนาพุทธก็เปลี่ยนไปยกย่องชายมีสถานภาพสูงกว่าหญิง ได้แก่ ชายเป็นใหญ่ในพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูกับศาสนาพุทธ ส่วนหญิงถูกลดสถานภาพต่ำกว่าชายไม่มีสิทธิ์ในพิธีกรรมพราหมณ์-พุทธ แต่ยังเป็นใหญ่ในพิธีกรรมทางศาสนาผี (เพราะผีฟ้าไม่ลงทรงผู้ชาย) •

 

| สุจิตต์ วงษ์เทศ