พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ | การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา : โครงสร้าง กระบวนการ และกรณีศึกษาสำคัญ

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
(Photo by CHIP SOMODEVILLA / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)

กลับมาถึงบอสตันแล้วครับ ถ้าเวลานี้ ชั่วโมงนี้ คงไม่มีเรื่องไหนสำคัญ น่าสนใจและอยู่ในบทสนทนาใน Harvard Square เท่ากับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญที่สุดในโลก

ด้วยความที่เป็นประเทศมหาอำนาจทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง สหรัฐอเมริกามีบทบาทสำคัญต่อภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นในด้านนโยบายระหว่างประเทศ การค้าเสรี หรือการสนับสนุนด้านมนุษยธรรม

กระบวนการเลือกตั้งของสหรัฐเป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย แต่มีความซับซ้อนมากกว่าหลายประเทศในโลก เนื่องจากระบบการเลือกตั้งของสหรัฐใช้ระบบที่เรียกว่า “คณะผู้เลือกตั้ง” (Electoral College) ทำให้บางครั้งผู้สมัครที่ได้คะแนนเสียงสนับสนุนมากที่สุด (Popular Vote) อาจไม่ชนะการเลือกตั้งได้ วันนี้จะมาย่อยให้ฟังครับ

บทความนี้จะอธิบายภาพรวมกระบวนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พร้อมทั้งยกตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญ 3 กรณี ได้แก่

การเลือกตั้งปี 2016 ที่ฮิลลารี คลินตัน ได้คะแนนเสียงมากกว่าทรัมป์แต่กลับพ่ายแพ้

การเลือกตั้งปี 2000 ระหว่างจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และอัล กอร์ ซึ่งเกิดปัญหาการนับคะแนนในรัฐฟลอริดา

รวมถึงการเลือกตั้งปี 2008 ระหว่างบารัก โอบามา และจอห์น แม็กเคน

ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสสัมผัสบรรยากาศในขณะศึกษาอยู่ที่เคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์

 

โครงสร้างและกระบวนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

1. ระบบการเลือกตั้งประธานาธิบดี : Electoral College

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่ได้ใช้ระบบการนับคะแนนเสียงแบบ “ผู้ชนะที่ได้เสียงมากที่สุด” (Winner-Takes-All) ตามระบบคะแนนเสียงประชาชนโดยตรง (Popular Vote) แบบในหลายประเทศ แต่จะใช้ระบบ “คณะผู้เลือกตั้ง” (Electoral College) เป็นหลัก ซึ่งเป็นกลไกที่ก่อตั้งขึ้นในยุคเริ่มแรกของสหรัฐ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างรัฐขนาดใหญ่และขนาดเล็ก

โดยจำนวนคณะผู้เลือกตั้งของแต่ละรัฐจะถูกกำหนดตามจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิกของรัฐนั้นๆ รวมแล้วทั้งหมด 538 คน

ผู้สมัครจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากคณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 270 เสียงจึงจะชนะการเลือกตั้ง ทำให้บางครั้งผู้สมัครที่ได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากกว่าก็อาจไม่ได้เป็นประธานาธิบดี เนื่องจากจำนวนคณะผู้เลือกตั้งในรัฐสำคัญ (Swing States) มีบทบาทต่อผลลัพธ์มากกว่า นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บางครั้งผู้สมัครที่ได้เสียง Popular Vote สูงสุดกลับไม่สามารถครองตำแหน่งได้

ประชากรและตัวแทนรัฐในสภาคองเกรส (ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา) รัฐที่มีคะแนนคณะผู้เลือกตั้งน้อยที่สุดคือ รัฐไวโอมิง โดยมีคะแนนเพียง 3 คะแนน ซึ่งเป็นจำนวนขั้นต่ำที่รัฐสามารถมีได้ในระบบคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) คะแนนเหล่านี้มาจากจำนวนตัวแทน 1 คนในสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสมาชิก 2 คน

ใน 7 รัฐสะวิงสำคัญ มีคะแนนคณะผู้เลือกตั้งทั้งหมด 108 คะแนนที่มีความสำคัญต่อการชนะการเลือกตั้ง ซึ่งประกอบด้วย :

แอริโซนา : 11 คะแนน
จอร์เจีย : 16 คะแนน
มิชิแกน : 15 คะแนน
เนวาดา : 6 คะแนน
นอร์ธแคโรไลนา : 16 คะแนน
เพนซิลเวเนีย : 19 คะแนน
วิสคอนซิน : 11 คะแนน

คะแนนจากรัฐเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยผู้สมัครให้ได้คะแนนถึง 270 คะแนน

 

2. การรณรงค์หาเสียงและรัฐสำคัญ

ในการเลือกตั้งสหรัฐ รัฐจะมีสถานะต่างกันไปตามความนิยมของพรรคการเมือง โดยแบ่งออกเป็น “รัฐสีแดง” (Red States) ซึ่งนิยมพรรครีพับลิกัน “รัฐสีน้ำเงิน” (Blue States) ซึ่งนิยมพรรคเดโมแครต และ “รัฐสะวิง” (Swing States) ซึ่งอาจเปลี่ยนขั้วได้ในแต่ละการเลือกตั้ง รัฐสะวิง เช่น ฟลอริดา โอไฮโอ และเพนซิลเวเนีย จึงกลายเป็นจุดโฟกัสหลักของการรณรงค์หาเสียง เพราะการชนะในรัฐเหล่านี้สามารถตัดสินผลการเลือกตั้งได้

รัฐที่มีคะแนนคณะผู้เลือกตั้งสูงสุดคือ รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมีจำนวน 54 คะแนน ในระบบการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) จำนวนคะแนนที่แต่ละรัฐมีขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรและตัวแทนรัฐในสภาคองเกรส (ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา)

3. ตัวอย่างการเลือกตั้งที่น่าสนใจ

เพื่อให้เข้าใจถึงบทบาทของคณะผู้เลือกตั้งและรัฐสะวิงมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะยกตัวอย่างการเลือกตั้งที่มีความสำคัญ 3 กรณี คือ การเลือกตั้งปี 2016 (คลินตัน vs ทรัมป์) การเลือกตั้งปี 2000 (บุช vs กอร์) และการเลือกตั้งปี 2008 (โอบามา vs แม็กเคน)

 

กรณีศึกษา 1 : การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016
ฮิลลารี คลินตัน vs โดนัลด์ ทรัมป์

การเลือกตั้งปี 2016 เป็นการเผชิญหน้าระหว่างอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ฮิลลารี คลินตัน (พรรคเดโมแครต) และนักธุรกิจชื่อดัง โดนัลด์ ทรัมป์ (พรรครีพับลิกัน)

การแข่งขันครั้งนี้เต็มไปด้วยการโจมตีและการถกเถียงประเด็นเชิงนโยบายอย่างเผ็ดร้อน ฮิลลารี คลินตัน ได้คะแนนเสียง Popular Vote สูงกว่าทรัมป์กว่า 2.8 ล้านเสียง แต่กลับแพ้ในคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งอย่างสิ้นเชิง

ทรัมป์ได้คณะผู้เลือกตั้ง 304 เสียง ขณะที่คลินตันได้เพียง 227 เสียง ทำให้เขาได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐ

เหตุผลที่คลินตันพ่ายแพ้การเลือกตั้งถึงแม้ได้ Popular Vote สูงสุด คือเธอสูญเสียรัฐสะวิงสำคัญ เช่น เพนซิลเวเนีย มิชิแกน และวิสคอนซิน ซึ่งล้วนแต่เป็นรัฐที่ครั้งหนึ่งเคยสนับสนุนพรรคเดโมแครต

การสูญเสียรัฐเหล่านี้ทำให้ทรัมป์สามารถครองเสียงคณะผู้เลือกตั้งได้แม้จะไม่ได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากที่สุด

บทเรียนจากการเลือกตั้งปี 2016 ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงความยุติธรรมของระบบคณะผู้เลือกตั้ง รวมถึงความจำเป็นที่ผู้สมัครจะต้องทำความเข้าใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละรัฐ และไม่สามารถมองข้ามความแตกต่างเชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจได้

 

กรณีศึกษา 2 : การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2000
จอร์จ ดับเบิลยู บุช vs อัล กอร์

การเลือกตั้งปี 2000 เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมผัสบรรยากาศขณะอยู่ที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นบ้านเกิดของจอร์จ ดับเบิลยู. บุช

การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการต่อสู้กันอย่างสูสีระหว่างบุช (ผู้ว่าการรัฐเท็กซัสในขณะนั้น) และอัล กอร์ (รองประธานาธิบดีในรัฐบาลของบิล คลินตัน)

ในคืนเลือกตั้ง คะแนนเสียงในรัฐฟลอริดาใกล้เคียงกันมากจนต้องทำการนับคะแนนใหม่ (Recount) กระบวนการนับคะแนนเต็มไปด้วยข้อขัดแย้ง เช่น การใช้บัตรลงคะแนนแบบเจาะรู (Punch Card Ballots) ซึ่งทำให้เกิดกรณี “Hanging Chads” (กระดาษเจาะไม่สมบูรณ์) การนับคะแนนถูกยุติหลังจากที่ศาลสูงสุดของสหรัฐมีคำสั่งให้หยุดการนับคะแนนในกรณี Bush v. Gore ส่งผลให้บุชชนะด้วยคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 271 เสียง ต่อ 266 เสียง แม้ว่าอัล กอร์ จะได้ Popular Vote มากกว่าเกือบ 500,000 เสียงก็ตาม

ผลกระทบและบทเรียนจากปี 2000 ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของการเลือกตั้งในสหรัฐ และนำไปสู่การออกกฎหมาย “Help America Vote Act” ในปี 2002 เพื่อปรับปรุงระบบการเลือกตั้งและการจัดการบัตรลงคะแนนในรัฐต่างๆ

 

กรณีศึกษา 3 : การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2008
บารัก โอบามา vs จอห์น แม็กเคน

การเลือกตั้งปี 2008 เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ผู้เขียนมีโอกาสสัมผัสขณะอยู่ในเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ตอนเรียนปริญญาโทการเมืองการปกครองที่ Harvard พอดี

การแข่งขันครั้งนี้มีบรรยากาศที่ต่างจากสองกรณีแรกอย่างมาก เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งที่เน้นไปในทิศทางบวก และสร้างความหวังให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

บารัก โอบามา ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2008 ด้วยคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งอย่างท่วมท้น โดยได้รับ 365 คะแนน เทียบกับ 173 คะแนนของจอห์น แม็กเคน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โอบามาชนะคือการคว้าชัยในรัฐสะวิงสำคัญ เช่น ฟลอริดา (27 คะแนน), โอไฮโอ (20 คะแนน), เพนซิลเวเนีย (21 คะแนน) และเวอร์จิเนีย (13 คะแนน) ซึ่งเคยเป็นรัฐที่นิยมพรรครีพับลิกัน

โอบามายังใช้กลยุทธ์สื่อสังคมและการเคลื่อนไหวในระดับรากหญ้าเพื่อดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่และกลุ่มชนกลุ่มน้อย

มาถึงปัจจุบัน เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ปี 2024 ซึ่งเปรียบเทียบการสนับสนุนระหว่างรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส และอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มีความสำคัญ ไม่ใช่แค่ในสหรัฐอเมริกา แต่มีความหมาย (implication) ถึงประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงในอาเซียนและประเทศไทย ว่านโยบายการค้า การลงทุนระหว่างประเทศของประธานาธิบดีคนต่อไป จะเป็นอย่างไร

จึงมีความสำคัญที่รัฐบาลทั่วโลก ต้องให้ความสนใจกับความน่าจะเป็น และผลลัพธ์ของการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีนี้

 

หลายท่านในประเทศไทย ถามผมว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดี ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ดูจากข่าว เห็นโพลว่า Harris นำห่างใช่ไหม แต่อย่างที่ได้เล่าไป ในช่วงแรกของบทความนี้ ว่าโพลอาจจะไม่สามารถบอกคำตอบที่แท้จริง การวิเคราะห์ที่แท้จริง ซึ่งต้องลงไปดู โอกาสของการเลือกตั้งครั้งนี้ในรัฐสะวิงสำคัญๆ ล่าสุดข้อมูลโชว์ว่า แฮร์ริสนำหน้าทรัมป์ใน 4 จาก 7 รัฐ

โดยข้อมูลแสดงผลการสำรวจเฉลี่ยในแต่ละรัฐสำหรับผู้สมัครทั้งสอง

รัฐอย่างเนวาดา (Nev.), นอร์ฎแคโรไลนา (N.C.), จอร์เจีย (Ga.), เพนซิลเวเนีย (Pa.), วิสคอนซิน (Wis.), แอริโซนา (Ariz.) และมิชิแกน (Mich.) ในรัฐเหล่านี้มีการเปรียบเทียบผลการสำรวจปัจจุบัน (ค่าเฉลี่ยปี 2024) กับผลการเลือกตั้งปี 2020 ที่ โจ ไบเดน แข่งขันกับทรัมป์

ในเนวาดา แฮร์ริสนำหน้าทรัมป์น้อยกว่า 1% ซึ่งคล้ายกับชัยชนะของไบเดนในปี 2020 ที่มีคะแนนนำ +2%

นอร์ธแคโรไลนา แสดงให้เห็นว่าทรัมป์นำหน้าด้วยคะแนนน้อยกว่า 1% คล้ายกับชัยชนะของเขาที่ +1% ในปี 2020

จอร์เจีย ทรัมป์นำด้วย +2% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากชัยชนะของไบเดนในปี 2020 ที่น้อยกว่า 1%

ในเพนซิลเวเนีย แฮร์ริสนำด้วย +2% ซึ่งดีกว่าชัยชนะของไบเดนที่ +1% ในปี 2020

วิสคอนซิน แฮร์ริสนำด้วย +2% เทียบกับชัยชนะของไบเดนในปี 2020 ที่น้อยกว่า 1%

แอริโซนา ทรัมป์นำด้วย +2% ซึ่งกลับทิศจากชัยชนะของไบเดนในปี 2020

มิชิแกน แฮร์ริสนำด้วย +2% แม้ว่าไบเดนเคยชนะด้วยคะแนนที่สูงกว่านั้นคือ +3% ในปี 2020

ขณะเดียวกันอีกโพลหนึ่ง จาก Harvard CAPS/Harris แสดงให้เห็นว่าอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความได้เปรียบเล็กน้อยเหนือรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าในรัฐสะวิงที่สำคัญ โดยทรัมป์ได้รับการสนับสนุน 48% เทียบกับ 47% ของแฮร์ริส

อย่างไรก็ตาม ในระดับประเทศ แฮร์ริสมีความได้เปรียบถึง 8 จุดในกลุ่มผู้ลงคะแนนล่วงหน้า โดยมีการสนับสนุน 51% เทียบกับ 43% ของทรัมป์ การสำรวจนี้สะท้อนถึงการแข่งขันที่ใกล้เคียงมากในรัฐสำคัญ เช่น มิชิแกน วิสคอนซิน แอริโซนา และเพนซิลเวเนีย

สูสีคู่คี่กันแบบกะพริบตาไม่ได้จริงๆ

จะคอยติดตาม แวะอัพเดต ท่านผู้อ่านมติชนสุดสัปดาห์กันอย่างต่อเนื่องนะครับ รวมถึงคอลัมน์นี้ที่จะวิเคราะห์ว่านโยบายต่างๆ ของผู้สมัครทั้ง 2 คน มีเหมือน มีต่างกันอย่างไร และที่สำคัญผู้นำคนใหม่ กับนโยบายใหม่ของเขา จะมีผลลัพธ์อย่างไรกับประเทศของเรา

รออ่านตอนต่อไปนะครับ