‘ว.วชิรเมธี’ เจอแรงสะท้าน-สะเทือน หัวใจเศรษฐี ‘ดิ ไอคอน’ กับปุจฉาบทบาท ตำแหน่งแห่งที่ ความรับผิดชอบ ‘สงฆ์’

ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระเมธีวชิโรดม หรือ ว.วชิรเมธี พระนักเทศน์ชื่อดัง ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ โดยล่าสุดเกี่ยวข้องกับการบรรยายธรรมให้กับดิ ไอคอน กรุ๊ป บริษัทที่กำลังถูกตั้งข้อสังเกตว่าฉ้อโกงและหลอกลวง

“พระอาจารย์มีลูกศิษย์คนหนึ่งที่ขายของก็ไม่เป็น ช่วงโควิด บริษัทปิดกิจการ ชีวิตเสี่ยงมาก หา 1 คน ที่บ้านรออยู่ 5 ปาก บริษัทปิดยาว 1 ปี เพราะฉะนั้น ไม่รู้จะยังไง หักดิบไปหาพระอาจารย์เลย พระอาจารย์อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลย หนูขอยืมเงินพระอาจารย์

เอาอย่างนี้ พระอาจารย์จะแนะนำลูก ลูกจงไปฝึกตัวเอง ถ้าลูกอยากได้เงิน จงทำอาชีพที่เห็นเงินทุกวัน เป็นนักขายสิลูก ทุกวันนี้หนูเป็นลูกจ้างเขา เขาให้เดือนละเท่าไหร่ หนูก็ได้เท่านั้น ทั้งๆ ที่จริงๆ ความสามารถหนูอาจจะได้มากกว่านั้น

หน่วยก้านอย่างหนูนะ ไปหาคอร์สดีๆ ฝึก ฝึกการขาย แล้วหนูลงทุนในเวลา แล้วหนูจะเก่ง แล้วพระอาจารย์ก็แนะช่องทางให้ ก็ไปฝึกกับลูกศิษย์พระอาจารย์ที่เก่งเรื่องติ๊กต็อก เก่งระดับชาติเลย ก็กำเงิน กำเงินก้อนสุดท้ายไปฝึกทำติ๊กต็อก ยังไม่พ้นโควิด เป็นเศรษฐีเรียบร้อย

เห็นไหม เธอบอกว่า ถ้าพระอาจารย์ให้หนูยืมเงิน หนูน่าจะไม่มาถึงวันนี้ แต่เพราะพระอาจารย์บีบคั้นหนู ยืมไม่ได้ยังไม่พอ หนูนะขายหน้าโคตรๆ เลย หนูก็เลยกลับไป หนูต้องทำทุกอย่างเพราะว่าต้องรวยให้ได้ เพราะอะไร หา 1 คน ที่บ้าน 5 คนรอกินอยู่ สถานการณ์มันบีบให้รอไม่ได้ ต้องเอาตัวให้รอด

แล้วเธอก็ลงทุนในเวลานะ สู้อุตส่าห์ไปเรียนวันละชั่วโมง เธอก็ไปถามครูว่า สอนหนูวันเดียว 10 ชั่วโมงได้ไหม เพราะหนูอยากรวยเลยพรุ่งนี้ พระอาจารย์บอกลูกเอ้ย ทำอย่างนั้นก็ ดิ ไอคอน แล้ว ตอนนั้นยังไม่รู้จัก ดิ ไอคอน แต่โฆษณาให้แล้ว

แล้วเราก็อดทนนะ ลงทุนในเวลา ไปเรียนวันละชั่วโมงๆ ครูเขาสอนแค่นั้น ว่ากันไปตามหลักสูตร เรียนไปเลย 1 เดือน อดทนและรอคอย ในเมื่อลงทุนกับการอดทนและรอคอยได้ พอปลายทางลงมือทำก็สำเร็จจริงๆ

เพราะฉะนั้น ถ้าอยากรวยอย่างมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ต้องพลิกที่ไหน Mindset ทัศนคติลูก คนจะรวยต้อง Growth Mindset ทัศนคติแบบเปิดกว้าง เรียนรู้ตลอดเวลา พัฒนาตลอดชีวิต ส่วนพวก Fix Mindset ทัศนคติแบบตีบตัน เขาชวนไปสัมมนา ไม่ไปอ่ะ คราวที่แล้วเพิ่งไป ไม่ได้อะไรมาก กลับมาผัวด่าอีกต่างหาก”

 

นี่คือบางช่วงบางตอนที่ได้ถอดความมาจากคลิปบรรยายธรรมดังกล่าว ซึ่งเผยแพร่ผ่านช่อง Youtube THE iCON GROUP เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2567

ต่อมา 11 ตุลาคม พ.ศ.2567 ศิษยานุศิษย์ท่าน ว.วชิรเมธี ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กพระเมธีวชิโรดม – ว.วชิรเมธี ใจความว่า อย่าตีความเลยเถิด คลิปดังกล่าวเป็นการไปเทศน์ไปสอนตามปกติ เท่าที่ทราบ แต่ละเดือนจะมีพระไปเทศน์เดือนละ 1 รูป เป็นการทำหน้าที่ปกติธรรมดาของพระกับชาวพุทธแค่นั้น ไม่ได้เข้าไปมีส่วนพัวพันใดๆ กับธุรกิจทั้งสิ้น

อย่างไรก็ดี 14 ตุลาคม พ.ศ.2567 นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา ให้สัมภาษณ์ในรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ประเด็นจะฟ้องพระชื่อดังอย่างพระเมธีวชิโรดม หรือที่รู้จักกันในชื่อ ท่าน ว.วชิรเมธี ที่ถูกดึงมาเกี่ยวข้องกับประเด็นร้อนกรณีบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป หลังมีผู้เสียหายออกมาร้องเรียนผ่านสื่อต่างๆ ว่าถูกขายฝันให้มาร่วมลงทุน เสียหายเป็นจำนวนมาก

ทนายเดชายืนยันว่า เอาจริงจะไปแจ้งจับพระ ว.วชิรเมธี เพราะพฤติกรรมดังกล่าว ความเห็นส่วนตัวมองว่ามีส่วนทำให้คนเชื่อ เพราะว่าท่านเป็นพระท่านผู้ใหญ่ แล้วไปพูดว่าถ้ามาทำงานกับบริษัทนี้ ขายตรง ชั่วข้ามคืนจะกลายเป็นเศรษฐี ผมมองว่าการที่เป็นพระต้องสอนให้คนลดละกิเลส ไม่ใช่สอนให้คนโลภ แล้วคุณเป็นพระชื่อดัง

เพราะฉะนั้น คำพูดคำสอนของคุณมันทำให้คนเชื่อได้ง่ายขึ้น ทำให้มันสะดวกกับการที่ไปเอาเงินเอาทองกับคน

 

ต่อมา มีความเคลื่อนไหวจากเฟซบุ๊กพระเมธีวชิโรดม – ว.วชิรเมธี โดยท่าน ว.วชิรเมธี (ในนามตัวแทนของพระสงฆ์ที่เคยไปสอนที่บริษัทดิ ไอคอน) ต่อกรณีนี้ ใจความว่า “ประกาศขออภัย และทำความเข้าใจให้ตรงกับความจริง”

หลังจากติดตามสถานการณ์ของบริษัท ดิ ไอคอน อย่างใกล้ชิด ก็เข้าใจว่า น่าจะมีความไม่ชอบมาพากลหลายแง่มุมดำรงอยู่จริง แต่ภาพใหญ่ก่อนหน้านั้น ที่บริษัททำธุรกิจอย่างเปิดเผย มีซูเปอร์สตาร์มาร่วมเป็นพรีเซ็นเตอร์หรือผู้บริหารด้วย จึงทำให้คนที่เห็นภาพและข่าว เชื่อได้ว่าน่าจะมีความโปร่งใสในทุกขั้นตอน พระทุกรูปที่ได้รับนิมนต์ไปเทศน์ก็คงคิดเช่นนั้น

ในการสอนเมื่อต้นปีที่ผ่านมานั้น ผู้เขียนสอนเรื่อง “หัวใจเศรษฐี” หรือกุญแจสู่ความสำเร็จตามหลัก “ทิฏฐธรรมิกัตถประโยชน์” ซึ่งมีหลักฐานอ้างอิงอยู่ในพระไตรปิฎกชัดเจน (1.ขยันหา-2.รักษาดี-3.มีกัลยาณมิตร-4.ใช้ชีวิตสมดุล) โดยสอนผ่าน 3 วลีสำคัญคือ “อดทนให้ได้ ใจเย็นให้พอ และรอให้เป็น” ใช้เวลาบรรยายถึง 1 ชั่วโมง 12 นาที (ไม่ใช่อย่างที่ตัดมาบางส่วน)

ระหว่างที่บรรยายให้รู้จักสร้างเนื้อสร้างตัวตามแนวพุทธ ด้วยความอดทน ใจเย็น ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้เขียนจึง “แซว” หรือ “ประชดแดกดัน” คนที่มาฟังทั้งห้องประชุมว่า ถ้า “อดทนไม่ได้ ใจเย็นไม่พอ และรอไม่เป็น” จะเอาให้รวยทันใจเลย…เช่นนั้นแล้ว ก็แซวว่า “ลูกเอ๋ย ทำอย่างนั้นก็ดิ ไอคอนแล้ว…”

ซึ่งทุกคนที่นั่งฟังก็หัวเราะ เข้าใจ, คำพูดที่ (ใครก็ไม่รู้) ตัดมาเป็นคลิปนั้น โดยบริบทเป็นเพียงคำพูดหยิกแกมหยอกธรรมดาตามประสานักพูดทั่วไป ที่อยากให้มีอารมณ์ขันเท่านั้น เป็นการแซะ การแซว ไม่ได้มีนัยจริงจัง ซีเรียส ถึงขั้นที่จะเอามาปั่นว่าพระมีส่วนร่วมทางธุรกิจใดๆ ทั้งสิ้น คนฟังทุกคนในห้อง ฟังแล้วก็เข้าใจ ขำๆ ฮาๆ จบแล้ว ถวายสังฆทาน กลับบ้าน มีแค่นั้น (ที่สำคัญ Case study ที่ยกมาเล่าก็เป็นเรื่องราวก่อนโควิด ไม่เกี่ยวอะไรกับดิ ไอคอน)

ผู้เขียนเรียนธรรมะมาจนสำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย คือเปรียญธรรม 9 ประโยค ดังนั้น ในการเทศน์การสอน จึงเน้นแต่ข้ออรรถ ข้อธรรมที่มีแก่นสาร แม้จะเทศน์ด้วยภาษา ตัวอย่างร่วมสมัย แต่ก็สามารถโยงกลับไปหาพระไตรปิฎกได้เสมอ ไม่ได้สอนแบบมั่วๆ อย่างที่ตัดมาให้คนด่า หรือให้คนเข้าใจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อบางส่วนของการเทศน์การสอน ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดออกไปในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง เพราะคลิปที่ตัดมาไม่ครบถ้วนกระบวนความ ถึงกระนั้น ผู้เขียนก็ยินดีขออภัยจากใจจริงมา ณ ที่นี้ด้วย ที่อย่างน้อยก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น ต่อไปก็จะสำรวมระวังไม่ให้มีความพลาดพลั้งเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ขอบพระคุณทุกคนที่เตือนมาด้วยความรักและห่วงใย

 

จากนั้น 16 ตุลาคม นายสมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระ ได้ตอบโต้โพสต์ดังกล่าวว่า ทางเฟซบุ๊ก Somrit Luechai ว่า

ขอเถียงกับ ว. หน่อยครับ 1. การอ้างว่าตนจบเปรียญ 9 ดังนั้น จะพูดอะไรก็ดึงมาถึงธรรมะเสมอ จริงหรือ? แล้วที่พูดอวยบริษัทเขามันเข้ากับธรรมะข้อไหน?

2. อ้างว่าที่พูดนั้น เป็นการพูดแบบ “หยิกแกมหยอก” ไม่น่าเชื่อว่าเปรียญ 9 จะไม่ตระหนักรู้ว่า การพูดแบบนี้เป็นข้อห้ามสำหรับภิกษุสงฆ์ อยากให้ ว. กลับไปศึกษาอกุศลกรรมบถ 10 หมวดที่ว่าด้วย “วาจา”

3. ไม่น่าเชื่อว่าเปรียญ 9 จะไม่รู้ว่าในทางอกุศลกรรมนั้น แม้มีส่วนร่วม ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม อรรถกถาอธิบายว่าผิด ส่วนจะมากหรือน้อยก็ดูที่เจตนา แล้วจะตัดสินเจตนาได้อย่างไร ก็ดูที่กรรม คิดว่าเปรียญ 9 คงพอรู้เรื่องแบบนี้บ้าง ถ้าไม่หลงลืมไปเสียก่อน

อยากแนะนำ ว. ว่า ทางออกเรื่องนี้คือ ขอโทษต่อสังคมโดยไม่ต้องอธิบายใดๆ แล้วเงียบครับ

 

ทั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระเมธีวชิโรดมถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องคำสอน

ก่อนหน้านี้ เช่น คนสมัยก่อนเหาะได้ อย่างมงายในวิทยาศาสตร์ ฆ่าเวลาบาปไม่น้อยกว่าการฆ่าคน เงินงอกงามเพื่อธรรมงอกเงย อร่อยจนลืมกลับวัด รวมถึงความสัมพันธ์กับแวดวงชนชั้นนำในสังคมไทยด้วย

ล่าสุดก็คือกรณีดิ ไอคอน ที่สร้างผลสะเทือนไปทั่ว ไม่แม้แต่วงการสงฆ์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งวันนี้ได้กลายเป็นเครื่องมือของธุรกิจสีดำ จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ตอนนี้ก็นำไปสู่คำถามสำคัญ

ถึงเวลาต้องทบทวนบทบาทของพระสงฆ์ในสังคมไทยแล้วหรือยัง!?!