ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 ตุลาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
ขยันผิดวิธี ไม่ต้องรอ 10 ปี ก็อาจติดคุก…
ต่อเนื่องจากการพังทลายของเครือข่ายธุรกิจทองแม่ตั๊ก ที่ร่ำรวยอู้ฟู้จากการหลอกลวงค้าขายทองคำผ่านความสามารถทางการสื่อสารออนไลน์ผสานกับแพลตฟอร์มสื่อสารสมัยใหม่สร้างเครือข่าย การเข้าถึงเหยื่อ ความเสียหายยิ่งกว้างขวาง
คดียังไม่ทันจบ เหยื่อยังไม่ทันได้รับความเป็นธรรมดี ก็มากันอีกแล้วกับคดี “The Icon Group” ที่ว่ากันว่า ความเสียหายใหญ่และหนักกว่าทองแม่ตั๊กมาก
แค่งบดุลเบื้องต้นปี 2562-2566 รวมมูลค่ากว่าหมื่นล้าน
แถม วรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือที่เรียกกันว่า “บอสพอล” ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ก่อตั้งเครือข่ายธุรกิจนี้ยังเป็นผู้บริหารอีกหลายบริษัท
มากกว่านั้น คดีของบอสพอลรอบนี้ยังมีทีมงานระดับท็อปจากหลากหลายวงการของเมืองไทยเข้าร่วมทีม
ไล่มาตั้งแต่ดารา นักร้อง พิธีกรดัง นักกีฬาดัง ล่าสุดคือพระนักเทศน์ชื่อดังที่ถึงขนาดการันตีความร่ำรวยจากการเข้าร่วมในธุรกิจเครือข่ายนี้ ทำเอาคนงงว่ามันเกี่ยวกับธรรมะตรงไหน?
แน่นอนว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีแรก เมืองไทยเคยมีกรณีการทำธุรกิจแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง
คำถามที่น่าสนใจคือ การเกิดขึ้นของขบวนการเครือข่ายธุรกิจเช่นนี้สะท้อนอะไร?
หากใครได้ฟัง “บอสพอล” ให้สัมภาษณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ต้องยอมรับว่าผู้ให้กำเนิดอาญาจักร The Icon Group คนนี้มีความรอบคอบระดับสูงมาก ควบคุมอารมณ์ได้เก่ง แม้จะถูกไล่ถามต่อเนื่องยาวนาน ก็ไม่มีอาการตรรกะหลุด แบบที่จะเอามาเป็นผล “แง่ลบ” ในทางคดีของตัวเองได้เลย สะท้อนการเตรียมการมาอย่างดี
แต่ไม่ว่าผู้บริหารที่อยู่ยอดสุดของพีระมิดจะเก่งแค่ไหน ด้วยเครือข่ายธุรกิจที่ไม่ได้ทำกำไรจากการผลิตจริง แต่เน้นเอารายได้มาจากการหาสมาชิก หมุนเงินจากรายใหม่ไปให้รายเก่า ย้อนขึ้นไปยังยอดพีระมิด
ท้ายที่สุด เมื่อไม่สามารถหาสมาชิกใหม่ได้ทัน เกิดปัญหาทางการเงินในระบบ อาการ “ฝีแตก” ก็ปรากฏ
สมาชิกระดับล่างที่ลงทุนไปแล้วเกิดความเสียหาย ขาดรายได้ หาทางออกไม่ได้ หลายคนต้องตัดสินใจจบชีวิต
ถามว่า พ.ศ.นี้แล้ว ทำไมธุรกิจเช่นนี้ยังเกิดขึ้นได้ ทั้งๆ ที่เมืองไทยก็เคยเกิดกรณีเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง
เบื้องต้น คงต้องยอมรับว่าสังคมไทยเรายังมีองค์ความรู้เรื่องความเสี่ยงในการลงทุนอยู่ในระดับต่ำ
หลายกรณีแม้จะเป็นคนที่พอมีความรู้เรื่องการลงทุน หรือเรื่องการเงิน แต่ก็ยังขาดความเข้าใจเรื่อง “การทำงานของทุน” ซึ่งเป็นองค์ความความรู้ในตรรกะทางเศรษฐศาสตร์
เพราะหากเข้าใจเรื่องการทำงานของทุน การผลิต และการทำกำไร ก็จะช่วยให้มีความระมัดระวังและเข้าใจเรื่องความเสี่ยงในการลงทุนมากขึ้น
ไม่มีหรอก การลงทุนแล้วทำกำไร/ได้กำไรสูง โดยแทบไม่ต้องลงแรง “ผลิต” หรือ “มีสินค้า ก็ต้องเป็นสินค้าที่ค้าขายได้อย่างสมเหตุสมผลในตลาด”
เพราะเครือข่ายดังกล่าวเข้าใจจุดนี้ จึงอุดช่องว่างความรู้ด้านความเสี่ยงในการลงทุนด้วยการใช้ดารา อินฟลูเอนเซอร์ดัง มานั่งเก้าอี้บริหาร สร้าง storytelling ที่ดี ทำให้คนเชื่อว่า การลงทุนที่นี่ความเสี่ยงต่ำ โอกาสได้กำไรตอบแทนสูง
ผลิตสินค้าขายอย่างสมเหตุสมผลได้น้อย จึงทุ่มไปกับการสร้าง “ความเชื่อ” เสียมาก
ขับรถก็เจอป้ายโฆษณาบนทางด่วน มองไปบนตึกสูงก็เจอป้ายโฆษณาใหญ่โต ดาราจำนวนมากมาเป็นทั้งพรีเซ็นเตอร์ ทั้งผู้บริหาร ก็ยิ่งน่าเชื่อถือ
ในแง่หนึ่งปัญหานี้ก็สะท้อนความเปราะบางทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยเราเอง
เพราะหลังวิกฤตโรคระบาด จะเห็นว่าธุรกิจประเภทนี้เติบโตไว ในแง่หนึ่งมันสะท้อนว่า “โอกาสในการทำมาหากิน” ในสังคมเราค่อนข้างเปราะบาง ธุรกิจสีเทาจึงเติบโต เพราะธุรกิจสีเทามาพร้อมกับการสร้างความเชื่อมั่นว่า ผู้ลงทุนจะได้ผลตอบแทนสูงและรวดเร็ว แถมยังเสี่ยงต่ำ
แต่แน่นอนว่า รูปแบบย่อมเปลี่ยนไปตามเทรนด์สังคม
รูปแบบอย่าง แชร์แม่ชม้อย ในอดีต ไม่มีอีกแล้ว ในปัจจุบัน แนบเนียนขึ้น เปลี่ยนรูปแบบให้ลดความเสี่ยงทางกฎหมายให้มากที่สุด
เช่นกรณีดัง แชร์ลูกโซ่ Forex-3D ที่พัฒนาการฉ้อโกงจากแชร์ลูกโซ่แบบเดิม ให้สลับซับซ้อนขึ้น อิงกับการลงทุนสกุลเงินต่างประเทศ-ดิจิทัล
หรือกรณีของทองแม่ตั๊ก และล่าสุดคือ การลงทุนกับผลิตภัณฑ์ขายตรงออนไลน์ พร้อมคอร์สการเรียนการขาย
นอกจากนี้ ยังสะท้อนว่าปัญหาระบบยุติธรรมและการเมืองไทยก็มีปัญหา
มีหรือธุรกิจที่เติบโตระดับหลายพันล้านจนถึงหมื่นล้าน แต่ก็เห็นกันอยู่ว่าไม่มีการบริโภคสินค้าในวงกว้างหน่วยงานภาครัฐก็ควรจะรู้แล้วไหมว่ามันมีปัญหา
สิ่งที่เกิดขึ้นคือไม่มีการตรวจสอบหาความผิดใดๆ รอจน “ฝีแตก” มีคนตายจากความเครียด เรื่องแดง จากผู้เสียหายมาออกรายการของสื่อมวลชน
ประเด็นที่ว่าเรื่องมันใหญ่ขนาดนี้ ทำไมมันถูกปิดเงียบมานาน ก็มาเฉลยอีก
เมื่อปรากฏคลิปลับ “บอสพอล” คุยกับ “นักการเมืองขาใหญ่” จอมตบทรัพย์ เรียกร้องค่าคุ้มครอง เคลียร์เส้นทางให้ไม่ถูกตรวจสอบ โดยอ้างอำนาจการเป็น กมธ.สภาผู้แทนราษฎร
ทันทีที่คลิปหลุด ทั้งโซเชียลสืบหาต้นเสียงจนรู้กันดีว่าเป็นเสียงของใคร แต่แน่นอนว่าในแวดวงการเมือง ไม่ได้หน้าบางแบบดารา ไม่มีวันยอมรับ
สบโอกาส “เด็จพี่” นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ทีมทำงานของพรรคเพื่อไทย เพิ่งโชว์ผลงานเปิดฉากนิติสงครามกับบ้านป่าฯ ออกมาแท็กทีมกับ “ไผ่ ลิกค์” ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ได้จังหวะ ออกมาจี้ให้ กมธ.กิจการสภา รับเรื่อง ตรวจสอบคลิปเสียงเรียกรับเงินดังกล่าว
ต่อด้วยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล ที่เห็นว่า ต้องหาตัวนักการเมืองคนนั้นให้ได้ เพราะเป็นพวกเห็บเกาะกินสภา ร้อนถึงประธานสภา ที่ยื่นยันว่าต้องจัดการ
เป็นสึนามิลูกใหญ่ที่สะเทือนไปถึงเกียกกาย
เพราะนักการเมืองฝ่ายนิติบัญญัติ แทนที่จะเป็นปากเสียงแก้ปัญหาให้ประชาชน กับกลายเป็น “นักรีดทรัพย์” ปูทางให้ธุรกิจหลอกลวงคน รอดพ้นเงื้อมมือกฎหมาย
อันที่จริงข่าวการทุจริตหรือพยายามใช้กลไก กมธ.ของสภา เป็นเครื่องมือหาประโยชน์ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นมานานแล้ว
ต้องเข้าใจก่อนว่า กลไกการตรวจสอบของ กมธ.สภา เป็นโครงสร้างที่ดี หากใช้ในทางเป็นประโยชน์ จะทำให้การปฏิบัติตามนโยบายภาครัฐ หรือการติดตาม ตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ เป็นไปอย่างโปร่งใส ตรงตามครรลองกฎหมายมากขึ้น
แต่ในทางตรงข้าม กลไกนี้ก็ถูกใช้ในทางสีเทาได้เหมือนกัน เช่นในกรณีนี้ที่เป็นการเรียกรับผลประโยชน์จากธุรกิจสีเทาเพื่อไม่ให้ถูก “ตรวจสอบ”
นอกจากวงการการเมือง เรื่องฉาวนี้ยังสะเทือนไปยังแวดวงราชการอีก เพราะนักการเมืองดังกล่าวยังมีการกล่าวอ้างถึง “เทวดา สคบ.” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ซึ่งเป็นหน่วยงานตรงในการดูแลเรื่องนี้ ร้อนจนนายกฯ ต้องเซ็นคำสั่งตั้งคณะบิ๊กข้าราชการมาตรวจสอบ
แม้ว่าคดีนี้จะยังไม่จบ และอยู่ระหว่างการดำเนินการทางกฎหมาย แต่โดยภาพรวมจะเห็น “โครงสร้างของปัญหา” เครือข่ายธุรกิจที่หลอกลวงทำกำไรสร้างความร่ำรวยผ่านลูกข่าย
ยิ่งมาอยู่ในยุค “การค้าออนไลน์บูม” ภายใต้สภาวะความเปราะบางทางเศรษฐกิจ โอกาสการทำมาหากินของคนเล็กคนน้อยที่หดแคบ “ความเสียหายยิ่งเกิดขึ้นไว”
ยิ่งอยู่ในสังคมที่มีนักการเมืองพร้อมใช้กลไกอำนาจเป็นเครื่องมือแบบหน้าไม่อาย แสวงหาผลประโยชน์ อยู่ในรัฐอ่อนแอในการทำงานเชิงรุก ตามไม่ทันธุรกิจที่เทาออนไลน์รูปแบบใหม่ และพร้อมจะเอาหูไปนา เอาตาไปไร่
เครือข่ายนี้จึงเติบโตเป็นล่ำเป็นสัน ทั้งๆ ที่เหตุเช่นนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดในไทยเป็นครั้งแรก ถ้าไม่เป็นกระแสข่าวขึ้นมา ก็แทบจะเอาผิดไม่ได้
ทั้งหมดจึงเป็น “ไอ้โม่งใหญ่…เบื้องหลังธุรกิจสีเทา”
เหนือกว่า “BOSS” ยังมี “BAD”
“BAD” ทั้งที่เป็นปัญหาเชิงปัจเจก “BAD” ทั้งที่เป็นปัญหาเชิงระบบ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022