บอสและปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

กลางเดือนตุลาคมไม่มีข่าวไหนใหญ่กว่าข่าวดิไอคอน, บอสพอล และดาราที่เกี่ยวพันคดีซึ่งมีผู้เดือดร้อนเป็นพัน

และถึงแม้ข่าวนี้จะแสดงให้เห็นผลกระทบที่ธุรกิจขายตรงมีต่อคนจำนวนมาก “เรื่องเล่า” ที่สื่อเล่าข่าวนี้กลับโฟกัสที่ดาราคนไหนอยู่ในขบวนการ บอสผิดหรือไม่ และเหยื่อคนไหนน่าเห็นใจกว่ากัน

ผมเป็นหนึ่งในคนทั่วไปที่เกิดมาไม่เคยได้ยินชื่อหรือเห็นสินค้าของบริษัทนี้เลย ทันทีที่ได้ฟังข่าวนี้ ผมจึงถามเพื่อนพิธีกรช่องอื่นว่าทำไมทุกคนเหมือนรู้จักบริษัทนี้หมด

คำตอบที่ได้คือบริษัทติดป้ายโฆษณาตามตึกขนาดใหญ่เยอะ ริมทางด่วนเยอะมาก

ส่วนพิธีกรช่องบันเทิงอีกท่านบอกว่าบริษัทไม่ได้ทำผิดอะไรเลย

คำตอบที่ผมได้รับเป็นภาพสะท้อนความรับรู้ของสังคมต่อข่าวนี้ 2 ข้อ

ข้อแรกคือ คนจำนวนมากไม่รู้ว่าบริษัทนี้ทำมาหากินโดยขายอะไร

ส่วนข้อสองคือ คนที่รู้ว่าบริษัทนี้ทำอะไรมักเป็นคนที่ได้ประโยชน์จากบริษัท หรือไม่ก็เคยถูกบริษัททำให้เชื่อว่าจะได้ประโยชน์แล้วไม่ได้ด้วยเหตุผลต่างๆ จนสิ้นเนื้อประดาตัว

คำถามง่ายๆ คือ เป็นไปได้อย่างไรที่บริษัทซึ่งคนทั่วไปแทบไม่เคยเห็นสินค้ากลายเป็นบริษัทที่คนบางกลุ่มเชื่อว่าถ้ารับสินค้าไปขายแล้วจะร่ำรวยขึ้นแบบง่ายๆ ในเวลาที่รวดเร็ว?

 

ใครที่ได้ดูคลิปคงทราบดีว่ากลยุทธ์ของบริษัทที่ทำให้คนเชื่อคือการปั่นความฝันว่าจะ “รวยง่าย” และ “รวยเร็ว” และถึงแม้การ “รวยเร็ว” จะเป็นไปได้หากลงทุนธุรกิจที่เติบโตในเวลาที่เหมาะสม

แต่ “รวยง่าย” ไม่เคยเป็นไปได้นอกจากในนิยายที่บริษัทแบบนี้ขายให้กับ “เหยื่อ” ที่เชื่อว่าตัวเองจะรวยขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เรื่องเล่า” ที่ทำให้คนจำนวนมากเชื่อว่าจะ “รวยง่าย” คือการโชว์ความมั่งคั่งของบอส, ดารา และ “แม่ข่าย” ที่มีแกนกลางว่าแต่ละคนมีรถซูเปอร์คาร์ กินหรูอยู่สบาย ใส่แบรนด์เนม เที่ยวเมืองนอก ทำบุญครั้งละหลายล้าน มีนาฬิกาแพงๆ ฯลฯ

โดยคนเหล่านี้จะโฆษณาให้คนอื่นเชื่อว่าสักวันจะรวยแบบนั้นได้จริงๆ

เห็นได้ชัดว่าเส้นทางสู่ความ “รวยง่าย” แบบนี้ไม่เกี่ยวกับบทบาทรัฐหรือนโยบายสาธารณะอย่างอัตราภาษีเลย

Jean-Fran?ois Lyotard จึงพูดไว้ใน The Postmodern Condition ว่าโลกปัจจุบันทำให้คนเชื่อว่าชีวิตของตัวเองจะดีขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวเองล้วนๆ โดยไม่ต้องสนใจยุคสมัยหรือความเคลื่อนไหวของสังคม

เมื่อเทียบกับพรรคการเมืองหรือนักวิชาการที่พูดถึงนโยบาย “ลดรายจ่าย” และ “เพิ่มรายได้” หรือสร้าง “สวัสดิการ” ด้านต่างๆ ให้ประชาชน เส้นทางสู่ความ “รวยง่าย” แบบที่บอสและดาราโฆษณาชวนเชื่อสะท้อนความไม่เชื่อนโยบายรัฐ และกระทั่งความไม่สนใจว่ารัฐจะทำหรือไม่ทำอะไรให้ประชาชน

ในสังคมที่รัฐดูแลสวัสดิการให้ประชาชนอย่างดี รวมทั้งในสังคมที่ระบบเศรษฐกิจเปิดกว้างจนประชาชนมีโอกาสทำมาหากินโดยไม่ต้องหวังพึงระบบที่ “รวยง่าย” และ “รวยเร็ว” เงื่อนไขทางสังคมที่ทำให้บอสและดาราโฆษณาชวนเชื่อย่อมน้อยลงจนอาจไม่มีผลกระทบกว้างขวางอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเลย

 

น่าสนใจว่า “เหยื่อ” หรือ “ผู้เสียหาย” เล่าคล้ายๆ กันว่าเดือดร้อนจากการรับสินค้าไปขายแล้วขายไม่ได้จนเสียเงินหลักแสนซึ่งเป็นเงินก้อนสุดท้ายในชีวิตไปสิ้นเชิง

ประเด็นคือเงินหลัก 2-3 แสนที่ “เหยื่อ” หรือ “ผู้เสียหาย” โวยวายนั้นไม่พอแม้จะซื้อล้อข้างเดียวของรถซูเปอร์คาร์ หรือแม้แต่สายนาฬิกาของ “บอส” คนไหนด้วยซ้ำไป

ยิ่งไปกว่านั้น “เรื่องเล่า” ที่บอสและ “แม่ข่าย” พูดให้ “เหยื่อ” ฟัง แสดงถึงภูมิหลังครอบครัวที่ยากจน หาเช้ากินค่ำ โตในแฟลตหรือห้องเช่าเล็กๆ แต่ละวันแทบไม่มีจะกิน แต่ในที่สุดชีวิตมาถึงจุดเปลี่ยนเพราะการขายสินค้าที่บอสและแม่ข่ายชวนให้ “เหยื่อ” หรือ “ผู้เสียหาย” เข้ามาซื้อสินค้าไปขายด้วยกัน

เฉพาะในแง่นี้ ธุรกิจนี้ทำงานโดยทำให้คนซึ่งเงินแสนเป็นเรื่องใหญ่จนทั้งชีวิตมีเงินเก็บ 2-3 แสนเชื่อว่าตัวเองจะ “รวยง่าย” แบบคนที่มีรถซูเปอร์คาร์คันละ 20 ล้าน, นาฬิกาล้อมเพชรเรือนละ 13 ล้าน, แต่งตัวหัวจรดเท้า 4 ล้าน ฯลฯ ซึ่งตามตรรกะแล้วเป็นไปไม่ได้ที่ “เหยื่อ” จะ “รวยง่าย” แบบนี้ในเวลาที่รวดเร็ว

เคล็ดลับของธุรกิจแบบนี้คือการตระหนักว่า “ความหวัง” สำคัญต่อการตัดสินใจของคนในระบบทุนนิยม เช่นเดียวกับ “ความรัก” (Intimacy) เป็นแรงขับให้คนตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้แน่วแน่ยิ่งขึ้น

เพียงแต่ธุรกิจนี้เอา “ความหวัง” และ “ความรัก” ไปเป็นรากฐานของ “ภาพลวงตา” ว่าด้วยความรวยที่เกิดยากเหลือเกิน

 

Martin Konings นักเศรษฐศาสตร์การเมืองผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Emotional Logic of Capitalism พูดถึงระบบทุนนิยมสมัยใหม่ว่าทำงานโดยใช้ “ตรรกะทางอารมณ์” ซึ่งเอาเรื่องส่วนตัวที่สุดในชีวิตประจำของมนุษย์อย่าง “ความหวัง” และ “ความรัก” ไปเป็นสินค้าซึ่งตรงกับปรากฏการณ์ในประเทศไทยวันนี้เป๊ะเลย

โดยปกติคำว่า Icon สื่อความถึงการเป็นสัญลักษณ์ของบางอย่างที่ต้องอธิบายว่าหมายถึงอะไร แต่ชื่อของ The Icon ไม่บอกเลยว่าเป็นสัญลักษณ์ของอะไรบ้างนอกจากเงินและการ “รวยง่าย” อย่างที่ทั้งองคาพยพสื่อสารให้ “ลูกข่าย” หลงเชื่อจนกลายเป็น “เหยื่อ” หรือ “ผู้เสียหาย” ที่ซื้อสินค้าไปแล้วอาจขายไม่ได้

ในโลกของการสร้างภาพลวงตาว่าด้วยการ “รวยง่าย” และ “รวยเร็ว” ดาราและพิธีกรทำหน้าที่โชว์ความรวยและความสมบูรณ์แบบด้านร่างกายเพื่อให้คนธรรมดาหวังและเชื่อว่าตัวเองจะขายจนรวยแบบนั้นได้ แต่เมื่อสินค้าขายไม่ได้จนไม่มีทางรวย คำอธิบายที่ได้รับคือเป็นความผิดที่คนธรรมดาขายของไม่ได้เอง

ความลับที่ไม่มีใครบอกคือขณะที่ประชาชนต้องซื้อสินค้าเพื่อ “รวยง่าย” และ “รวยเร็ว” อย่างบอสและดารา ทั้งบอสและดารากลับได้รายได้มหาศาลจากยอดขายที่ประชาชนซื้อไปขายต่อ รวมทั้งค่าโฆษณาต่างๆ แต่ไม่ต้องเดือดร้อนอะไรหากประชาชนขายสินค้าเหล่านั้นไม่ได้ขึ้นมา

 

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่สังคมไทยเผชิญปัญหาเหมือนหลายสังคมที่ระบบทุนนิยมมีช่องว่างจนเกิดธุรกิจที่ใช้ความหวังเป็นเครื่องมือทำมาหากิน

แต่แปลกที่สังคมไทยทำราวกับนี่เป็นปัญหาปัจเจกที่แค่เอาผิดบริษัทนี้แล้วทุกอย่างจบ ทั้งที่เป็นปัญหาของธุรกิจขายตรงแบบเครือข่ายที่มีบทเรียนให้เห็นมาแล้วในหลายสังคม

ทันทีที่ได้ดูคลิปการขายแบบนี้ สิ่งที่ผมเห็นทันทีคือการสร้างพฤติกรรมกลุ่มให้ตบมือหรืออือออตามกันอย่างบ้าคลั่ง, คุมข้อมูลแต่เรื่องดีๆ, คุมความคิดให้ทุกคนเห็นเหมือนกันหมด และคุมอารมณ์จนทุกคนเชื่อว่ายิ่งซื้อสินค้าจะยิ่ง “รวยง่าย” และ “รวยเร็ว” จนขายไม่ได้แล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

ทุกคนทราบดีว่าการขายแบบนี้คือ MLM หรือการตลาดแบบพีระมิดซึ่งยิ่งมีคนเป็น “ลูกข่าย” โดยซื้อของไปขายมากเท่าไร คนที่อยู่จุดสูงสุดของพีระมิดยิ่งรวยจากการขายมากขึ้นเท่านั้น

และการศึกษาของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสหรัฐ (FTC) เคยพบว่าคนได้กำไรจากธุรกิจนี้มีแค่ 1% เท่านั้นเอง

มีผู้วิเคราะห์ไว้มากแล้วว่าในที่สุดคดีดิไอคอนอาจจบแบบไม่สามารถเอาผิดใครได้เลย พิธีกรที่ผมเจอบางคนบอกว่ากรณีนี้เอาผิดไม่ได้ เพราะไม่มีการบังคับให้ใครซื้ออะไร ไม่มีการหลอกให้ซื้อ จะมีก็แต่การซื้อของไปขายไม่ได้ ซึ่งทั้งหมดเป็นความผิดของผู้ขาย ไม่ใช่ของบริษัทเอง

เห็นได้ชัดว่าคำอธิบายนี้ใช้ช่องว่างทางกฎหมายทำให้เรื่องผิดเป็นถูก เหยื่อกลายเป็นคนผิด ทั้งที่การขายแบบนี้ใช้ความเชื่อ, ความหวัง และความไม่รู้ของประชาชนไปกอบโกยกำไรมหาศาล ต้นเหตุของเรื่องคือคนส่วนมากไม่มีช่องทางทำให้ฝันเป็นจริงในชีวิต ปัญหานี้จึงมีคนผิด และความผิดมีมากกว่าเรื่องบุคคล

โครงสร้างเศรษฐกิจเป็นเรื่องใหญ่ที่ถ้าไม่แก้ สังคมไทยก็จะเจอเรื่องนี้ต่อไป