ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 ตุลาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์ / จารุวิชญ์ สิงคะเนติ |
เผยแพร่ |
ประเทศไทยตอนนี้อยู่ในยุคที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต” ปิยบุตร แสงกนกกุล คณะก้าวหน้า มองการเมืองปัจจุบัน ผ่านรายการ MatiTalk ของมติชนสุดสัปดาห์ พร้อมอธิบายว่าปัญหาของ 2475 จนถึงตอนนี้ที่ยังไม่จบ คือ ความเป็นคู่ขัดแย้งระหว่างพลังอำนาจทางการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง สู้กันกับพลังอำนาจทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง
แล้วคู่นี้ก็สู้กันมาเกือบร้อยปีแล้ว โดยเปลี่ยนกลไกต่างๆ อย่างภายหลังมีการออกแบบรัฐธรรมนูญให้มีศาล องค์กรอิสระ จนรัฐประหารอาจไม่จำเป็นก็ได้ เพราะใช้องค์กรเหล่านี้ถ่วงเอาไว้
ปัญหาตัวนี้จึงเข้ามาสู่บทสรุปที่เรียกว่า “ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต” โดยศาลรัฐธรรมนูญเป็นกลไกสำคัญในการออกหรือริบใบอนุญาตใบที่ 2
ระบอบประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาตนั้น ใบอนุญาตใบแรก คือ มาจากการเลือกตั้ง เราปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ ประเทศไทยต้องอยู่ในเวทีโลก ต้องมีการเลือกตั้ง ดังนั้น ใบอนุญาตใบแรกคือฉันทานุมัติจากประชาชนที่มอบให้กับพรรคการเมืองในการเข้าไปจัดตั้งรัฐบาล ใบนี้ขาดไม่ได้
แต่มีใบเดียวสำหรับประเทศไทยตอนนี้ไม่พอ ต้องมีใบที่ 2 เรียกว่าเป็น “ใบอนุญาตจากชนชั้นนำ”
คุณได้ใบแรกมาแล้ว ใบที่ 2 ไม่ออกคุณก็เป็นรัฐบาลไม่ได้ เพราะใบอนุญาตใบแรกมีได้ทุก 4 ปีตอนหย่อนบัตร แต่ใบอนุญาตใบที่ 2 มีตลอดกาล คุณขาดใบแรกไม่ได้เพราะใช้เป็นขาเข้า ส่วนจะได้ใบที่ 2 หรือไม่ต้องดู ณ เวลานั้น
เช่น คุณเกินครึ่งมาเยอะไหม หรือคุณยังมีเสียงไม่ถึง ถ้าคุณไปตั้งรัฐบาลผสมแบบนี้ใบอนุญาตใบที่ 2 อาจจะไม่ออกเหมือนที่พรรคก้าวไกลเจอ หรือคุณอาจจะได้ใบแรก ใบที่ 2 ยอมให้คุณเป็น แต่เป็นไปสักพักคุณโดนยึดใบที่ 2 เหมือนที่พรรคไทยรักไทยเคยเจอก็เป็นได้
ลักษณะแบบนี้มีมา 20 กว่าปี นักการเมืองและพรรคการเมืองบางช่วงก็อยากต่อสู้ ว่าพอกันทีกับใบอนุญาตใบที่ 2
แต่ก็จะมีนักการเมืองอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่สนใจอะไรเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่าใบที่ 1 ตัวเองได้ไม่เต็มหน่วยจึงหวังพึ่งใบที่ 2 และตัวเองก็จะได้ไปเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง
หรือบางกลุ่มได้ใบที่ 1 แบบเสียงเด็ดขาดมาโดยตลอด และต่อสู้กับใบที่ 2 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ได้เรียนรู้ว่า 20 ปีผ่านไป วิธีสู้แบบนี้ก็จะไม่ได้ อย่ากระนั้นเลยหาวิธีอื่นในการได้ใบที่ 2 ดีกว่า ก็คือประนีประนอมมากขึ้นเพื่อให้ได้ใบอนุญาตทั้ง 2 ใบ
ตรงนี้จึงเป็นสภาพความเป็นจริงทางการเมืองของประเทศไทยในปัจจุบันที่ผมเรียกว่าประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต ซึ่งนักการเมือง พรรคการเมืองตัดสินใจกันแล้วว่า ณ เวลานี้ใบอนุญาตใบที่ 2 สำคัญกว่าใบที่ 1 ทำให้ตอนนี้เหมือนทุกคนต้องเป็นเด็กดี พร้อมชุดเหตุผลอธิบาย เช่น “พี่เจ็บมาก่อนพี่รู้” “ฉันสู้มาแล้วสู้แบบเดิมมันไม่ได้ต้องปรับ” หรือ “เข้าไปก่อนค่อยๆ ทำทีละนิดๆ”
: ใครคือเจ้าของใบอนุญาตใบที่ 2?
ต้องบอกว่าไม่ใช่ตัวบุคคล
แต่เป็นเครือข่ายองคาพยพของอำนาจทั้งหมด
ซึ่งเป็นกลุ่มพลังอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง กลุ่มคนที่ไม่ลงสนามการเมือง ไม่ลงเลือกตั้ง
แต่สามารถกำกับการเมืองได้ตลอดเวลา
: แล้วประชาชนทำอะไรได้บ้าง?
ประชาชนเราท่องกันเป็นสูตรคูณ “ประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ” แต่ในทางปฏิบัติอำนาจของประชาชนแสดงออกได้ตอนไหน รัฐธรรมนูญ สถาบันการเมือง ออกกติกามาเพื่อจะล้อมคอกประชาชน การเกิดขึ้นของสารพัดกลไกในรัฐธรรมนูญทั้งหมด ในท้ายสุดก็คือเป็นการล้อมประชาชนไว้
อำนาจของคุณจะมีอยู่ตอนเป็นหย่อนบัตรเลือกตั้ง เพราะเป็นประชาธิปไตยแบบผู้แทน อาจจะมีอำนาจอื่นๆ อีกบ้าง เช่น แสดงความคิดเห็น ชุมนุม และเราก็เรียกกันแบบสวยหรู ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
แต่ในท้ายที่สุดอำนาจของประชาชนไม่ได้มีอำนาจที่แสดงพลังออกมาได้จริง วิธีคิดที่ออกแบบประชาธิปไตยแบบโลกตะวันตกที่เราไปลอกมา ในท้ายที่สุด Democracy มันถูก Adjective หรือทำคุณสมบัติกิน Democracy ทุกวัน เราก็จะมี Repressive Democracy ผู้แทน (repressive) มากินประชาธิปไตยจนผู้แทนใหญ่กว่าประชาธิปไตย “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” คำว่า “แบบไทยๆ” เข้ามากิน หรือ Parliamentary Democracy ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา รัฐสภาก็มาใหญ่กว่าประชาชนอีก
Democracy แท้ๆ แทบไม่ปรากฏ แต่ถูกแสดงออกผ่านองค์กรตัวแทนหมด เสร็จแล้วดูสิ ดูง่ายๆ วันที่นักการเมืองเลือกตั้งพูดอย่างหนึ่ง แต่พอเลือกตั้งเสร็จทุกคนจะบอกว่าอยู่เฉยๆ ถ้าไม่พอใจไปเลือกตั้งใหม่ ยังไม่นับรวมเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคมที่ไม่สามารถให้คนออกมาชุมนุมได้ก็ให้ไปจบที่การเลือกตั้งอีก
ดังนั้น ความหวังของประชาชนในท้ายที่สุดแล้วเลยต้องไปฝากไว้ที่ยานพาหนะที่ชื่อว่า “ผู้แทนราษฎร” “พรรคการเมือง” โดยประชาชนเป็นคนให้อาณัติกับบรรดาพวกนี้เข้าไปทำ ถ้าไม่ทำต้องสะกิดทุกวัน งวดหน้าต้องสั่งสอนไม่ให้กลับมาอีก
ขณะเดียวกัน ประชาชนก็ต้องเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก โดนยุบพรรค ตัดสิทธิ์ รัฐประหาร ประชาธิปไตยตอนนี้ต้องวิ่งคู่ขนาน ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมขนาดใหญ่ ด้านหนึ่งคือการเมืองในสถาบันการเมืองผ่านผู้แทนราษฎร ผ่านพรรคการเมือง อีกด้านหนึ่งคือการเมืองนอกสถาบันการเมือง คือประชาชน ที่วันนี้หย่อนบัตร ชุมนุม ออกมารวมพลังสนับสนุนตัวแทนของตัวเอง มันจะหนุนเสริมกัน มันขาดอะไรไม่ได้
ถ้าประชาชนไม่มีพรรคการเมืองของตัวเองเป็นยานพาหนะเข้าไปจัดการ ประชาชนก็ไม่มีอำนาจ มีแค่อำนาจที่เป็นนามธรรมที่เราท่องกัน
ดังนั้น วิธีจะจัดการประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต ก็ต้องทำให้ใบอนุญาตใบที่ 1 กินแดนเข้ามาเรื่อยๆ จนใบที่ 2 หายไป การจะทำแบบนั้นได้ ประชาชนและพรรคการเมืองต้องผนึกกำลังกัน
: การบ้านใหญ่ของพรรคประชาชนคืออะไร
ณ เวลานี้ ผมเชื่อว่า ความเป็นขั้วมันชัดแล้ว “ความเป็นขั้ว” มันสำคัญเวลาเราลงเลือกตั้ง เวลาคุณรณรงค์หาเสียงไม่ยาก ก็คือ “Either…or” เขาหรือเรา การเมืองไทยรอบนี้ขึ้นมาเป็นขั้วพรรคประชาชนกับขั้วฝั่งที่ไม่ใช่พรรคประชาชน
แต่เมื่อพรรคประชาชนสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นขั้ว คุณจะไปบอกว่าเป็นตัวแทนของพลังใหม่ ตัวแทนความเปลี่ยนแปลง ผมว่าการรับรู้ของสังคมแม้มีพอสมควรแล้ว แต่ยังเป็นนามธรรมอยู่
ดังนั้น สิ่งที่พรรคประชาชนต้องทำจนไปถึงปี 2570 ณ วันนี้คือ ข้อแรก “ต้องทำนามธรรมให้มันเป็นรูปธรรม” โดยบุคลากรในพรรคประชาชนต้องไปช่วยกันระดมสมองแล้วออกแบบพิมพ์เขียวประเทศไทย ว่าถ้าคุณเลือกเราในปี 2570 เราจะเปลี่ยน แต่เปลี่ยนอะไร ไล่มาทีละข้อ จะปฏิรูปขนาดใหญ่ ปฏิรูปอะไร ต้องแจกแจงจนทำให้การรับรู้ของผู้คนสามารถจินตนาการได้ ถ้าพรุ่งนี้เป็นพรรคประชาชน สังคม ชีวิตประจำวัน การกระจายอำนาจ กองทัพจะกลายเป็นแบบไหน
ข้อที่ 2 พรรคประชาชนเขาพยายามประกาศว่าอยากเป็นพรรคมวลชน ไม่ใช่เป็นพรรคของแกนนำ 3 ปีนี้ในความเห็นผมพรรคควรจะต้องไปทำงานทั่วประเทศ ซึ่งไม่ต้องออก Social Media ก็ได้ แต่ต้องเป็นลักษณะงานปูพรม
ข้อที่ 3 พรรคประชาชนจะยกระดับมวลชนผู้สนับสนุนพรรค ซึ่งผมแบ่งมวลชนของของพรรคประชาชนเป็นหลายๆ กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 Voter ผู้ไปเลือก ครั้งที่แล้ว 14.4 ล้าน ซึ่งเลือกหลากหลายเหตุผล บางคนเลือกเพราะเป็นแฟนพันธุ์แท้ เบื่อพวกเดิม ชอบเรื่องการแก้ 112 หรือคนที่ไม่ชอบเรื่องการแก้ 112 แต่ชอบเรื่องอื่นก็มี
กลุ่มที่ 2 Sympathy คนที่มีจิตใจปฏิพัทธ์ มีใจรักกับพรรค ไม่ใช่แค่เลือกอย่างเดียว ดังนั้น เมื่อมีการระดมเงินบริจาคก็ช่วยโอน ป้ายหาเสียงล้มช่วยตั้งให้
และกลุ่มที่ 3 คือสมาชิกพรรค
ถ้าเรามีแต่ Voter ก็ชนะเลือกตั้งแต่ปกป้องชัยชนะไม่ได้ หากมีผู้ที่ชื่นชอบอาจจะทำให้มีอาสาสมัครเข้ามามาก แต่อาจจะยังไม่เพียงพอ สมาชิกมากขึ้นจะมีแต่จำนวนหรือเปล่า ถ้าถึงเวลาไม่มีใครออกมาร่วมกิจกรรมพรรค ไม่เคยเจอตัวแทนของพรรค ไม่เคยทำกิจกรรมอะไรกับพรรคเลย
ดังนั้น 3 ปีจากนี้พรรคประชาชนจะต้องยกระดับมวลชนผู้สนับสนุนพรรค ทั้ง 3 กลุ่ม ยกระดับให้เป็นในสิ่งที่เรียกว่า “Militant” หรือมวลชนผู้เอาการเอางานได้อย่างไร ถ้ามวลชนขึ้นมาเป็น Militant ได้หมดคุณชนะเลือกตั้ง แล้วใบอนุญาตใบที่ 2 ไม่ออกหรือโดนยึด คนเป็น Militant เขาจะออกมาเรียกร้อง
แต่ถ้า 3 ปีนี้ทำไม่ได้ ก็คงไม่ถึง 250
ชมคลิป
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022