เอ็กซเรย์ คำร้อง 6 พฤติกรรม “ทักษิณ-แพทองธาร-พรรคเพื่อไทย” | ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

การปกครองบ้านเมืองหากจะให้มั่นคง ต้องทำให้ประชาชนอยู่ดี กินอิ่ม นอนหลับ ผู้ชนะรู้ว่าตัวเองชนะ ต้องประเมินสถานการณ์ให้ดีอย่างถ่องแท้ก่อน จึงลงมือ ถ้าประเมินแล้วมีโอกาสแพ้มากกว่าชนะ ต้องหาวิธีอื่น

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า โดนอะไรเข้าไป จู่ๆ คนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ก่อนหน้านี้ ฟิตแอนด์เฟิร์ม ปรากฏเป็นข่าวอยู่เป็นระลอก แต่อาทิตย์สองอาทิตย์ที่ผ่านมา เหมือนไปเดินเหยียบสายไฟฟ้าแรงสูง ช็อตหายตัวจากสนามข่าวไปซะดื้อๆ

ทอล์กออฟเดอะทาวน์ล็อตท้ายสุด หลายวันมาแล้ว เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ที่มีข่าวว่า “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าภูมิใจไทย เชิญชวน “ครูใหญ่ค่ายสีน้ำเงิน-เนวิน ชิดชอบ” ประธานสโมสรทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ดอดเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า จิบไวน์กันพอจิ๊บ-จิ๊บ ร่วมโต๊ะรับประทานอาหาร ฟื้นความทรงจำเก่าๆ

ในวาระสำคัญวันคล้ายวันเกิดย้อนหลังให้กับ “เนวิน” ครบรอบ 66 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 4 ตุลาคม เบิร์ดเดย์บอยกันตามประสาคนรู้จักมักคุ้นกันธรรมดา ซึ่งเจ้าของบ้านคือ “ทักษิณ” ได้มอบเสื้อแจ๊กเก็ตให้ “น้องเลิฟเก่า” เป็นของขวัญ 1 ตัว

อย่างไรก็ตาม การพบปะกันอย่างลับๆ ของ “สามผู้ยิ่งใหญ่” มีกระแสข่าว “นายกฯ คนละครึ่ง” กระเด็นออกมาจากริมรั้วจันทร์ส่องหล้าโดยพลัน แต่ “เสี่ยหนู” กลัวเรื่องจะบานปลาย รีบปฏิเสธทันทีว่า “เป็นไปไม่ได้เลย เพราะนี่คือรัฐบาล การไปหุ้นคนละครึ่ง คนละเสี้ยวเป็นไปไม่ได้”

หลังเบิร์ดเดย์บอย พระเอกของเรานามว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ก็โลว์โฟรไฟล์ หายวับไปกับตา อย่างมีนัยสำคัญ เป็นไปได้หรือไม่ว่า ก่อนหน้านี้เมื่อไม่กี่วันก่อนปลีกวิเวก “นิด้าโพล” เผยผลสำรวจ เรื่องความเชื่อมั่น ความกังวลของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” พบว่า บทบาทของ “นายกฯ ทักษิณ” ที่เกินขอบเขตนำไปสู่การฟ้องร้อง เรื่องการครอบงำนายกฯ/พรรค/รัฐบาล มากถึงร้อยละ 32.14 มากกว่าวิตกกังวลการบริหารงานที่ไม่ระมัดระวังจนอาจเกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น

เรื่องผู้ต่อต้านทักษิณ ชินวัตร ที่พร้อมจะลุกพรึบมาเรียกร้อง และนำไปสู่การล้มรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” / ติดปลายนวมอยู่ในอันดับวิตกกังวลที่ 6 ตามด้วย “การก่อรัฐประหารล้มรัฐบาล” อยู่อันดับ 7

เมื่อบทบาทของตัวเองส่งผลกระทบเชิงลบมากกว่าบวกต่อรัฐบาลลูกสาว และพรรคเพื่อไทย จึงทำให้ “ทักษิณ” อ่านหนังสือออก ประเมินสถานการณ์เป็น อะไรที่เป็นเงื่อนไข รีบถอดสลัก จึงตีไพ่หมอบ เลือกเก็บตัวเงียบ ไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะ เพราะยิ่งเคลื่อนไหวมาก นอกจากจะบดบังบารมี “อุ๊งอิ๊ง” แล้ว ยังนำศัตรูมาเพิ่มอีก

 

“พ่อ” ไม่อยากชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน เป็นเตี้ยอุ้มค่อม ผอมอุ้มอ้วน กอปรกับก่อนหน้านี้ มีนักร้องอาชีพพากันแห่นาคยื่นหนังสือร้องจองกฐิน “แพทองธาร” กันมาแล้วหลายกรรมหลายวาระ ทั้งกรณีเป็นกรรมการบริษัท 20 แห่ง แต่ยื่นลาออกจากบริษัทในวันเดียวทั้งๆ ที่บริษัทมีที่ตั้งอยู่ใน 4 จังหวัด สามารถยื่นลาออกด้วยตัวเองได้อย่างไร และปมจริยธรรม ให้ผู้เป็นบิดาครอบงำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่

กับล่าสุดโดนเข้าไปดอกใหญ่ “นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร” เจ้าเก่า ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยสั่งการให้ “นายทักษิณ ชินวัตร” ผู้ถูกร้องที่ 1 พรรคเพื่อไทย ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกกระทำที่เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพ อันนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49

ก่อนยื่นคำร้องนี้ ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด ซึ่งครบกำหนด 15 วัน ไม่ปรากฏว่าอัยการสูงสุดได้ส่งคำร้องมายังศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ร้องจึงใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง

คำร้องระบุว่า มี 6 พฤติกรรมที่เข้าข่าย โดยสรุป คือ

1. หลังทักษิณได้รับพระราชทานอภัยโทษ ใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือในการสั่งรัฐบาล เอื้อประโยชน์ให้โดยไม่ต้องได้รับโทษจำคุกอยู่ในเรื่องจำ

2. มีพฤติกรรมฝักใฝ่คบหาร่วมกับสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชา ควบคุมการบริหารของรัฐบาลผ่านพรรคเพื่อไทย แบ่งปันผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเล

3. สั่งให้พรรคเพื่อไทย ร่วมมือกับพรรคประชาชนแก้ไขรัฐธรรมนูญ

4. มีพฤติกรรมเป็นเจ้าของครอบครอง ครอบงำ เป็นผู้สั่งการแทนพรรคเพื่อไทยในการเจรจากับพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาล เพื่อเสนอบุคคลผู้สมควรเป็นนายกฯ คนใหม่เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า

5. มีพฤติกรรมเป็นเจ้าของครอบงำและสั่งการให้พรรคเพื่อไทยมีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล

6. นำนโยบายที่นายทักษิณได้แสดงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ไปเป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567

เมื่อสำรวจตรวจสอบเอ็กซเรย์คำร้องที่คิกออฟ ยื่นร้องหมายเล่นงาน “ทักษิณ-แพทองธาร-พรรคเพื่อไทย” หลายเคาน์เตอร์ หากวิเคราะห์ วินิจฉัยกันตามเนื้อผ้า ไม่น่าจะมีอะไรในก่อไผ่ “ถ้าบ้านเมืองปกติ”

แต่การเมืองไทย มันลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ประเทศตกหลุมอากาศ ล้าหลัง เป็นเต่าตาบอดมาหลายปีเพราะใช้ “นิติสงคราม” ห้ำหั่นกัน นิยามทางความคิดของคนดีแตกต่างกัน คนดีไม่ใช่คนทำดีเสมอไป มิติทางความคิด ไม่เหมือนกัน ประเทศชาติเสียหาย ล้าสมัย จมปรักอยู่ในโซนท้ายๆ ของโลก

ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว การที่นักร้องยื่นร้อง “ทักษิณ-อุ๊งอิ๊ง-เพื่อไทย” ดูประหนึ่งไม่น่าจะมีอะไร น่าหวั่นไหว ข้อมูลเก่า แต่โรคภัยไข้เจ็บซ่อนอยู่ในความหนุ่ม อันตรายซ่อนอยู่ในความไม่มีอะไร พรรคถูกยุบ คนถูกแบนมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

เมื่อมีมิติทางความคิดยังไม่เป็นสากล กติการ่วมสังคมยังอยู่หลังเขา “ทักษิณ ชินวัตร” เลยตัดสินใจปลีกวิเวก แต่จะอึดได้กี่ชั่วโมง-ชั่วยาม ก็อีกเรื่องหนึ่ง