นาย-ลูกน้อง-ลูกไล่ | สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่ 12 | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

 

นาย-ลูกน้อง-ลูกไล่

 

การเชิญนายเนวิน ชิดชอบ พ่วงนายอนุทิน ชาญวีรกุล เข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า

เพื่อ”รับพร”เนื่องในโอกาสวันเกิดครบ 66 ปีของนายเนวิน จากนายทักษิณ ชินวัตร นั้น

หากพิจารณาจากสถานะของคนที่เคยเป็น”นาย”และเคยเป็น”ลูกน้อง” ก็เหมาะสม

กระนั้น นั่นเป็นเรื่อง ใน”อดีต”

แต่ “ปัจจุบัน” ไม่แน่ใจนักว่า สถานะ”นาย”กับ”ลูกน้อง”ยังดำรงอยู่อย่างเข้มข้นหรือไม่

โดยเฉพาะ เมื่อแลผ่าน ความสัมพันธ์ ของพรรค”เพื่อไทย-ภูมิใจไทย”

ดูเหมือนว่า ความเป็นนายกับลูกน้อง ดูจะ”เจือจาง”ลงมาก

เพราะเพื่อไทย ไม่อาจสั่งได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็จขาดอีกแล้ว

ขณะที่ภูมิใจไทยก็มีความเป็นตัวของตัวเอง มากยิ่งขึ้นทุกที

ตัวอย่าง ที่เกิดขึ้น ไม่กี่วันหลังการพบปะที่”บ้านจันทร์ส่องหล้า”

นั่นก็คือ การที่”ภูมิใจไทย” มีมติสวนทางพรรครัฐบาลทุกพรรค

ด้วยการงดออกเสียงการลงมติร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติซึ่งวุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติมให้ใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น

แสดงท่าทีชัดเจนที่จะไหลเลื่อนไปกับวุฒิสภา มากกว่าพรรครัฐบาลที่นำโดยเพื่อไทย

ยืนยันว่า ในทางการเมือง ไม่มีคำว่า นาย กับ ลูกน้อง ที่จะชี้นิ้วสั่งให้ทำโน่นทำนี่ได้อีกแล้ว

ตรงกันข้าม คำว่า “หุ้นส่วน” หรือ คำว่า “อำนาจต่อรอง” ถูกหยิบยกมาใช้มากขึ้น

พรรคเพื่อไทยอาจจะครองเสียงข้างมากในสภาล่าง

แต่พรรคภูมิใจไทย ก็มีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยม กับ สภาสูง

ความได้เปรียบเสียเปรียบในทางการเมืองมีต่างกันไม่มาก

ในวันนี้ พรรคเพื่อไทยและนายทักษิณ อุ้มประคองน.ส.แพรทองธาร ชินวัตร หวังให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้ตลอดรอดฝั่ง

เช่นกันในวันนี้ นายเนวิน ก็มีคำอวยพรผ่านพิธี”ประกำช้าง”อันเข้มขลัง ให้นายอนุทิน เป็น”นายกรัฐมนตรี”

จนนำไปสู่ วาทกรรม “นายกฯคนละครึ่ง”อย่างครึกโครม

แน่นอนนี่ไม่ใช่วาทกรรม ที่อยู่บนพื้นฐาน ระหว่าง นาย กับ ลูกน้อง

แต่คือวาทกรรมที่สะท้อนถึง การเท่าเทียม กัน ของ 2 พรรค เพื่อไทยและภูมิใจไทย มากกว่า

และน่าสนใจว่า จากความเท่าเทียม นี้ จะพลิกผันไปสู่จุดใดอีก

อย่างที่ทราบกัน ตอนนี้ พรรคเพื่อไทย กำลังหักโค่น พรรคพลังประชารัฐ ผ่าน”ตัวแทน” อย่างเข้มข้น

เพื่อไทย ให้นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ไล่บี้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในเรื่อง”ขาดประชุมสภา”ที่จะบานปลายไปสู่ปัญหาการเมืองอื่นอีกในหลายเรื่อง

ขณะที่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ในฐานะคน”รู้จักรักใคร่”กับนายไพบลูย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ก็ออกมาหว่าน”แห”กว้างหลายศอก ไล่ล่า นายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย เพื่อนำตัวขึ้นสู่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

โดยใช้”ประเด็นเอียงขวา” 6 ประเด็น มามัดไม่ให้ดิ้นไปไหน โดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับ สถาบัน-รัฐธรรมนูญ-ชาตินิยม

ซึ่ง แม้พรรคเพื่อไทยจะบอกว่าไม่หนักใจ

แต่กระนั้น หากเกิดศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัย และเดินหน้าไต่สวน ซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไร แต่ภาวะความไม่แน่นอนทางการเมืองก็จะมาเขย่าความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย อย่างสูง

และจำเป็นต้องอาศัยความเป็น”เอกภาพ”จากพรรคร่วมรัฐบาล ในการฟันฝ่าปัญหา สูงมาก

หากพรรคภูมิใจไทย และวุฒิสภา ซึ่งมีแนวโน้มที่อยากจะชิงชูธงนำการเป็น”ฝ่ายอนุรักษ์”ที่อ่อนไหวกับเรื่องสถาบัน-รัฐธรรมนูญ-ชาตินิยม เกิดยืนกอดอกมองพรรคเพื่อไทยสู้ไปโดยลำพัง

อย่างนั้นรัฐบาลและเพื่อไทยก็คงเหนื่อยหนักแน่

จึงอาจบีบให้จำต้องยอมทำตามสิ่งที่พรรคภูมิใจไทย ต้องการ มากขึ้นเรื่อยๆ

จากนายกับลูกน้อง ตอนนี้เป็นหุ้นส่วน

แต่ที่สุดอาจพลิกกลายเป็น”ลูกไล่”ก็ได้

—————